บทที่ 359 ตรวจสอบพระราชวังต้องห้าม

ฮ่องเต้เซี่ยเจินกลับตำหนักฉินเจิ้งและสั่งไม่ให้ผู้ใดตามเข้าไป ขังตัวเองอยู่ในนั้นเพียงลำพัง

หวังชิงคุกเข่าอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามขึ้นมา “เจียงกงกง หัวของราชครูเล่าขอรับ?”

เจียงเต๋อเอ่ยอย่างหมดความอดทน “นำไปจัดการซะ”

หวังชิงคิดแล้วก็จริง ไม่อย่างนั้นต่อให้ฝ่าบาทจะทรงโปรดราชครูเพียงใด แต่เก็บหัวเขาเอาไว้จะทำอะไรได้

เขาลุกขึ้นยืนคิดไปคิดมา ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง “ร่างของราชครูยังแขวนประจานอยู่ที่ประตูเมือง จะให้จัดการพร้อมกันเลยหรือไม่ขอรับ?”

เจียงเต๋ออยากจะเตะเขาสักที ติดที่ว่าด้วยฐานะจึงไม่เหมาะสมที่จะทำเช่นนั้น

“นี่เป็นคำสั่งของไท่ซ่างหวงใช่หรือไม่?”

หวังชิงไม่ได้พูดอะไร

เจียงเต๋อปัดมือไปมา “เช่นนั้นก็เอาหัวไปด้วย”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินยังไม่กล้าว่าอะไรไท่ซ่างหวง พ่อลูกอย่างไรเสียพ่อก็ย่อมเหนือกว่าลูก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีเหตุผลอีกด้วย

แต่ดูจากการที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินขังตัวเองไว้ในตำหนัก ไม่รู้ว่าต่อไปจะจัดการใครอีก

ไม่นานความคิดของเจียงเต๋อก็ได้รับการยืนยัน

ฮ่องเต้เซี่ยเจินสั่งให้คนไปตรวจสอบดูว่ามีสายข่าวขององค์ชายรองและองค์ชายสามในวังหรือไม่ โดยเริ่มตรวจสอบจากตำหนักฉินเจิ้งก่อน และยังสั่งกักบริเวณเต๋อเฟยอีกด้วย

คงจะจัดการอย่างจริงจังแล้ว

หากว่าองค์ชายทั้งสองพระองค์นี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น และหากไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ องค์ชายห้าที่เหลืออยู่ก็จะได้เข้าไปอยู่ตำหนักบูรพาอย่างราบรื่น

หรือคนที่จะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้ายจะเป็นซูเฟย?

เจียงเต๋อสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินรู้สึกกระสับกระส่ายยิ่งนัก เมื่อหลับตาลงเขาก็เห็นเซี่ยอวี้อีกครั้ง

และตอนที่เขาปวดหัวจนแทบจะระเบิดก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ตอนนั้นที่เขาปล่อยให้คนลากเซี่ยอวี้ลงมาจากตำแหน่งองค์รัชทายาท มองดูเขาเจ็บปวดและผิดหวัง มองดูลูกชายที่อ่อนเยาว์และโดดเด่นไหล่ลู่ลงมา ในใจเขาเคยนึกเสียใจบ้างหรือไม่?

หากเป็นเซี่ยอวี้ เด็กคนนั้นไม่มีทางทำถึงเพียงนี้อย่างแน่นอน

เขาเองก็เคยภาคภูมิใจในตัวเซี่ยอวี้

เขามีรัชทายาทเช่นนี้…

แต่เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?

นานเพียงใดแล้วที่เขานึกไม่ออกว่าองค์รัชทายาทที่ทำให้คนภาคภูมิใจมีหน้าตาเป็นเช่นไรบราวนี่ออนไลน์

ทั้ง ๆ ที่เขาเคยพบ

แต่เขาลืมไปแล้วจริง ๆ ในความทรงจำของเขา เซี่ยอวี้เป็นเพียงคนในความฝันที่ถามเขาว่า เหตุใดถึงทนมองคนอื่นลากเขาลงสู่โคลนตมเช่นนั้นได้

เขาเรียกหาแต่เสด็จพ่อ เรียกจนหัวใจของฮ่องเต้เซี่ยเจินสั่นสะท้าน

เขารู้ว่าตัวเองไม่คู่ควร

อู๋ซิ่วมองไปที่ศพทั้งสองที่ห้อยอยู่ที่ประตูเมือง พลางคิ้วกระตุกขึ้นมา

เขาบอกว่าอย่างไร การเดินเล่นของเผยยวน ใช่แค่การเดินเล่นส่งเดชที่ใดกัน?

คนอื่นอาจเดินเล่นเพื่อซื้อของ แต่สำหรับเผยยวนนั้นคือการเอาชีวิตคน

“ท่านนายกอง พวกเราไม่ต้องสนใจหรือขอรับ?”

เอาศพมาแขวนไว้ตรงนี้ น่ากลัวเกินไปแล้ว

ศพของผู้ชายไม่มีหัว เสื้อผ้าที่สวมใส่ขาดรุ่งริ่ง ส่วนศพของผู้หญิงแม้ว่าร่างจะยังคงสมบูรณ์ แต่ใบหน้านั้นกลับน่ากลัวกว่าศพที่ไม่มีหัวเสียอีก ทั้งยังจ้องมองผู้คนด้วยดวงตาที่เบิกโพลง หากเก็บไปฝันร้ายตอนกลางคืนต้องน่ากลัวมากเป็นแน่

อู๋ซิ่วเบะปากใส่ “เจ้าไม่มองก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ สมควรแขวนหรือไม่ แขวนอย่างไร แขวนนานเท่าใด ใช่สิ่งที่พวกเรามีสิทธิ์สงสัยอย่างนั้นหรือ?”

ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว หิมะก็เริ่มตกแล้ว ไม่แน่ว่าศพนั่นอาจจะแขวนได้นานก็เป็นได้บราวนี่ออนไลน์

ในขณะที่อู๋ซิ่วกำลังจะกลับไปที่ประตูเมืองเพื่อหลบลมและงีบหลับ ก็เห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ตรงนั้น คาดว่าอาจเป็นเพราะรับรู้ได้ถึงสายตาของอู๋ซิ่ว ม่านที่หน้าต่างรถม้าจึงสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนรถม้าจะจากไป

“ท่านนายกอง มองอะไรหรือขอรับ?”

อู๋ซิ่วเบะปากหนึ่งที “รถม้าของตำหนักองค์ชายรอง”

แม้ว่ารถม้านั่นปกติพ่อบ้านจะใช้ออกไปนอกเมืองเพื่อซื้อของ แต่อู๋ซิ่วที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ประตูเมือง หากเท่านี้ตายังไม่มีแววจะเอาตัวรอดได้อย่างไร?

รถม้าคันนั้นเป็นของตำหนักองค์ชายรองจริง ๆ แต่คนในรถม้ากลับไม่ใช่พ่อบ้าน

แต่เป็นตัวองค์ชายรองเซี่ยหยางเอง

จนถึงตอนนี้เขายังไม่อยากจะเชื่อว่าจี้หมิงซูจะตายไปเช่นนี้จริง ๆ

ในใจของเขาเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ ไม่ถึงกับเสียใจและไม่ถึงกับยากจะเชื่อ มันเป็นความรู้สึกที่ราวกับว่ามีบางอย่างขาดหายไป

แต่ก็ไม่ใช่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก พูดตามตรง หลังจากจวนจี้กั๋วกงถูกคนรื้อไป และชื่อเสียงของจี้หมิงซูถูกทำลาย ทุกครั้งที่เซี่ยหยางเห็นจี้หมิงซูความชื่นชอบที่เคยมีต่อนางก็ลดลงไปหลายส่วน

บุรุษเป็นสัตว์นักล่า ชอบการไล่ล่ามาตั้งแต่กำเนิด และต้องการครอบครองในสิ่งที่ชอบ

จี้หมิงซูเมื่อก่อนมีชื่อเสียงถึงเพียงนั้น ทั้งยังมีความสามารถ เป็นหลังบ้านที่ดีอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นนางยังงดงามและไม่โง่เง่า แต่หากสิ่งเหล่านี้ล้วนกลายเป็นเพียงเมฆในอากาศ นางก็เป็นได้แค่สตรีธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น

สิ่งที่นางมีสตรีคนอื่นก็ล้วนมีเช่นกัน อีกทั้งเมื่อพบปัญหาก็ไม่มีความสามารถที่จะจัดการกับปัญหาได้

เซี่ยหยางไม่ได้ชอบนางถึงเพียงนั้นมานานแล้ว แต่ตอนนี้นางตายแล้วจริง ๆ

เขาจึงรู้สึกว่าสาวน้อยคนที่มั่นใจว่าเขาต้องได้เป็นฮ่องเต้ และเลื่อมใสในตัวเขาไม่มีอีกแล้ว

เซี่ยหยางปล่อยให้เกี้ยวที่มีเบาะนุ่มหามเขากลับไปที่ห้องด้วยท่าทางครุ่นคิด

เย่จิ่งฝูเห็นว่าได้เวลาแล้วจึงมาใส่ยาให้เขา แต่ก็พบว่าภายในห้องของเขาไม่ได้จุดเทียน

“องค์ชายรอง?”

ผ่านไปสักพัก ด้านหลังฉากกั้นจึงมีเสียงแหบแห้งของบุรุษดังขึ้น “อืม”

เย่จิ่งฝูขมวดคิ้ว “เหตุใดถึงไม่จุดเทียนเล่า?”

นางจึงหยิบที่จุดไฟบนโต๊ะมาจุดด้วยตัวเอง ภายใต้แสงเทียนสลัว เซี่ยหยางเพียงเอนกายลงบนหมอนนุ่ม จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบ ๆ

“ข้ามาใส่ยาให้” เย่จิ่งฝูเอ่ยเตือนหนึ่งประโยค ให้เขายื่นข้อมือมาเอง

เซี่ยหยางมองหน้านาง จู่ ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นมา “แม่นางเย่มีคนในดวงใจหรือไม่ หากรู้ว่ามีอะไรเกิดกับเขา เจ้าก็คงเสียใจกระมัง”

เย่จิ่งฝูตอบกลับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ไม่ ข้าจะอยู่เคียงข้างกับคนในดวงตาของข้าเสมอ”

เซี่ยหยางยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน บางทีคนที่พูดคำหวานกับเจ้า พริบตาต่อมาอาจไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วก็ได้”

ดวงตาของเย่จิ่งฝูเปล่งประกายขึ้นมา จึงยิ่งสว่างไสวในห้องมืด ๆ แห่งนี้

“ข้าอุทิศชีวิตให้กับการแพทย์ เรื่องบุรุษข้าไม่สนใจ”

เซี่ยหยาง “…”

เย่จิ่งฝูทายาที่แผลของเขาเสร็จ จึงเก็บกล่องยาเล็ก ๆ ของตัวเองแล้วเอ่ยขึ้น “จี้หมิงซูตายแล้ว องค์ชายรองก็ไม่ได้โศกเศร้าเสียใจ แต่กลับสนใจว่าหากคนอื่นสูญเสียคนรักจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าในใจขององค์ชายรองสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือตัวเอง เหตุใดยังต้องแสร้งทำเป็นเจ็บปวดเพื่อนางอีกเล่า?”

เซี่ยหยางขมวดคิ้ว “ข้ากับจี้หมิงซูไม่ใช่ว่าไม่มีมิตรภาพที่ลึกซึ้งต่อกัน”

“อืม เพียงแต่ความรู้สึกนั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรในหัวใจของท่านก็เท่านั้น” เย่จิ่งฝูลุกขึ้นยืน “ข้าไม่ชอบบุรุษก็เพราะคนเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน วันนี้ใส่ยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะให้สาวใช้ของข้าเป็นคนมาใส่ยาให้ท่าน”

เซี่ยหยางหมดความอดทน “แล้วเจ้าจะไปที่ใด?”

เขาจ่ายเงินเชิญนางมา ไม่ใช่เพื่อมาฟังนางพูดจาประชดประชัน ยิ่งไปกว่านั้นหากเป็นบุรุษที่หยิ่งทะนงในตัวเอง ต้องไม่ชอบสตรีที่ประกาศว่าชีวิตนี้ไม่ต้องการบุรุษเช่นนี้แน่

พวกเขาเพียงแค่คิดว่าเป็นเพราะพวกนางยังไม่เคยเจอกับบุรุษที่ดี จึงได้พูดออกมาเช่นนี้

เย่จิ่งฝูตอบกลับไปอย่างจริงจัง “ข้าจะไปขอพบหมอเทวดาที่หย่งอันถัง”

นางเอ่ยถึงตรงนี้ก็ปัดมือไปมา “ต่อให้ข้าบอกองค์ชายรองไป ท่านก็คงไม่เข้าใจ ข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน”

เย่จิ่งฝูเดินมาถึงหน้าประตู สาวใช้จึงได้พึมพำออกมา “ท่านพูดเช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะเป็นการล่วงเกินองค์ชายรองหรือเจ้าคะ?”

“ก็แค่พูดความจริงเท่านั้น พวกเราเห็นความเป็นความตายจนชินชา เจ้าเคยเห็นชายผู้หนึ่งที่สูญเสียหญิงที่ตัวเองรัก ทว่ากลับสงบนิ่งเช่นนี้หรือไม่ แสดงก็ยังแสดงได้ไม่แนบเนียน แทนที่จะทนดูเขาเล่นละครอยู่ตรงนั้น ไม่สู้ข้าเอาเวลาไปศึกษายาของหย่งอันถังให้มากจะดีกว่า”

.

.