ตอนที่ 291 ด้านหน้ามีฝูงหมาป่า ด้านหลังมีโจรไล่ล่า
หลินเว่ยเว่ยรีบวิ่งไปที่หุบเขา โชคดีที่ทหารกบฏเหล่านั้นสนใจแต่การตามไล่ล่าชาวบ้านฉือหลี่โกวจึงยังไม่ทันออกสำรวจหุบเขาโดยรอบ ดังนั้นล่อทั้งสองตัวจึงยังเล็มหญ้าในหุบเขาอย่างปลอดภัยหายห่วง !
หลินเว่ยเว่ยมัดกีบเท้าของล่อสองตัวนั้นแล้วแบกพวกมันออกจากหมู่บ้านตามถนนลับเส้นหนึ่ง ผ่านไปไม่นาน นางก็ตามเจียงโม่หานที่กำลังเดินอย่างยากลำบากในหุบเขาทัน !
“เหตุใดเจ้า…” ทั้งสองคนเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน
เจียงโม่หานหุบปากภายใต้การถลึงตามองจากหลินเว่ยเว่ยที่รีบเอ่ยเสียงเข้มในทันใด “กลับมาแล้วค่อยคิดบัญชีกับเจ้า ขึ้นมา ! ”
ต่อจากนั้นล่อทั้งสองตัวก็วิ่งข้ามหมู่บ้านมายังถนนนอกหุบเขาอย่างรวดเร็ว ในชาติที่แล้วเจียงโม่หานเคยขี่ม้ามาก่อน ส่วนล่อที่หลินเว่ยเว่ยขี่มีชื่อว่า ‘เสี่ยวหง’ ซึ่งหัวใจสื่อถึงเจ้าของจึงคุ้นชินกับการมีนางนั่งอยู่บนหลังได้อย่างรวดเร็ว
“ผู้ใด ! ” ออกมาได้ไม่นานก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น
โจรโฉดทิ้งคนเฝ้าเส้นทางไว้ พวกมันคิดจะกวาดล้างคนทั้งฉือหลี่โกว ไม่ให้ใครหลุดรอดไปได้ ! หลินเว่ยเว่ยจึงรีบควบล่อแล้วกวัดแกว่งกระบองเหล็กในมือเข้าปะทะอีกฝ่ายทันที
อีกฝ่ายดึงอาวุธประจำกายออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่โดยคิดจะสกัดนางไว้ แต่หลินเว่ยเว่ยเพิ่งสะบัดกระบองในมือเบา ๆ อีกฝ่ายก็รู้สึกถึงฝ่ามือที่มีอาการชาแล้วอาวุธก็ลอยขึ้นฟ้าทันที ปลายหอกของอีกคนมาอยู่ตรงหน้าหลินเว่ยเว่ยแล้ว นางจึงเอนตัวหลบพลางออกแรงวาดกระบองทำให้หอกเล่มนั้นหักเป็นสองท่อน
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ล่อของหลินเว่ยเว่ยทะลวงผ่านแนวป้องกันไปหลายคน เมื่อนางหันมามองอีกครั้งก็เห็นบัณฑิตหนุ่มกำลังตามหลังมาติด ๆ นอกจากนี้ยังขยิบตาให้เขาอย่างขี้เล่นคล้ายกำลังบอกว่า ‘เห็นหรือไม่ ข้าร้ายกาจใช่หรือเปล่า ? ’
แต่ทันใดนั้นสีหน้าของหลินเว่ยเว่ยก็เปลี่ยนไป นางดึงบังเหียนเบา ๆ เพื่อลดความเร็วลง ทำให้เจียงโม่หานไปอยู่ข้างหน้าแทน จากนั้นนางก็นั่งบนหลังของเสี่ยงหงแล้วกวัดแกว่งกระบองโดยไร้ช่องโหว่เพื่อป้องกันลูกธนูที่พวกทหารกบฎยิ่งใส่ แน่นอนว่านางสามารถปัดป้องได้ทุกดอก
ฝ่ายตรงข้ามกระโดดขึ้นหลังม้า ดึงคันธนูและยิงมาทางทั้งสอง ตามหลักแล้วความเร็วของล่อไม่มีทางสู้ม้าได้ แต่ล่อทั้งสองตัวของตระกูลหลินแตกต่างเพราะพวกมันดื่มน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณทุกวัน กล้ามเนื้อในร่างกายจึงถูกหล่อเลี้ยงและสร้างเสริม ฝีเท้าจึงไม่แพ้ม้าธรรมดาทั่วไป
ระหว่างที่ลูกธนูยิงเข้ามาราวห่าฝน หลินเว่ยเว่ยก็สกัดไว้ได้เสียส่วนใหญ่ แต่ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของล่อตัวหน้า เมื่อหันไปมองก็เห็นล่อของบัณฑิตหนุ่มโดนยิงตรงหน้าขา การเคลื่อนไหวสะดุดและมันกำลังจะล้มลงกับพื้น จังหวะที่เห็นบัณฑิตน้อยจะตกจากหลังของล่อ…
หลินเว่ยเว่ยก็ว่องไวรีบกระตุ้นเสี่ยวหงให้วิ่งเข้าไป ส่วนตนก็ยื่นกายออกไปรับตัวบัณฑิตน้อยที่กำลังจะตกลงมาด้วยการจับเข็มขัดของเขาเอาไว้ จากนั้นก็ออกแรงเบา ๆ ให้เขามานั่งข้างหน้าแล้วถามเขาว่า “ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานไม่อยากย้อนกลับไปมองภาพที่ตนถูกจับขึ้นมาเหมือนลูกไก่ เขาจึงทำหน้าเคร่งขรึม “ไม่เป็นไร ระวัง…”
ปรากฏว่าพวกทหารกบฏส่งห่าธนูมาอีกแล้ว หลินเว่ยเว่ยยกบังเหียนให้บัณฑิตหนุ่ม ส่วนนางก็หันหลังโบกกระบองในมือเพื่อสกัดลูกธนูไปด้านข้าง หลังจับลูกธนูที่แหลมคมได้ดอกหนึ่ง นางก็ซัดใส่ศัตรูที่อยู่ใกล้สุด เฮ้อ ! เล็งศีรษะไม่ได้ นางจึงได้แต่ซัดไปที่แขนของอีกฝ่าย
แม้เสี่ยวหงจะแข็งแรงกว่าม้าทั่วไปเล็กน้อย แต่อย่างไรก็แบกคนสองคนไว้บนหลัง ระยะห่างจึงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ…
หรือแม้แต่ทำให้หลินเว่ยเว่ยเห็นรอยยิ้มแสนโหดเหี้ยมของหัวหน้ากลุ่ม นางจึงเพ่งจิตเข้ามิติน้ำพุวิญญาณ จากนั้นก็พบแกลบข้าวสาลีกองหนึ่งที่ยังไม่ทันได้นำออกมาใช้งาน ทันใดนั้นมุมปากของนางก็ยกยิ้มอย่างชั่วร้ายแล้วค่อย ๆ ยกมือขึ้น จากนั้นแกลบก็ลอยไปทางพวกโจรชั่ว ในระหว่างนั้นก็มีลมกระโชกแรงปรากฏขึ้นทำให้แกลบพุ่งไปที่ใบหน้าของศัตรู
“ดวงตาของข้า ! ” ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่ทันตั้งตัว แกลบก็ซัดใส่ตา ใบหน้าและลำคอของพวกโจร คมของเปลือกข้าวสาลีนี้ทำให้พวกมันทรมานไปทั้งกาย มีบางคนโดนเข้าที่ตาจึงทรมานยิ่งกว่าอะไร !
“ฮึฮึ ! ” ขณะที่การเคลื่อนไหวของทหารกบฏช้าลง หลินเว่ยเว่ยก็เผยรอยยิ้มได้ใจออกมา
ทั้งสองคนต้องควบเสี่ยวหงออกมาอีกพักใหญ่ กว่าจะสลัดโจรที่ไล่ตามมาได้ เจียงโม่หานที่ตั้งใจควบคุมล่ออยู่ด้านหน้าก็ได้ยินเสียงกรีดร้องด้านหลังแล้วเช่นกัน เขารู้ว่าเด็กน้อยต้องเล่นลูกไม้แน่นอน ทันใดนั้นเขาก็เริ่มนึกถึงลมกระโชกแรงเมื่อครู่…เด็กน้อยคนนี้ยังมีความลับที่เขาไม่รู้อีกมากแค่ไหนกันเชียว ?
ทว่าไม่ใช่เวลามาเอ่ยถึงเรื่องนี้ ทั้งสองคนรีบควบล่อตรงไปยังที่ตั้งของกองทัพทันที
ส่วนหลีชิงที่พาชาวบ้านเข้ามาในหุบเขาก็ให้ชายฉกรรจ์ประมาณสองสามคนมาเป็นผู้นำด้านหน้า พอเขาจัดการคนที่รั้งท้ายหมดแล้วก็ทำให้พุ่มไม้ที่พวกชาวบ้านทำล้มกลับมาตั้งตรงอีกครั้งเพื่อพยายามปกปิดร่องรอยให้มากที่สุด
ป่าสนแดงแห่งนี้ชาวบ้านฉือหลี่โกวมาเยือนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ทว่าการพาครอบครัวหนีตายเช่นนี้ถือเป็นครั้งแรก หลิวต้าซวนที่เดินอยู่ด้านหน้าอุ้มบุตรชายคนเล็กไว้ ขณะเดียวกันก็หันมามองพวกผู้หญิงและเด็กเป็นครั้งคราว
ชาวฉือหลี่โกวคุ้นเคยต่อเส้นทางบนหุบเขา คนชรา เด็กและผู้หญิงก็มีคนคอยช่วย การเดินจึงไม่ได้ช้ามากนัก แม้โจรที่ตามมาด้านหลังจะมีร่างกายแข็งแรง แต่ภายใต้ความมืดและเส้นทางขรุขระก็ทำให้พวกมันเผชิญอุปสรรคไม่น้อย
“บรู๊ว…” ทันใดนั้นเสียงหอนของหมาป่าก็ดังก้องไปทั่วผืนป่าราวกับอยู่ข้างหูก็มิปาน ชาวบ้านฉือหลี่โกวพากันตกใจและรีบหยุดฝีเท้า ทันใดนั้นเสียงหอนของหมาป่าก็ดังต่อเป็นระลอก…
ด้านหน้ามีฝูงหมาป่า ด้านหลังมีโจรไล่ล่า จะทำอย่างไรดี ? ชาวฉือหลี่โกวหันไปมองทางครอบครัวตระกูลหลินโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นพวกเขาก็พบว่าหลินเว่ยเว่ยหายตัวไป
“นางหนูรองอยู่ที่ใด ? ตอนนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ? ” ชาวฉือหลี่โกวเห็นหลินเว่ยเว่ยเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณไปแล้ว หลังพบว่าไม่มีนางอยู่ในกลุ่มจึงเกิดความวุ่นวายทันที
แม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงร่ำไห้ “บัณฑิตเจียงก็ไม่อยู่ นางหนูรองคงไม่ได้ทิ้งพวกเราแล้วพาบัณฑิตเจียงหนีไปใช่หรือไม่ ? ”
“ไม่มีทาง พี่รองหลินไม่ใช่คนเช่นนั้น ! ” โก่วเชิ่งเอ๋อร์เพิ่งมีชีวิตสุขสบายเพราะแม่เลี้ยงไม่กล้าทำสิ่งใดที่รุนแรงกับเขาอีก ส่วนมู่เกินเอ๋อร์ก็เปลี่ยนเป็นคนดีไม่รังแกเขาด้วย เขายังตัวอ้วนขึ้นเล็กน้อย ใจก็กล้าแกร่งขึ้น หากเป็นเมื่อก่อนไม่มีทางกล้าเถียงแม่เลี้ยงแน่นอน
ผู้ใหญ่บ้านรีบเค้นเสียงดุทันที “อย่าพูดเหลวไหล ! คนตระกูลหลินอยู่ที่นี่กันหมด ! นางหนูรองเป็นเด็กดี ไม่มีทางทิ้งคนทั้งหมู่บ้านแล้วหนีเอาตัวรอดคนเดียวแน่นอน ! ”
“แล้วตอนนี้จะทำอย่างไร ? ” ยิ่งเดินไปข้างหน้าเสียงหอนของหมาป่าก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ กอปรกับเสียงร้องโหยหวนของนกกลางคืนที่พวกเขาไม่รู้จัก ความมืดแห่งผืนป่าเปรียบเสมือนปากของสัตว์ร้ายที่กำลังรอให้มนุษย์เดินเข้าไปติดกับ
เสียงของมารดาเจ้าอ้วนซานดังขึ้นอีกครั้ง “กลับกันเถิด ! ถ้าเรายกเงินให้โดยดี พวกโจรอาจไว้ชีวิตพวกเราก็ได้ แต่ฝูงหมาป่าเห็นใจไม่เป็น ไม่มีทางปล่อยพวกคนแก่กับเด็กไปแน่นอน ! ”
หลีชิงที่ออกไปปกปิดร่องรอยรีบก้าวเข้ามา “เหตุใดจึงหยุดเดิน ? โจรข้างหลังจะตามมาทันอยู่แล้ว ! ”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย “ข้างหน้ามีฝูงหมาป่า…”
หลีชิงขมวดคิ้วมุ่น “มีฝูงหมาป่าแล้วกลัวอันใด ? กลุ่มทหารชาวบ้านที่ดูแลทุกคนเล่า ? วิชากระบองที่ข้าสอนพวกเจ้าเสียเปล่าหมดแล้วหรือ ? เรามีคนหนุ่มกว่าเจ็ดสิบแปดสิบคนแล้วยังจัดการหมาป่าไม่ได้อีกหรือ ? อีกอย่างคนเยอะ หมาป่าอาจไม่กล้าเข้ามาโจมตี ! กลุ่มทหารชาวบ้านเดินนำด้านหน้าสองแถว คนชรา เด็กและพวกผู้หญิงอยู่ตรงกลาง ! เริ่มเดินต่อได้ ! ”