บทที่ 261.1 ความจริง (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 261 ความจริง (1)
อธิบายไม่ถูก ลิ้นพันกันไปหมดอย่างไรอย่างนั้น หัวสมองยามสอบขุนนางยังเคยไม่ตื้อตันเช่นนี้

ยามรถม้ามาถึงเรือน เซียวลิ่วหลังแทบจะกระโดดลงรถเลยก็ว่าได้

กู้เจียวส่ายใบหน้าน้อยๆ หยิบสมุดเล่มน้อยของตัวเองออกมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะพลิกเปิดไปยังหน้าสุดท้าย แล้วเขียนเรื่องสำคัญประจำวัน ‘วันแรกที่สามีอยากนอนกับข้า’

วันรายงานตัวที่สำนักฮั่นหลินคือช่วงปลายเดือนห้า หลังจากเหล่าจิ้นซื่อที่สอบระดับเตี้ยนซื่อขั้นหนึ่งระดับสองและระดับสาม ส่วนเซียวลิ่วหลังก็ไม่จำเป็นต้องไปเรียนที่กั๋วจื่อเจียนแล้ว แต่ยังต้องทำเรื่องย้ายสำนัก

ใช่แล้ว ดูเผินๆ แล้วการเข้าสำนักฮั่นหลินเท่ากับการเป็นขุนนาง แต่ความจริงแล้วยังต้องเรียนหนังสือ ทั้งยังต้องตรากตรำอ่านหนังสือสอบอีก

กู้เจียวไม่ได้เรียนหนังสือในชาตินี้ แต่จากเท่าที่เซียวลิ่วหลังปูพื้นให้ฟังคร่าวๆ เหล่าบัณฑิตจิ้นซื่อในสำนักฮั่นหลินน่าจะเทียบเคียงได้กับการได้รับทุนรัฐบาลเรียนต่อปริญญาโทในชาติก่อน สามอันดับแรกของคือนักศึกษาปริญญาโทที่ได้ทุนเต็ม ทั้งยังมีเกียรติได้เป็นข้าราชการของแผ่นดิน ส่วนซู่จี๋ซื่อหรือราชบัณฑิตนั้นอีกสามปีให้หลังถึงจะมีการสอบอีกครั้ง

เมื่อสอบได้แล้วถึงจะเป็นข้าราชการของแผ่นดิน หากสอบไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องเสียใจด้วย มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น หากโชคดีหน่อยก็คงได้รับตำแหน่งขุนนางในมณฑลใดสักแห่ง หากโชคไม่ได้ อาจจะเป็นได้เพียงอาจารย์ในเมืองหรือจังหวัดใด แต่ก็ยังต้องสอนเก่งพอตัว

สติปัญญาของตู้รั่วหานนั้นเป็นที่รู้กันดี เขาสอบซู่จี๋ซื่อได้อยู่แล้วโดยไม่มีปัญหา แค่เฝิงหลินกับหลินเฉิงเย่นั้นกลับร่อแร่ พวกเขาทั้งสองคนทั้งคงต้องมาหาเซียวลิ่วหลังถึงบ้านเพื่อขอให้สอนหนังสือทุกวันเป็นแน่

แน่นอนว่าเซียวลิ่วหลังย่อมชี้แนะพวกเขาอย่างสุดความสามารถ บางครั้งหากจี้จิ่วอาวุโสมาทำกับข้าวให้หญิงชรา แล้วบังเอิญเจอสองพวกเขาทั้งสองก็จะช่วยชี้แนะเพิ่มเติม

เฝิงหลินกระซิบเซียวลิ่วหลัง “ลิ่วหลัง ท่านปู่เจ้าเก่งยิ่งนัก โจทย์ข้อเมื่อครู่ ข้ารู้สึกว่าเขาอธิบายได้แจ่มแจ้งกว่าเจ้าเสียอีก”

อันจริงแล้วคำพูดนั้นถือว่าชื่นชมเซียวลิ่วหลังอยู่ไม่น้อย อย่างไรเสียเฝิงหลินก็เป็นคนที่เคยเรียนที่กั๋วจื่อเจียนมาก่อน อาจารย์ยอดฝีมือของแคว้นเจาต่างรวมกันอยู่ที่นั่น แต่เฝิงหลินยังคงรู้สึกว่าเซียวลิ่วหลังสอนได้ดีที่สุด

คนที่รอบรู้กว่าเซียวลิ่วหลังนั้น เฝิงหลินยังไม่เคยพบเจอ เซียวลิ่วหลังคืออัจฉริยะ แต่ถึงกระนั้นเขาก็อายุเพียงแค่สิบแปดปี ประสบการณ์ชีวิตและความรู้วิชาตำราก็มีเพียงเท่านั้น ทว่าวิธีการสอนและมุมมองของเขาให้อะไรกับเฝิงหลินได้มากมาย

คนที่เก่งกว่าเซียวลิ่วหลัง เฝิงหลินก็เจอเพียงคนเดียวคือท่านปู่

“อืม” เซียวลิ่วหลังคิดในใจ นั่นเป็นถึงอดีตจี้จิ่วเจ้าสำนักแห่งกั๋วจื่อเจียนเชียวนะ จะไม่สอนเก่งได้อย่างไร

เฝิงหลินเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ท่านปู่เจ้ามีความรู้ถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ไม่สอบเคอจวี่”

เซียวลิ่วหลังคิดในใจ ‘คนที่สอบได้ที่หนึ่งจากการสอบทั้งหกระดับน่ะ นึกภาพออกหรือไม่’

คนเดียวที่เป็นเสี่ยวซานหยวนของการสอบทุกสนามตั้งแต่แคว้นเจาก่อตั้งขึ้น

ทว่าปรมาจารย์ลัทธิขงจื๊อแห่งแคว้นเจาคนนั้น ยามนี้กำลังผูกผ้ากันเปื้อนทำกับข้าวหน้าดำหน้าแดงอยู่หน้าเตาไฟ เพราะหญิงชราอยากจะกินขนมฉือปา ราดน้ำตาลแดง แบบที่โรยงาขาวด้านบนน่ะ

กู้เจียวไปที่โรงหมอตั้งแต่เช้าตรู่ กิจการโรงหมอช่วงนี้อย่าเพิ่งคึกคักเกินไปจะได้ไหม เพราะประการแรก หากชื่อเสียงโด่งดังออกไป คนป่วยที่จะมารักษาก็จะมีมากขึ้น อีกประการหนึ่งเป็นเพราะยอดสั่งซื้อของโรงงานยาก็มีมากพอแล้ว พวกเขาเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดแล้ว

ร่างกายของเจียงสือฟื้นตัวใกล้จะเต็มที่แล้ว แต่เพราะนอนอยู่บนเตียงคนป่วยนานเกินไป ประกอบกับได้รับการผ่าตัดสองสามหน จึงจำเป็นต้องกายภาพบำบัดต่อสักพัก

กู้เจียวสอนท่ากายภาพพร้อมทั้งสาธิตให้หมอซ่งดู เพราะหมอซ่งต้องเป็นคนทำกายภาพให้เขาวันละสองครั้ง

“ท่านพี่ หลังจากหายดีแล้ว พวกเราต้องไปจากที่นี่หรือ”

หมอซ่งและเจียงสือทำกายภาพอยู่ที่เรือนเล็กของกู้เจียว เสี่ยวเจียงหลีที่เฝ้ามองอยู่ข้างกัน จู่ๆ ก็โพลงคำถามออกมาประโยคหนึ่ง

ร่างของเจียงสือชะงักไปเล็กน้อย

หมอซ่งยิ้มเอ่ย “เสี่ยวเจียงหลีไม่อยากไปจากที่นี่หรือ”

“อื๊ม” เสี่ยวเจียงหลีพยักหน้าอย่างจริงจัง

นางกับพี่ชายระหกระเหินมานานนัก ถูกขายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง หิวโหยและหนาวสั่นอยู่เสมอ ทั้งยังถูกคนทุบตี

คืนวันหลังจากที่ได้มาอยู่ที่โรงหมอ เป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุดของนางในรอบหลายปี ไม่มีใครรังแกนางกับพี่ชาย นางได้กินอย่างอิ่มหนำทุกวัน ได้นอนหลับอย่างดี คนในโรงหมอก็ล้วนแต่ดีมากทั้งนั้น

“ข้าทำงานได้ ขอข้าอยู่ที่นี่ต่อไปได้หรือไม่” เสี่ยวเจียงหลีถาม

หมอซ่งนิ่งอึ้งไป แม้เขาจะชอบสองพี่ที่น้องคู่นี้มาก แต่ใช่ว่าโรงหมอของพวกเขาจะให้อยู่ได้ตามอำเภอใจ สองพี่น้องเป็นแรงงานผิดกฎหมาย หลังออกจากโรงหมอแล้วย่อมต้องถูกส่งกลับไปที่ภูมิลำเนาเดิม นี่คือกฎหมายบ้านเมือง โรงหมอของพวกเขาไม่มีอำนาจอนุญาตให้เขาลงหลักปักฐาน

เจียงสือเอ่ยกับเสี่ยวเจียงหลี “ไม่ต้องพูดแล้ว ไปเล่นเถิด”

เสี่ยวเจียงหลีทอดถอนใจ “ก็ได้เจ้าค่ะ”

เสี่ยวเจียงหลีไปที่โต๊ะหน้าร้านเพื่อช่วยหยิบยา วันนี้กู้เจียวออกตรวจ ช่วงเช้าตรวจคนไข้ไปหลายสิบคน กว่าจะตรวจคนสุดท้ายเสร็จก็เล่นเอาเหนื่อยแทบแย่ แต่กลับมาแขกเข้ามาอีก

น้ำเสียงเหนื่อยอ่อนดังขึ้น นั่นคือรุ่ยอ๋องเฟยที่ไม่พบกันมานานหลายวัน

รุ่ยอ๋องเฟยท้องได้สี่เดือนแล้ว รูปร่างจึงอวบอัดขึ้นไม่น้อย ดวงแก้มก็มีเนื้อมีหนังขึ้นมา ใบหน้าสีแดงระเรื่อ แต่เพราะสวมชุดหลวมโคร่ง จึงเห็นไม่ชัดนักว่าตั้งครรภ์

กู้เจียวจับชีพจรให้นาง “ชีพจรเสถียรดี เด็กก็แข็งแรงดี”

แต่สีหน้าของรุ่ยอ๋องเฟยกลับดูีไม่ยินดีสักเท่าไหร่ นางเอ่ยด้วยความเศร้าสร้อย “พี่สะใภ้ใหญ่ข้าเสียลูกไปแล้ว”

เป้าหมายที่นางมาวันนี้ไม่ได้มาเพื่อให้กู้เจียวจับชีพจร นางมาเพื่อระบายอารมณ์ อยู่ในตำหนักไม่ผู้ใดไว้ใจใครไม่ได้ ในวังหลวงยิ่งต้องระวังกิริยาวาจา คิดไปคิดมาก็คงมีเพียงแค่กู้เจียวเท่านั้นที่นางจะสามารถปลดปล่อยทุกอย่างได้

กู้เจียวถาม “พี่สะใภ้คนไหน…ของเจ้า หนิงอ๋องเฟยหรือ”

เพราะพระสนมตระกูลตู้ก็เป็นพี่สะใภ้ของนางเช่นกัน

รุ่ยอ๋องเฟยพยักหน้าด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “ใช่ คือหนิงอ๋องเฟย คืนเมื่อวานนางไม่สบายหนัก ไม่ได้นอนแทบทั้งคืน เช้ามาข่าวก็แพร่ไปทั่วทั้งวัง ว่านางแท้งลูก เป็นเด็กผู้ชายที่มีแขนมีขาแล้ว”

กู้เจียวมิได้ประหลาดใจกับเรื่องนี้แต่อย่างใด

ในความฝันนั้น ครรภ์ของหนิงอ๋องเฟยก็อาการไม่ดีอยู่แล้ว แม้ไม่ถูกเจ้าแมววิ่งชนก็ต้องแท้งลูกอยู่ดี เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว

รุ่นอ๋องเฟยเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “พวกเขาล้วนแต่โทษหนิงอ๋องเฟย บอกว่านางแอบกินพริก แต่กินพริกแล้วผิดหรืออย่างไร ข้าเองก็กิน หญิงมีครรภ์ตั้งหลายๆ คนเองก็กิน…มีเพียงแค่นางที่แท้งลูกถึงสามหน…ไม่รู้ว่าวันหน้าจะตั้งท้องได้อีกหรือไม่…”

ผู้คนมากมายเฝ้าจับตามองการตั้งครรภ์ของหนิงอ๋องเฟย หนิงอ๋องเฟยก็รู้ว่าตนเองมีหน้าที่อันยิ่งใหญ่ นางแบกรับแรงกดดันมากเกินไป ซึ่งนับว่าไม่ดีนักต่ออายุครรภ์ของนาง

กู้เจียวยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นาง “เจ้าเองก็ตั้งท้องเช่นกัน อย่าเศร้าใจไปเลย”

“อืม…” รุ่ยอ๋องเฟยรับฟ้าเช็ดหน้ามา ร้องไห้ไปพลาง พยายามสงบสติอารมณ์ไปพลาง “เจ้าพูดถูก…ข้า…ข้าจะเศร้าไม่ได้…เลือดลมในครรภ์ข้าจะแปรปรวนไม่ได้…”

รุ่ยอ๋องเฟยร้องไห้กับกู้เจียวไปยกหนึ่ง ในใจก็รู้สึกคลายลงมาบ้าง

ตอนแรกกู้เจียวคิดว่ามีคนวางแผนใช้เหตุการณ์ของเจ้าแมวขาว ยืมมือเซียวลิ่วหลังเพื่อกำจัดหนิงอ๋องเฟย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองหรือไม่ก็สามตัว หากภาวะครรภ์ของหนิงอ๋องเฟยนั้นย่ำแย่มาก แน่นอนว่าย่อมต้องแท้งเข้าสักวัน ไม่จำเป็นต้องลงมือแต่อย่างใด

ดังนั้นแล้วเหตุการณ์เมื่อวาน ความจริงแล้วมีคนตั้งใจกำจัดลูกในท้องของหนิงอ๋องเฟย หรือว่าฝ่ายหนิงอ๋องเฟยคิดวางแผนหาแพะรับบาปให้แก่ลูกที่ไม่สามารถรักษาไว้ได้นั้น ก็อาจไม่อาจรู้ได้แน่ชัด

เป้าหมายของหนิงอ๋องเฟยแน่นอนว่าไม่ใช่เซียวลิ่วหลัง ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงเอะอะโวยวายตั้งแต่ที่สวนหลวงแล้ว

เรื่องแย่งชิงในรั้วในวัง กู้เจียวไม่สนใจหรอก

นางสนใจเพียงแค่คนที่ใช้แมวขาวตัวนั้นทำให้เซียวลิ่วหลังตกใจกลัว

อีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้จักเซียวลิ่วหลังเป็นอย่างดี แถมยังรู้ว่าเขากลัวแมวอีกต่างหาก

“รุ่ยอ๋องเฟย” กู้เจียวชะงักไปก่อนจะถามนาง “ในจวนเซวียนผิงโหวมีคนกลัวแมวหรือไม่ อย่างเช่นเซวียนผิงโหว กับบรรดาลูกชายเขา”

“เรื่องนั้น…” รุ่ยอ๋องเฟยพยายามนึกเค้น “เซวียนผิงโหวไม่กลัวแน่นอน เขาเป็นถึงคนที่เคยผ่านสนามรบมาก่อน เขาไม่กลัวหมาแมวอะไรพวกนั้นหรอก ส่วนลูกชายของเขา…ข้าเองก็ไม่แน่ใจ เจ้าถามเรื่องนี้ทำไมหรือ”

“ถามไปเรื่อยเปื่อยน่ะ” กู้เจียวตอบ

“อ๋อ” รุ่ยอ๋องเฟยไม่ได้สงสัยแต่อย่างได้ นางเอ่ย “พวกข้าตระกูลตู้ไม่ได้ไปมาหาสู่กับจวนเซวียนผิงโหวบ่อยนัก แต่เวินหลินหลังหญิงผู้นั้น…เหอะเหอะ”

พูดได้เพียงครึ่ง นางก็รู้สึกว่าตัวเองใช้คำพูดจาบจ้วงเกินไป จึงกดเสียงให้เบาลงแล้วเปลี่ยนเป็นพูดว่า “ไท่จื่อเฟยมักจะไปที่จวนเซวียนผิงโหวอยู่บ่อยๆ นางหมั้นหมายกับท่านโหวน้อยตั้งแต่เด็ก สองคนนั้นเป็นรักแรกที่โตมาด้วยกัน นางรู้จักคนในจวนค่อนข้างดี”

กู้เจียวราวกับคิดอะไรบางอย่าง “ข้าได้ยินมาว่าชาติกำเนิดของไท่จื่อเฟยมิได้สูงส่งนัก เหตุใดถึงได้เกี่ยวดองกับจวนเซวียนผิงโหวได้”

รุ่ยอ๋องเฟยเบ้ปากเอ่ย “ก็เพราะตอนเป็นเด็กนางเคยช่วยชีวิตท่านโหวน้อยเอาไว้น่ะสิ เรื่องตั้งแต่ตอนที่ข้าอายุห้าขวบแล้ว เวินหลินหลัง…อะแฮ่ม ไท่จื่อเฟยเองก็อายุห้าขวบ ท่านโหวน้อยที่อายุสองขวบตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง ไท่จื่อเฟยนอนราบไปกับพื้นน้ำแข็ง ใช้สองมือดึงเขาไว้ตลอด ไม่ให้เขาจมลงไป หลังจากนั้นก็ช่วยท่านโหวน้อยขึ้นมาได้ แต่สองมือไท่จื่อเฟยนั้นถูกน้ำเย็นกัดจนไม่ใช้การไม่ได้ ได้ยินหมอหลวงบอกว่า หากจะรักษาชีวิตนางเอาไว้ต้องตัดมือทิ้ง คงเป็นเพราะองค์หญิงซิ่นหยางกับเซวียนผิงโหวรู้สึกติดค้างนาง จึงได้ทำการหมั้นหมาย แต่ต่อมาจวนเซวียนผิงโหวก็ตามหมอที่เก่งที่สุดในแคว้นเจามา รักษามือของไท่จื่อเฟยจนหายดี”

“อย่างนั้นเองหรอกหรือ” กู้เจียวพึมพำ

รุ่ยอ๋องเฟยเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “ตอนเป็นเด็กนางกับท่านโหวน้อยสนิทกันไม่น้อย เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดนางถึงได้เป็นศิษย์ของจวงเซี่ยนจือ ใช่สิ เจ้ายังไม่รู้เรื่องที่นางได้เป็นศิษย์คนที่สี่ของราชครูจวง จวงเซี่ยนจือเลย นั่นเป็นเพราะเขาเห็นแก่องค์หญิงซิ่นหยางถึงได้รับนางเป็นศิษย์ ข้ายอมรับว่านางมีพรสวรรค์ แต่หากไม่มีจวนเซวียนผิงโหวและจวนองค์หญิงซิ่นหยาง ผู้ใดจะไปรู้กันว่าเวินหลินหลังเป็นใครมาจากไหน แต่เจ้าดูสิว่านางทำอะไรลงไป พอท่านโหวน้อยเสีย นางก็แต่งงานกับไท่จือทันที!”

กู้เจียวมิได้ต่อต้านการที่คนคนหนึ่งจะแสวงหาความสุขแก่ตนเอง แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ว่านางต้องไม่ทำร้ายผู้อื่น

รุ่ยอ๋องเฟยยิ่งพูดก็ยิ่งออกทะเลไปไกล เริ่มตำหนิติเตียนไท่จื่อเฟยต่างๆ นานา

กู้เจียวคิดในใจ เข้าใจก็เข้าใจอยู่หรอก แต่ลึกๆ แล้วก็ไม่เข้าใจสักเท่าใด