บทที่ 338 แต่งงาน

บทที่ 338 แต่งงาน

ซูโย่วอี๋เปลี่ยนเรื่องพูดทันที “กินเถอะ เอาแต่กังวลทั้งวัน จะทำให้ลูกเป็นคนแก่นะ”

แต่ซุ่ยซุ่ยยังคงแน่วแน่ เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาที่เฉี่ยวคมและการแสดงความรู้สึกผ่านสายตาเหมือนกับลู่เฉินไม่มีผิด

เธออดที่จะคร่ำครวญถึงพลังของสายเลือดไม่ได้

หลังจากพาซุ่ยซุ่ยเข้านอนไปแล้ว ซูโย่วอี๋ก็เปิดเวยป๋อที่ไม่ได้เปิดมานาน ตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้ว ทำให้มีแฟน ๆ ลดลงไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากนัก

หลายคนยังส่งข้อความส่วนตัวถึงเธอทุกวันแม้ว่าจะเป็นเพียงการทักทายตอนเช้าก็ตาม

บางคนก็เขียนบทกวีให้เธอ บางคนเริ่มเรียนดนตรีที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเธอ บางคนถึงกับเขียนบทละครโดยมีเธอเป็นนางเอก

ทุกถ้อยคำอบอุ่นมาก

ใต้โคมไฟตั้งโต๊ะสลัว ๆ ซูโย่วอี๋เปิดใบรับรองการฝึกอบรมของวิทยาลัยฮิลเบิร์ตออกมาอ่านอีกครั้ง

เธอมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว

ในวินาทีต่อมา ระบบก็ดังขึ้น

[ประกาศภารกิจ ซู่จู่ต้องเข้าร่วมในชั้นเรียนฝึกอบรมของวิทยาลัยฮิลเบิร์ตและผ่านการประเมินเพื่อเข้าสู่วิทยาลัยเพื่อเข้าศึกษา]

[รางวัลภารกิจคือการจับฉลากรับสูตรยา]

สูตรยา?

คงไม่ใช่สูตรยาที่เธอใช้เม็ดช็อกโกแลตซื้อในร้านค้าหรอกนะ?

หากเป็นอย่างนั้น มูลค่าของสูตรยานี้ต้องไม่ธรรมดา!

เมื่อเธอมีวิธีได้เม็ดช็อกโกแลตเพื่อนำมาผลิตยาได้ ในอนาคตเธอก็จะสามารถเรียนรู้การทำยาได้ด้วยตัวเอง!

หากระบบอนุญาตให้ขายสูตรได้ มันต้องมีประโยชน์ต่อการรักษาพยาบาลของโลกที่ไม่อาจประเมินได้

ดูเหมือนว่าในครั้งนี้ ระบบจะใจป้ำไม่น้อย

เธอเองก็ต้องทำงานหนักเหมือนกัน “เจ้าจิ้งจอกเน่า”

เจ้าจิ้งจอกเน่าปรากฏตัวขึ้นในห้องและแปลงเป็นรูปลักษณ์ของผู้ใหญ่โดยไม่รู้ตัว

“กลับบ้านกัน!”

เนื่องจากเธอตัดสินใจเดินทางกลับประเทศจีนแล้ว ซูโย่วอี๋จึงไม่รอช้า โทรหาพ่อแม่ของเธอทันทีเพื่อรายงานกำหนดการเดินทาง

คู่สามีภรรยาฮันมีความสุขมากที่ลูกกำลังจะกลับมา “[กลับบ้านมาก็ปีใหม่พอดี ลูกจะมาเมื่อไหร่ล่ะ?]”

“ในอีกสองวันค่ะ”

“[ได้ ๆ ซื้อคั๋วแล้วก็โทรมาบอกเรานะจ๊ะ พวกเราจะไปรับลูก ทางนี้รอเจอซุ่ยซุ่ยแทบไม่ไหวแล้ว]”

ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ในคืนก่อนออกเดินทาง อุณหภูมิในอเมริกาลดลงกะทันหัน จนทำให้ซุ่ยซุ่ยเป็นหวัด

เขาน้ำมูกไหลไม่หยุดและครั่นเนื้อครั่นตัว

ซูโย่วอี๋จึงตัดสินใจเปลี่ยนเที่ยวบิน แต่ซุ่ยซุ่ยจับมือเธอแน่น “แม่ครับ ผมสบายดี”

หลังจากพูดจบ เขาก็หยิบหน้ากากออกมาสวม “ผมอยากเจอคุณตา คุณยาย และก็พวกคุณลุงเร็ว ๆ”

ซูโย่วอี๋คุกเข่าลงและแตะหัวของซุ่ยซุ่ย ก่อนพูดว่า “ถ้าลูกรู้สึกไม่สบายใจ ลูกต้องบอกแม่ทันทีนะ”

บนเครื่องบิน ซุ่ยซุ่ยกินยาแก้หวัดไปและหลับเกือบตลอดเวลา

ระหว่างทางเขาไข้ขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นซูโย่วอี๋จึงต้องวัดไข้เป็นระยะ ๆ

เมื่อเธอลงจากเครื่องบิน สภาพจิตใจของซูโย่วอี๋ก็ไม่ดีเช่นกัน

เธอดูมึนงง ขณะนำผู้ป่วยตัวน้อยออกจากเครื่องบิน

ซูโย่วอี๋กำลังจะไปรับสัมภาระ เนื่องจากเกรงว่าจะมีคนมากเกินไป เธอจึงขอให้เจ้าหน้าที่สนามบินช่วยดูแลลูกของเธอ

“ซุ่ยซุ่ย อย่าเดินไปไหนคนเดียวล่ะ เดี๋ยวแม่กลับมา”

ซุ่ยซุ่ยพูดเบา ๆ “ครับ”

ที่มุมสนามบิน

นักข่าวบันเทิงกลุ่มหนึ่งซ่อนตัวอยู่ในความมืด ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสงสัย

“นายบอกว่าประธานลู่จะกลับจีนวันนี้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่เห็นมีใครเลย?”

พวกเขานั่งรอมา 7-8 ชั่วโมงแล้ว

“เฮ้ เดี๋ยวก่อน บางทีพวกเขาอาจจะไม่กลับมาในวันนี้ก็ได้ เราอาจได้ข่าวปลอมมา”

ชายที่พูดในตอนแรกถอนหายใจ “แล้วเราจะรอต่อไหม?”

“รอสิ ทำไมจะไม่รอ นักข่าวคนอื่นเฝ้าติดตามข่าวใหญ่แบบนี้กันทั้งนั้น ทำไมนายไม่รอด้วยล่ะ?”

กี่ปีแล้วที่รัชทายาทแห่งปักกิ่งไม่มีผู้หญิงข้างกาย ซึ่งในที่สุดก็มีข่าวลือว่าประธานลู่มีคนสนิท ทั้งคราวนี้เขายังพาอีกฝ่ายเดินทางไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับเธอมาก

แล้วอย่างนี้พวกเขาจะปล่อยโอกาสนี้ไปได้อย่างไร?

ไม่มีทาง!

แต่จู่ ๆ ก็มีคนตะโกนว่า “มาแล้ว” ก่อนนักข่าวสายบันเทิงจะแห่กันไปมุงอย่างบ้าคลั่ง

สองคนนี้ก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระโดดขึ้นเหมือนถูกไฟลนก้น “ให้ตายเถอะ คุยกับนายแป๊บเดียวงานของฉันก็ล่าช้าแล้ว”

พวกเขาไม่สนใจร่างเล็ก ๆ บนพื้น ที่ถูกชนล้มลงกับพื้นเลย

ซุ่ยซุ่ยมองตามชายที่เห็นเพียงด้านหลัง “หยาบคายจัง”

เขาถูแขนป้อยและเตรียมยืนขึ้น แต่มีร่างหนึ่งย่อตัวลงตรงหน้าเขา “เพื่อนตัวน้อย เธอสบายดีไหม?”

ซุ่ยซุ่ยเงยหน้าขึ้นและเห็นชายคนนั้น ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาสูงมาก อีกฝ่ายสวมเสื้อกันลมสีดำยาว ริมฝีปากบางเม้มแน่น ดวงตาของเขาเย็นชาและลึกล้ำ

“ขอบคุณ ผมลุกขึ้นเองได้”

ลู่เฉินไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วย ได้แต่เฝ้าดูเด็กชายอย่างเงียบ ๆ

ดวงตาคู่นั้นคุ้นมากเกินไป

คุ้นจนเหมือนมองตัวเองตอนเด็ก ๆ

ทั้งนาฬิกาพกที่แขวนอยู่บนหน้าอกของเด็กชายตัวเล็กนั้นก็ได้รับมาจากเขาเมื่อสามปีที่แล้ว

ลู่เฉินจำได้ดี “เธอชื่อซุ่ยซุ่ยใช่ไหม?”

ซุ่ยซุ่ยแปลกใจมาก “คุณลุงรู้จักผมเหรอ?”

ลู่เฉินยกยิ้มมุมปาก “อืม ประมาณนั้น”

“พ่อแม่เธออยู่ไหน?”

“แม่ไปเอากระเป๋าอยู่ครับ”

ซุ่ยซุ่ยหยิบทิชชู่เปียกออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเขา “คุณลุง เสื้อผ้าของคุณเลอะแล้ว เอาไปเช็ดสิครับ”

ลู่เฉินรับมาโดยไม่ได้ใช้มัน

ซุ่ยซุ่ยเห็นชายหญิงสองคนที่รอลู่เฉินอยู่ “คุณลุง ไปเถอะครับ อีกเดี๋ยวแม่ก็จะกลับมาแล้ว”

ทันใดนั้น ผู้ช่วยก้าวมาข้างหน้าพอดี “ประธานลู่ครับ บริษัท…”

ลู่เฉินยกมือขึ้นเพื่อไม่ให้เขาพูดต่อ “ให้พวกเขารอก่อน”

หลังจากนั้นไม่นาน ซูโย่วอี๋ก็เดินมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางของเธอ

แว่นกันแดดปิดใบหน้าส่วนใหญ่ของเธอไว้ แต่เธอยังดูซีดเซียวเล็กน้อย

ในตอนแรกเธอจำชายที่หันหลังให้เธอไม่ได้ เธอไม่รู้ว่านั่นคือลู่เฉิน จนกระทั่งเธอเดินเข้าไปใกล้ ๆ

ซูโย่วอี๋ตัวแข็งทื่อ

สายตาของลู่เฉินจ้องมองมาที่เธอ ในไม่กี่วินาทีนั้น ซูโย่วอี๋ถึงกับลืมหายใจ

จากนั้น ลู่เฉินยื่นมือออกมาและพูดอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ คุณซู ผมลู่เฉิน”

กลายเป็นว่าเขามองว่าเธอเป็นเพียงหุ้นส่วนเท่านั้น

ซูโย่วอี๋หัวเราะเยาะกับความคิดของตัวเอง และยื่นมือออกไปจับมืออีกฝ่าย “ช่างบังเอิญจริง ๆ ค่ะ ประธานลู่”

สัมผัสนั้นอ่อนโยน

“คุณซู กำลังจะไปไหนครับเหรอ ผมจะให้คนขับพาคุณไปส่ง”

“ไม่ต้องค่ะ ไม่ใช่ทางผ่าน”

ลู่เฉินจ้องเธอไม่วางตา “งั้นเรายินดีต้อนรับคุณซูมาเยี่ยมชมบริษัทเมื่อมีเวลานะครับ”

ขณะที่พวกเขากำลังเดินหายไป ซูโย่วอี๋ยังคงเฝ้ามองตามแผ่นหลังนั้นไป

จนซุ่ยซุ่ยต้องดึงขากางเกงของเธอ “แม่ครับ แม่เห็นป้าคนนั้นด้วยหรือเปล่า?”

“ป้าคนไหนคะ?”

“ป้าข้าง ๆ คุณลุงลู่ไง เธอดูเหมือนแม่เลยนะ”

ป้า?

ซูโย่วอี๋ไม่สนใจ “ไปกันเถอะ”

ทันทีที่เธอพูดจบ คุณนายฮันก็ร้องเรียก “รีบมากันเร็ว”

เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลฮัน ฮันเจียงก็พาหลานตัวน้อยลงจากรถ “ซุ่ยซุ่ย เข้ามาในบ้านกับตามา”

ซุ่ยซุ่ยจับมือฮันเจียงอย่างเชื่อฟัง คุณนายฮันจึงจับมืออีกข้างของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ด้วยกลัวว่าเธอจะดึงเขาลงมา

ไม่กี่วันต่อมา ซูโย่วอี๋ก็ตระหนักถึงคำว่าปู่ย่าเป็นอย่างไร

คู่สามีภรรยาฮันตามใจซุ่ยซุ่ยมาก

ให้ทุกสิ่งที่เขาต้องการ

ตราบใดที่ซุ่ยซุ่ยชอบ แม้แต่เครื่องบินและปืนใหญ่พวกเขาก็คงซื้อได้ เรียกได้ว่าแทบคว้าดาวเดือนมาประเคนให้

ซูโย่วอี๋ถึงต้องแบบมากระซิบกับคุณนายฮัน “แม่คะ อย่าตามใจเขามากเกินไปสิ มันไม่ดีสำหรับเด็กนะ”

แต่คุณนายฮันมีความคิดของเธอเอง “แม่รู้ พ่อของลูกและแม่รู้จักความเหมาะสม ถึงจะดูเหมือนว่าเราจะตามใจซุ่ยซุ่ย อันที่จริง เขาแค่ตามใจพวกเรามากกว่านะจ๊ะ”

“บางครั้งซุ่ยซุ่ยก็ไม่ชอบเล่นของที่เราให้เลย แต่เขาแสร้งทำเป็นชอบเพื่อไม่ให้เราเสียใจ”

“เสี่ยวอี๋ เราเจ็บปวดมากที่ได้เห็นเขาเป็นแบบนั้น เขามีเหตุผลเกินไป”

ซูโย่วอี๋รู้อยู่เสมอว่าซุ่ยซุ่ยโตเกินไว แต่เพราะไม่มีใครพูด เธอจึงไม่สนใจ

หลังจากได้รับการเตือนจากพ่อแม่ของเธอ เธอพบว่าซุ่ยซุ่ยมักเข้าไม่ได้กับคนวัยเดียวกัน

มีเสียงดังขึ้นจากในสวน หลังจากนั้นไม่นาน ฮันเจ๋อหยางก็เดินเข้ามา

คุณนายฮันตำหนิว่า “2-3 วันมานี้ ลูกไปอยู่ที่ไหนมา คนกำลังจะแต่งงานต้องจริงจังมากกว่านี้”

ฮันเจ๋อหยางยิ้มไม่หุบขณะยกของเล่นในมือขึ้น “ผมรู้แล้วน่า ซุ่ยซุ่ยเป็นยังไงบ้าง? ผมคิดถึงหลานมากเลย”

คุณนายฮันบ่น “จริง ๆ เลย เอาแต่ไร้สาระทั้งวัน”

ฮันเจ๋อหยางพูดด้วยรอยยิ้มขี้เล่น “แม่ครับ ถ้าไม่ได้ฟังแม่บ่น ผมจะรู้สึกไม่สบายทั้งวัน ก็เลยกลับบ้านมาหาไงครับ”

คุณนายฮันขี้เกียจจะเถียงด้วยแล้ว “คุณไป๋อาการดีขึ้นไหม?”

“ก็ยังเหมือนเดิมครับ หมอคาดว่าอย่างช้าที่สุดก็เหลือเวลาประมาณหนึ่งปี”

“ได้แต่บำรุงร่างกายเพื่อยืดเวลา”

คุณนายฮันมองอย่างเห็นอกเห็นใจ “ทุกอย่างไม่เที่ยงจริง ๆ ลูกไปหาซุ่ยซุ่ยเถอะ”

ซูโย่วอี๋สับสน “แม่คะ ฮันเจ๋อหยางกำลังจะแต่งงานเหรอคะ?”

“อืม มันเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน เราเลยไม่มีเวลาบอกลูก”

“ผู้อาวุโสของตระกูลไป๋ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายเมื่อเดือนที่ผ่านมา กินยาก็ไร้ประโยชน์ เขาหวังเสมอว่าเสิ่นเฉียวจะกลับไปยังตระกูลไป๋เพื่อสืบทอด ในที่สุดตอนนี้ความหวังเขาก็เป็นจริง”

“แต่คุณไป๋เป็นห่วงที่เธออยู่คนเดียวและบอกว่าเขาต้องการเห็นเธอแต่งงาน สองครอบครัวของเราได้พูดสัญญากันไว้เรื่องการแต่งงานระหว่างฮันเจ๋อหยางและเสิ่นเฉียว แต่นอกจากพี่ชายของลูกแล้วก็คงไม่มีใครจริงจังกับมันหรอก”

“ตอนแรกยัยหนูเสิ่นเฉียวคนนั้นก็ไม่เห็นด้วย แต่เมื่อสองวันก่อน ผู้เฒ่าไป๋อาการทรุดจนต้องเข้าหอผู้ป่วยหนัก หลังจากคิดไปคิดมา เสิ่นเฉียวก็ยอมตกลงแต่งงานน่ะ”

คุณนายฮันรู้ดีว่าฮันเจ๋อหยางไม่ใช่คนประเภทที่ไป๋เสิ่นเฉียวชอบเลย ถ้าผู้เฒ่าไป๋ไม่เกิดเรื่อง อีกฝ่ายจะไม่ยอมแต่งกับลูกชายของเธอแน่

เมื่อได้ยินอย่างนี้ ซูโย่วอี๋ก็ตกตะลึง “แม่ไม่รังเกียจที่เสิ่นเฉียวตกลงที่จะแต่งงานกับฮันเจ๋อหยางเพียงเพื่อเห็นแก่ผู้เฒ่าไป๋เหรอคะ?”

“ก็ถ้าเจ๋อหยางไม่ว่าอะไร แม่จะคิดอะไรได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พ่อและแม่เฝ้าดูเขาไล่ตามเสิ่นเฉียวไม่หยุด เรายังทำอะไรไม่ได้เลย ปล่อยให้แต่งงานกับเสิ่นเฉียวไปจะดีกว่า เพื่อที่เขาจะได้เป็นผู้เป็นคนสักที”

เจ้าจิ้งจอกเน่าโกรธจนจมูกเบี้ยว [ฮันเจ๋อหยางไม่คู่ควร! คุณปล่อยพี่สาวไป๋แต่งงานกับคนอย่างฮันเจ๋อหยางได้ยังไงกัน?]

หลังจากนั่งอยู่พักนึง ซูโย่วอี๋ก็ขึ้นไปชั้นบน เห็นฮันเจ๋อหยางกำลังประกอบของเล่นอยู่กับซุ่ยซุ่ย

แต่เขายังมีนิสัยขาดความอดทนเหมือนเคย

พอซุ่ยซุ่ยหยุดครุ่นคิดสักนิด เขาก็จะยื่นมือเข้าช่วยทันที

ซุ่ยซุ่ยจึงเริ่มหมดความอดทน “ลุงรอง ขอผมเล่นเองสักพักได้ไหมครับ?”

ฮันเจ๋อหยางลูบจมูกแก้เก้อ “ลุงกลัวว่าเธอจะไม่รู้วิธีนี่”

ซุ่ยซุ่ยหันไปเห็นซูโย่วอี๋พิงกรอบประตูอยู่ “แม่”

ฮันเจ๋อหยางหันศีรษะของเขา “ทำไมเธอถึงไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลยล่ะ?”

“ฮันเจ๋อหยาง ออกมากับฉันหน่อย”

“ฮันเจ๋อหยางอะไร เรียกฉันว่าพี่ชายสิ!”

ฮันเจ๋อหยางเดินตามซูโย่วอี๋ไปที่ประตูอย่างขุ่นเคือง “ช่วยไว้หน้าพี่ต่อหน้าซุ่ยซุ่ยหน่อยได้ไหม”

“พี่อยากแต่งงานกับเสิ่นเฉียวจริง ๆ เหรอ?”

ฮันเจ๋อหยางพูดอย่างจริงจัง “ไม่จริงได้ยังไง? มันจริงซะยิ่งกว่าจริง”

“เธอไม่เคยเจอเสิ่นเฉียวเลยไม่รู้ว่ายัยนั่นเก่งแค่ไหน เธอต้องเชื่อใจวิสัยทัศน์ของพี่ชายเธออย่างพี่ พี่จะมองคนผิดได้ยังไง?”

ซูโย่วอี๋คิดทบทวน ฉันไม่กังวลเกี่ยวกับพี่ แต่ฉันเป็นห่วงเสิ่นเฉียวต่างหาก

“เสิ่นเฉียวไม่ชอบพี่”

คำพูดนั้นทำให้ความมั่นใจของฮันเจ๋อหยางหดหาย “แล้วไง พี่ไม่ได้บังคับเธอนี่ เธอเต็มใจที่จะแต่งงานกับพี่เพื่อผู้เฒ่าไป๋ ส่วนพี่ก็จะปฏิบัติต่อเธอด้วยความจริงใจ มีอะไรผิดหรือไง?”

“ไม่สิ เธอรู้ได้ยังไงว่าเสิ่นเฉียวไม่ชอบพี่?”

ซูโย่วอี๋พูดอย่างใจเย็น “พี่ใหญ่บอกฉัน”