ตอนที่ 292 ลูกรักของเทพเจ้าแห่งขุนเขา

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 292 ลูกรักของเทพเจ้าแห่งขุนเขา

ผ่านไปไม่นานชาวบ้านฉือหลี่โกวก็จัดกำลังคนเสร็จ หลิวต้าซวน วังต้าจู้และพ่อซัวถัวเดินอยู่แนวหน้า ส่วนกลุ่มทหารชาวบ้านคนอื่นกำกระบอง จอบและเสียมรั้งท้าย พวกเขาล้อมเด็ก คนชราและสตรีที่อ่อนแอไว้ตรงกลางแล้วค่อย ๆ เดินต่อไปภายใต้เสียงหอนของหมาป่า

ผู้ใหญ่บ้านอดไม่ได้ที่จะเข้าไปเดินข้างหลีชิงพลางถามว่า “นางหนูรองอยู่ที่ใด ? เหตุใดจึงไม่เห็นนางกับบัณฑิตเจียง ? ”

หลีชิงตอบ “เสี่ยวเว่ยกับบัณฑิตเจียงสังเกตเห็นว่ากองโจรที่ตามหลังเรามาไม่ใช่โจรธรรมดา แต่อาจเป็นทหารกบฏของราชวงศ์ก่อนที่ปลอมตัวมา โจรที่บุกปล้นตระกูลหงเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็น่าจะเป็นกลุ่มเดียวกัน ! เพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยของตนแล้ว พวกมันไม่เพียงปล้นข้าวปลาอาหาร แต่ยังสังหารเหยื่อเพื่อตัดปัญหาที่จะตามมา ดังนั้นอย่าหวังว่าพวกมันจะไว้ชีวิตเรา ! ”

แม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์และมารดาเจ้าอ้วนซานได้ยินก็รีบหดศีรษะ คนที่ได้ยินบทสนทนาของสองคนนี้ก็รีบก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิดทันที

“เสี่ยวเว่ยกับบัณฑิตเจียงใช้เส้นทางอื่นเพื่ออ้อมหุบเขาแล้วไปรายงานให้ทหารรักษาการณ์เมืองจงโจวทราบ ขอแค่เราผ่านคืนนี้ไปได้ โจรเหล่านั้นก็ไม่น่ากลัวแล้ว ! ก่อนไปเสี่ยวเว่ยกำชับข้าว่าแม้เกิดอันใดขึ้นก็ให้พาทุกคนไปยังป่าสนแดง ที่นั่นมีหุบเขาซ่อนอยู่และทางเข้าก็เป็นทางเดินที่ผ่านเข้าไปได้ทีละคนจึงตั้งรับง่ายแต่บุกยาก พอศัตรูตามมาทัน เราก็น่าจะหาทางต้านได้พักหนึ่ง ! ” หลีชิงอธิบายง่าย ๆ สองสามประโยค ทำให้ทุกคนรู้สึกมีความมั่นใจขึ้นมา

“มะ…หมาป่า ! ” ภายใต้ความมืดของผืนป่า สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาอย่างแรกคือดวงตาสีอำพันสองดวง ต่อจากนั้นแสงสีเหลืองนี้ก็ปรากฏเยอะขึ้นเรื่อย ๆ กลุ่มทหารชาวบ้านจึงรีบยกอาวุธในมือขึ้นทันที…

หลีชิงรีบเดินขึ้นไปขวางพวกเขา หลังจากนึกถึงเรื่องที่หลินเว่ยเว่ยกำชับไว้แล้ว เขาก็พูดกับฝูงหมาป่าด้วยน้ำเสียงละอายใจ “พวกเราเป็นชาวบ้านฉือหลี่โกวซึ่งโดนพวกโจรไล่สังหาร จึงมาขอซ่อนตัวในถิ่นของพวกเจ้า หากเข้ามารบกวนก็ขอให้จ่าฝูงเจ้าเทาอภัยด้วย ! อ้อ จริงสิ เป็นหลินเว่ยเว่ยหรือบุตรสาวคนรองตระกูลหลินให้พวกเราเข้ามาที่นี่ ! ”

ชาวบ้านฉือหลี่โกวใช้สายตาดูแคลนมองเขา คนผู้นี้กลัวจนโง่ไปแล้วหรือ ? ไฉนเลยฝูงหมาป่าจะเข้าใจถ้อยคำของมนุษย์ ?

ทันใดนั้นทุกคนก็เห็นหมาป่าตัวสีเทาแซมดำขนาดใหญ่เดินออกมาสองสามก้าว มันใช้แววตาอันแสนเย่อหยิ่งจ้องมองพวกตน ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ทว่าหลังจากหมาป่าตัวนี้ได้ยินชื่อบุตรสาวคนรองตระกูลหลินแล้ว มันก็ส่งเสียงหอนเบา ๆ จากนั้นฝูงหมาป่าที่อยู่ด้านหลังของมันก็ถอยออกไปจากตรงนั้นทันที

ท้ายที่สุดหมาป่าสีเทาดำตัวนั้นก็ถอยออกไปเช่นกัน ขณะที่มันจะหันศีรษะเดินจากไป เจ้าหนูน้อยก็ตะโกนออกมาว่า “เจ้าเทา ! ”

บุตรสาวคนโตตระกูลหลินรีบยกมือปิดปากเขาไว้เพราะกลัวเขาจะเรียกจ่าฝูงเจ้าเทาอีกรอบ จ่าฝูงเจ้าเทาหันมามองเจ้าหนูน้อยปราดหนึ่งและเหมือนมันกำลังพยักหน้ารับ เมื่อทำเสร็จแล้วมันก็หายตัวไปในความมืดมิดของหุบเขา

“สวรรค์ ! ตกใจแทบแย่ ! ” จนถึงตอนนี้ชาวบ้านฉือหลี่โกวจึงได้กล้าหายใจ

พรานหวังก็ตกใจเช่นกัน “สวรรค์ ! จ่าฝูงหมาป่าฟังภาษามนุษย์เข้าใจ ! ”

“ฟังภาษามนุษย์เข้าใจที่ไหนกันเล่า จ่าฝูงหมาป่าได้ยินชื่อนางหนูรองต่างหากจึงถอยออกไป ! ” หลิวต้าซวนเพิ่งหายตกใจ ทันใดนั้นเขาก็มีความคิดประหลาดผุดขึ้น “สมแล้วที่นางหนูรองเป็นลูกรักของเทพเจ้าแห่งขุนเขา ! การที่จู่ ๆ นางก็ได้สติคืนมา คงไม่ใช่เพราะเทพเจ้าแห่งขุนเขาช่วยไว้กระมัง ? บ่อน้ำลึกบนภูเขานั้นเป็นของขวัญที่เทพเจ้าแห่งขุนเขาประทานให้พวกเราชาวฉือหลี่โกว…”

เจ้าหนูน้อยดึงมือเสี่ยวร่างอย่างกระตือรือร้นแล้วไปอวดผลงานของพี่รองกับโก่วเชิ่งเอ๋อร์ วังตงเฉียงและสหายอีกไม่กี่คน “ตอนที่เจ้าเทาต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้นำ มันได้รับบาดเจ็บ พี่รองเป็นคนช่วยมันเอาไว้ ช่วยพันแผลและเอากระต่ายป่าไก่ป่าไปให้มันกิน เมื่อเจ้าเทาหายดีแล้ว มันก็สามารถเอาชนะจ่าฝูงตัวเก่าได้จนกลายเป็นจ่าฝูงตัวใหม่ จ่าฝูงเจ้าเทาซาบซึ้งในบุญคุณของพี่รองจึงเอาสัตว์ที่ล่าได้มาให้บ้านเราบ่อย ๆ ข้าจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งมันเคยเอากวางมูสหนักหลายร้อยชั่งมาให้ตัวหนึ่งด้วย ! ”

“ว้าว ! ดีจัง ! เนื้อกวางแผ่นที่เจ้าแบ่งให้พวกเราคราวก่อนคงเป็นเนื้อกวางที่จ่าฝูงเจ้าเทาเอามาให้สินะ ? ” วังตงเฉียงนึกถึงรสชาติที่ไม่เคยจางหายไปจากปลายลิ้น

เจ้าหนูน้อยพยักหน้า “ใช่ ! พี่รองบอกว่ากวางน่ารักเกินไป นางลงมือสังหารไม่ลง ดังนั้นเนื้อกวางแผ่นของบ้านเราส่วนใหญ่จึงทำมาจากเนื้อกวางที่จ่าฝูงเจ้าเทาล่ามาให้ ! ”

ทันใดนั้นพรานหวังก็นึกถึงฉากที่ฝูงหมาป่าล่าสัตว์ครานั้น ก่อนที่ฝูงหมาป่าจะออกไปก็ได้ทิ้งซากกวางที่สมบูรณ์ตัวหนึ่งไว้ ที่แท้ก็ไม่ใช่เพราะกินไม่หมด แต่ตั้งใจทิ้งไว้ให้นางหนูรองต่างหาก ! เมื่อเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟังแล้ว ทุกคนก็ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจทันที

ภายใต้การปกปิดร่องรอยของหลีชิง จึงทำให้โจรที่ไล่ตามชาวบ้านฉือหลี่โกวหลงทิศอย่างรวดเร็ว แม่ทัพข่มโทสะไว้ไม่อยู่ มันจ้องไปยังป่าอันมืดมิดด้วยสายตาดุดัน “ค้นหา ! ไปตามหามาให้ข้า ! แม้แต่คืบเดียวก็ห้ามละเลย ! ”

กุนซือพยายามเกลี้ยกล่อมแต่โดนตัดบทสนทนา พวกทหารกบฏยกคบไฟขึ้น จากนั้นก็เข้าแถวเดินตามหาในป่าอย่างละเอียด

“เรียนท่านแม่ทัพ ! พบเส้นด้ายที่เหมือนจะหลุดออกมาจากเสื้อผ้าขอรับ ! ” ผ่านไปไม่นาน พวกมันก็พบบางอย่าง

แม่ทัพรีบโบกมือไปตามทิศทางของด้ายเส้นนั้น “ตาม ! พวกมันพาคนแก่กับเด็กไปด้วยจะต้องเดินได้ช้า! ตามหาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ห้ามให้หนีไปได้แม้แต่คนเดียว ! ”

แม่ทัพที่ทำตัวเป็นโจรเดินตามหาร่องรอยตลอดทาง ทว่าพอมาถึงยอดเขาแล้วกลับพบเพียงหุบเหวลึกที่มองไม่เห็นก้นเหวอยู่ตรงเบื้องหน้า

“บัดซบ ! ” แม่ทัพจึงได้รู้ว่าติดกับเข้าแล้ว ! ร่องรอยพวกนี้เป็นสิ่งที่ชาวบ้านตั้งใจสร้างขึ้นมา ! “ลงเขาแล้วตามหาต่อไป ! ”

กุนซือคิดว่าพฤติกรรมเช่นนี้ของท่านแม่ทัพไม่ชาญฉลาดเอาเสียเลย เห็นได้ชัดว่าชาวบ้านฉือหลี่โกวคุ้นเคยกับหุบเขา ที่นี่มีภูเขาเชื่อมต่อกันหลายลูก จะตามหาคนหลักร้อยในหุบเขาที่กว้างใหญ่นี้ก็เปรียบดั่งการงมเข็มในมหาสมุทร ตอนนี้ทางเลือกที่ฉลาดคือไปขนเสบียงอาหารแล้วรีบถอยออกไปต่างหาก !

ทว่าท่านแม่ทัพผู้หัวรั้นโดนโทสะครอบงำความคิดไปแล้ว จึงพยายามจะลากตัวชาวบ้านฉือหลี่โกวที่กล้าลบเหลี่ยมของตนออกมาให้ได้ !

“ท่านแม่ทัพ หากยังทำเช่นนี้ต่อไป ฟ้าจะสว่างเอาได้ ! ” กุนซือรู้ว่าท่านแม่ทัพฟังคำเกลี้ยกล่อมโดยตรงไม่ไหวจึงได้แต่เตือนทางอ้อม

“ฟ้าสว่างก็ดี ! ในความมืดจับหนูกลุ่มนี้ไม่ได้ ฟ้าสว่างแล้วจะได้เห็นว่าพวกมันไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ! ” แม่ทัพออกคำสั่งให้เหล่านายทหารกบฏตามหาต่อไป

ตามหาไปตามหามา จู่ ๆ ก็มีเสียงหมาป่าหอนดังขึ้นเป็นระลอก ทหารกบฏนายหนึ่งมองไปทางที่มาของเสียงแล้วพูดกับท่านแม่ทัพว่า “เรียนท่านแม่ทัพ ข้างหน้ามีหมาป่า หากพวกฉือหลี่โกวไปซ่อนตัวอยู่ที่นั่นก็คงตกใจจนร้องโวยวายออกมานานแล้วขอรับ ! ”

แม่ทัพพยักหน้า “ใช่ ! ทางนั้นไม่ต้องหา จงไปหาทางนี้แทน ตามมา ! ”

ชาวบ้านฉือหลี่โกวไม่มีทางรู้ว่าหมาป่าแสนดุร้ายฝูงนั้นไม่เพียงไม่ทำร้ายพวกตน ทว่ายังปกปิดร่องรอยให้อีก เพื่อให้พวกตนรอดจนกว่ากองทหารรักษาการณ์มาถึง พวกมันช่วยยื้อเวลาอันมีค่าให้แล้ว

พวกกบฏเป็นเหมือนแมลงวันหัวขาด วิ่งไปมาในป่าให้วุ่น ส่วนหลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานที่ควบเสี่ยวหงก็มาถึงค่ายทหารรักษาการณ์เมืองจงโจวก่อนฟ้าสางจนได้

“ผู้ใด ! ค่ายทหารรักษาเมืองเป็นสถานที่ต้องห้าม จงรีบออกไป ! ” นายทหารที่เฝ้าประจำการอยู่รีบเข้ามาล้อมรอบทั้งสองคนและเล็งอาวุธในมือเข้าใส่

“รีบไปรายงานท่านแม่ทัพว่าหมู่บ้านฉือหลี่โกวเขตเริ่นอันมีกองทหารต้องสงสัยว่าเป็นของราชวงศ์ก่อนปรากฎตัวขึ้น ! ” เจียงโม่หานตะโกนอยู่บนหลังของเสี่ยวหง

หัวหน้านายทหารรักษาการณ์มองเจียงโม่หานด้วยความสงสัย ขณะเดียวกันก็นึกชื่นชมในใจว่าคนผู้นี้ผิวพรรณดีเหลือเกิน ทว่า…