บทที่ 292 รับซานเป่าเป็นลูกบุญธรรม

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 292 รับซานเป่าเป็นลูกบุญธรรม
บทที่ 292 รับซานเป่าเป็นลูกบุญธรรม

ดวงตะวันยังไม่ลาลับขอบฟ้า เหยาเฉายังไม่มีวี่แววจะกลับมาจากข้างนอก สองสามีภรรยาหลินเหราจึงพาเด็ก ๆ ทั้งสามคนไปยังห้องโถงด้านหน้า

บริเวณห้องโถงด้านหน้าจุดตะเกียงรอไว้เรียบร้อย หลังจากที่ครอบครัวของหลินเหรามาถึง เหล่าคนรับใช้ก็เริ่มทยอยกันยกอาหารเข้ามา

เหล่าคนรับใช้ที่ทยอยกันยกอาหารเดินผ่านไปทีละคน ทุกคนยังคงนิ่งเงียบ ไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย

ระหว่างที่อาหารยังมาไม่ครบ เซี่ยเชียนได้ไถ่ถามถึงสถานการณ์ในบ้านของเหยาซู ซึ่งเจ้าตัวได้ตอบทีละคำถามตามความหมายที่ผู้อาวุโสหมายถึง

เห็นได้ชัดว่าเซี่ยเชียนก็ไม่ได้ดูอาวุโสไปกว่าสองสามีภรรยาอย่างพวกเขานัก

อาซือกระซิบข้างหูของอาจื้อเบา ๆ “ท่านพี่ ท่านไม่รู้สึกบ้างหรือ ว่าท่านปู่เซี่ยเหมือนจะอารมณ์ดี?”

อาจื้อปรายตามองเซี่ยเชียน แล้วส่ายหน้า “ไม่รู้สึก”

เด็กหญิงเบะปาก “ก็ใช่ แม้ท่านปู่จะดูเหนื่อยไปบ้าง แต่นัยน์ตาของเขากลับยิ้มแย้มสดใส”

อาจื้อแอบมองเซี่ยเชียนอีกครู่หนึ่ง ครั้นได้เห็นท่าทางที่เขาพูดคุยกับท่านพ่อและท่านแม่ จึงมั่นใจว่าปกติแล้วเขาไม่ได้เย็นชาถึงเพียงนั้น

นี่เป็นสาเหตุที่เขาอารมณ์ดีใช่หรือไม่?

เด็กสองคนแอบถกเถียงประเด็นของเซี่ยเชียนอย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่รู้ว่าการเคลื่อนไหวของตัวเองนั้นอยู่ในสายตาของพวกผู้ใหญ่อย่างชัดเจน แม้แต่เสียงกระซิบกระซาบนั้นก็ยังได้ยินกันทั้งสิ้น

เซี่ยเชียนหันกลับไปถามอาจื้อว่า “สองสามวันนี้ที่ข้าไม่อยู่ ฝึกเขียนไปถึงไหนแล้ว?”

เด็กชายยืดหลังตรง มือวางบนเข่าทันใด แล้วตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ฝึกเขียนวันละสองชั่วยาม ไม่เคยรู้สึกเกียจคร้านเลยขอรับ”

เซี่ยเชียนตอบ ‘อืม’ ด้วยเสียงราบเรียบ และถามว่า “ตำราที่ข้าให้เจ้าไป อ่านจบแล้วหรือยัง?”

อาจื้อมีสีหน้าลำบากใจทันใด นิ้วมือขยุ้มชายเสื้อโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็พูดอย่างกังวลว่า “อ่านขอรับ อ่านจบบางส่วนแล้ว…”

เซี่ยเชียนปรายตามอง “หือ?”

“ท่านปู่เซี่ย บางอย่างข้าก็ยังไม่เข้าใจ” อาจื้อรีบพูด

เซี่ยเชียนกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่เข้าใจก็มาถามข้า ข้าอยู่จวนทั้งวัน”

เมื่อเด็กชายเห็นเซี่ยเชียนไม่ได้จะตำหนิเขา จึงรู้สึกโล่งอยู่ในใจ จากนั้นก็รีบพยักหน้าหงึกหงัก กระทั่งเห็นเซี่ยเชียนกำชับเขาด้วยท่าทางราบเรียบ “หนังสือที่อ่านจบแล้ว มีปัญหาตรงไหนก็ให้มาถามข้า เข้าใจหรือไม่?”

มือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนเข่าของอาจื้อได้กระชับแน่นขึ้น สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างหนักหน่วง “อื้อ! ท่านปู่เซี่ย ข้าเข้าใจแล้ว!”

เหยาซูมองอยู่ด้านข้าง และบ่นกระซิบกระซาบกับหลินเหราว่า “ท่านเห็นไหม คนที่มีนิสัยเย็นชาอย่างท่านปู่ยังมีความอดทนต่อเด็ก ๆ มากเป็นพิเศษเลย ท่านเป็นพ่อ จะไม่ทำตามสักหน่อยหรือ? วัน ๆ ก็เอาแต่ตำหนิอาจื้อ จนลูกไม่ยอมเข้าใกล้ท่านแล้ว…”

หลินเหราบีบมือของเหยาซูเบา ๆ ใบหน้าอันหล่อเหลาแสดงสีหน้าจนปัญญา ก่อนจะพูดเสียงทุ้มต่ำ “รับทราบ ข้าจะเชื่อฟังฮูหยิน”

เหยาซูดิ้นสะบัด แล้วสบโอกาสหยิกแขนของหลินเหรา จากนั้นก็พูดด้วยความขุ่นเคือง “ข้ากำลังพูดจริงจังกับท่านอยู่นะ!”

ชายหนุ่มพยักหน้า “อาซู ข้าจำได้แล้ว ยังไม่พอใจอีกหรือ? ก่อนหน้านั้นข้าคงตำหนิอาจื้อเกินขอบเขตมากไป”

เหยาซูเห็นหลินเหราดูจริงจัง จึงปล่อยเขาอย่างพอใจ

ยามรับประทานอาหารในจวนเซี่ยจะให้ความสำคัญกับการ ‘ไม่พูดระหว่างทานอาหาร’ อาจื้อชินแล้ว อาซือเองก็รับประทานอาหารอย่างเชื่อฟัง

กลับเป็นซานเป่าที่เบิกดวงตาที่งดงามดุจอัญมณีสีดำขลับคู่นั้น จ้องมองเซี่ยเชียนอย่างตาไม่กะพริบ ไม่กินอาหารและไม่โวยวาย ทำให้เหยาซูแปลกใจมาก

เซี่ยเชียนสัมผัสได้ถึงสายตาที่แผ่มาจากด้านข้าง ตอนแรกเขาก็ไม่ได้สนใจนัก ต่อมาจึงหันไปมองซานเป่า

ชายหนุ่มเอ่ยถามเหยาซูด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ซานเป่าเป็นอย่างไรบ้าง?”

เหยาซูตะลึงงันอยู่เงียบ ๆ กระทั่งได้สติกลับมาว่าเซี่ยเชียนกำลังถามตนเอง

นางเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ปกติแล้วจะให้ซานเป่านั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกัน เขาไม่ค่อยเชื่อฟังสักเท่าไร”

เด็กทารกกำลังอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก และเพิ่งจะหัดเดินได้ไม่นาน นิสัยร่าเริงสดใสจึงค่อย ๆ แสดงออกมา

เหยาซูเลี้ยงเขาเอง บางครั้งก็มักจะรู้สึกปวดใจอยู่ไม่น้อย

วันนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดที่เขาเจอกับเซี่ยเชียนแล้วกลับเชื่อฟังเพียงนี้

หลินเหราที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ในเมื่อไม่โวยวาย ก็ให้เขาอยู่กับตัวเองเถอะ”

เหยาซูอุ้มซานเป่ามานั่งบนเก้าอี้ขนาดเล็กที่เตรียมไว้เพื่อเขาโดยเฉพาะ ให้นั่งเหมือนกับพวกผู้ใหญ่

ซานเป่านั่งอย่างว่าง่ายครู่หนึ่ง ไม่นานปากก็เริ่มเปล่งเสียง ‘แอะๆ’ ออกมา

เหยาซูกล่าวอย่างจนปัญญา “ข้ายังต้องอุ้มกระมัง…”

ฝูหยารุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ก่อนจะพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ฮูหยินหลิน ข้าน้อยจะดูแลคุณชายน้อยเอง ฮูหยินเชิญรับประทานอาหารเถอะเจ้าค่ะ”

เหยาซูไม่ได้คัดค้านฝูหยา ปล่อยให้นางอุ้มเด็กทารกน้อยไป

เพียงแต่หลังจากที่ฝูหยาออกไปไม่นาน เด็กทารกก็ส่งเสียงร้องไห้สะเทือนเลือนลั่น แม้แต่เหยาซูในฐานะแม่ก็ยังตกใจไม่น้อย

นางรีบกลับไปอุ้มลูกชายมา และพยายามปลอบใจเขา “ปกติก็ไม่ชอบร้องไห้ วันนี้เป็นอะไรไป หือ? หรือว่ากลัว?”

เมื่อซานเป่ากลับเข้าสู่อ้อมกอดของผู้เป็นแม่ก็ยังไม่ยอมเชื่อฟัง ยังคงร้องไห้ดิ้นไปดิ้นมา

อาซือชำเลืองมอง จู่ ๆ ก็ส่งเสียงร้องออกไป “น้องอยากไปหาท่านปู่เจ้าค่ะ”

ยามนางเงียบเหยาซูก็ไม่ทันสังเกต เมื่อเห็นเช่นนี้ สายตาของซานเป่าไม่ได้ละไปจากเซี่ยเชียนแต่อย่างใด

เหยาซูปล่อยแขนของซานเป่า เด็กทารกจึงรีบยื่นมือออกไปยังทิศทางของเซี่ยเชียน

แล้วร้องไห้เสียงดังอีกครั้ง

เหยาซูปวดหัว จากนั้นก็ปลอบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เอาละ ๆ ซานเป่า หยุดร้องไห้ก่อน ผู้ใหญ่เขายังกินข้าวกันอยู่เลย รอให้ท่านปู่เซี่ยกินข้าวให้เสร็จก่อนนะ แล้วค่อยไปเล่นกับเขาดีหรือไม่?”

ซานเป่าเชื่อฟังที่ไหนกัน? ยังคงไม่หยุดร้องไห้

สีหน้าของเซี่ยเชียนยังคงนิ่งเฉย เขามองไปยังเซี่ยหมิงแวบหนึ่ง ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบรุดหน้าเข้ามายื่นผ้าเช็ดปากให้ผืนหนึ่ง

เขาเช็ดมุมปาก จากนั้นก็ออกคำสั่งด้วยเสียงราบเรียบ “ฝูหยา อุ้มซานเป่ามานี่”

เหยาซูยื่นซานเป่าให้ฝูหยา พลางครุ่นคิดในใจ ‘ถ้าซานเป่ายังคงโวยวาย นางจะอุ้มลูกกลับมา…’

ไม่ง่ายเลยที่เซี่ยเชียนจะกลับจวน จึงอยากให้เจ้าของบ้านได้กินอาหารดี ๆ สักมื้อ

ฝูหยาจึงไม่หอบเอาความหวังอะไรทั้งสิ้น และพาซานเป่าไปตรงหน้าของเซี่ยเชียน

ใบหน้าของเซี่ยเชียนยังไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ ทำเพียงแค่ยื่นมือออกมารับตัวเด็กน้อยไปอุ้มไว้

เหยาซูมองท่าทางการอุ้มซานเป่าอย่างชำนาญของเขาด้วยความประหลาดใจ จึงอดพูดไม่ได้ว่า “ท่านน้าอุ้มเด็กเป็นด้วยหรือเจ้าคะ?”

เซี่ยเชียนตอบ ‘อื้อ’ หนึ่งครั้ง แล้วพูดด้วยเสียงราบเรียบว่า “ตระกูลเซี่ยมีเด็กทารกน้อยคลอดออกมาไม่น้อย ข้าย่อมเคยอุ้มอยู่แล้ว”

แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจคือ หลังจากที่ซานเป่ามาอยู่ในอ้อมแขนของเซี่ยเชียน เขาก็หยุดร้องไห้ฉับพลัน

เด็กทารกเบิกดวงตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาคู่นั้น แล้วจ้องมองเซี่ยเชียนไม่กะพริบตา ริมฝีปากที่แดงระเรื่อได้เผยอออก เผยให้เห็นฟันขนาดเท่าเม็ดข้าวหนึ่งซี่

เซี่ยเชียนเช็ดคราบน้ำตาให้ซานเป่าด้วยผ้าเช็ดหน้าสะอาด ก่อนจะเอ่ยถามเขาเสียงต่ำว่า “เมื่อครู่ร้องไห้ทำไม? หือ?”

สำหรับหลินเหรา นับตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับเซี่ยเชียนมาเนิ่นนาน ก็ยังคาดไม่ถึงว่าภายใต้อุปนิสัยที่ดูเย็นชาของชายผู้นี้ จะมีความอบอุ่นซ่อนอยู่

ซานเป่าและเซี่ยเชียนมองหน้ากัน แล้วคลี่ยิ้มออกมา พลางกล่าวด้วยความกระตือรือร้นว่า “อ่า! อ่า!”

เจ้าตัวน้อยไม่เพียงแต่จะไม่ร้องไห้แล้ว ตรงกันข้ามยังดูมีชีวิตชีวายามที่อยู่ในอ้อมแขนของเซี่ยเชียนอีกด้วย เขาคิดจะดึงเส้นผมของเซี่ยเชียนด้วยซ้ำ

อาจื้อกล่าวอย่างตกตะลึง “ซานเป่าชอบท่านปู่เซี่ย!”

อาซือกลั้วหัวเราะ “ท่านปู่เซี่ยทั้งสูงทั้งดูดี ใครเล่าจะไม่ชอบ”

สองสามีภรรยาหลินเหราได้ยินสองพี่น้องพูดคุยถกเถียงกัน จึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้

เพราะเซี่ยเชียนเคยชินกับการทำหน้าขึงขัง แต่นัยน์ตากลับอ่อนโยนลงไม่น้อย เขาเย้าหยอกกับเด็กทารกตัวน้อยในอ้อมกอด ปล่อยให้หัวเราะ ‘หึๆ’ ออกมา

เสียงหัวเราะดังสนั่นจากในห้องโถงกลาง นี่เป็นภาพที่ตระกูลเซี่ยไม่เคยมีมาก่อน

เซี่ยหมิงส่งสัญญาณมือไปให้ฝูหยา ทั้งสองคนถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ

หลินเหรามองภาพที่อยู่ตรงหน้าแวบหนึ่ง ความรู้สึกอ่อนโยนอย่างแปลกประหลาดเกิดขึ้นอย่างอดไม่ได้ภายในใจ ยามต้องเผชิญหน้ากับเซี่ยเชียน ยิ่งทำให้ความอบอุ่นปั่นป่วนไม่น้อย

สิ่งที่เขาอยากพูดมาตลอดได้โพล่งออกไปอย่างอดไม่ได้ “ซานเป่าและท่านน้าต่างถูกชะตากัน ไม่สู้…ยกซานเป่าเป็นลูกบุญธรรมของท่านน้า”

มือของเซี่ยเชียนที่กำลังเย้าหยอกกับซานเป่าพลันหยุดชะงัก อาจื้อและอาซือต่างก็มองอย่างนิ่งงัน

“ลูกบุญธรรม?” อาซืออดกลั้นไว้ไม่อยู่ เอ่ยปากถามเป็นคนแรก “ยกน้องชายให้เป็นลูกบุญธรรมของท่านปู่เซี่ยหรือ? ทำไมละเจ้าคะ!”

เรื่องลูกบุญธรรม หลินเหราและเหยาซูต่างเคยปรึกษาหารือกันแล้ว

เหยาซูคาดหวังเซี่ยเชียนจากก้นบึ้งของหัวใจว่าจะสามารถเลี้ยงดูได้ เขาเป็นครอบครัวฝ่ายแม่เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของหลินเหรา ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการที่เซี่ยเชียนไม่มีลูก เรื่องนี้คงจะทำลายวงศ์ตระกูลเซี่ยไม่ได้

นางปลอบโยนอาซือด้วยเสียงแผ่วเบา “เอ้อเป่าคงยังไม่รู้ความหมายของการมีลูกบุญธรรม คืนนี้แม่จะอธิบายให้เจ้าฟัง ดีหรือไม่?”

อาซือกัดริมฝีปาก ไม่พูดสิ่งใด

นางรู้ว่าอะไรคือลูกบุญธรรม ลูกบุญธรรมก็คือยกน้องให้คนอื่น…

เหตุใดท่านพ่อและท่านแม่ถึงทำเช่นนี้?

……………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เพิ่งเห็นท่าทางอ่อนโยนของหัวหน้าเซี่ยเป็นครั้งแรก มันอบอุ่นจังเลยค่ะ

น้องได้ท่านปู่เซี่ยเป็นพ่อบุญธรรมก็ดีสิ อนาคตจะได้ก้าวไกล

ไหหม่า(海馬)