บทที่ 293 น้องอย่างไรก็ยังเป็นน้อง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 293 น้องอย่างไรก็ยังเป็นน้อง
บทที่ 293 น้องอย่างไรก็ยังเป็นน้อง

อาจื้อดูโตเป็นผู้ใหญ่ไม่น้อย เขาดึงแขนเสื้อของผู้เป็นน้องสาวแล้วเอ่ยเสียงเบา “เอ้อเป่าเชื่อฟังหน่อยสิ”

อาซือจึงไม่เอ่ยสิ่งใดอีก

หากแต่เซี่ยเชียนกลับส่ายหน้า แล้วออกความเห็น “เรื่องนี้มันไม่เหมาะสม”

หลินเหราขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพูดจริงจังว่า “ท่านน้า ซานเป่ายังเด็ก ติดตามท่านน้าตั้งแต่ยังไม่รู้ความคือทางที่ดีที่สุดแล้ว”

เซี่ยเชียนยังคงส่ายหน้า

เหยาซูเห็นดังนั้นจึงโน้มน้าวอย่างอ่อนโยน “ท่านน้าลองคิดดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจก็ได้เจ้าค่ะ”

เมื่อเซี่ยเชียนได้ยินเหยาซูพูดเช่นนี้จึงอธิบายว่า “เกียรติของวงศ์ตระกูล การเปลี่ยนแปลงของความรุ่งเรืองและความเสื่อมโทรมเป็นเรื่องธรรมดา ความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลเซี่ยก็ดี ความตกต่ำก็ดี ไม่ต้องให้สองสามีภรรยาอย่างพวกเจ้ามาเป็นห่วงหรอก”

ความแตกต่างในคำพูดนี้ หลินเหราและเหยาซูรู้อยู่แก่ใจดี เซี่ยเชียนคิดแทนพวกเขา

ใครเล่าจะไม่สนใจเกียรติยศและความเสื่อมเสียของตระกูล?

ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลเซี่ยเองก็ได้รับความอัปยศอดสู จนทำให้บ้านแตกสาแหรกขาด

เซี่ยเชียนเลือกจะกลับเข้ามาในราชสำนักอีกครั้ง เพื่อร้องขอความเป็นธรรมให้ตระกูล เพราะเขาไม่ใช่คนที่ละเลยครอบครัว

เหยาซูยิ้มเล็กน้อย และกล่าวกับเซี่ยเชียนว่า “ท่านน้าคงจะไม่ทราบ ข้าและอาเหราไม่สามารถสอนตำราลูกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาเหรา ปกติแล้วเขาไม่มีความอดทนต่ออาจื้อเสียด้วยซ้ำ คำพูดที่ออกมามักทำให้ลูกน้อยใจอยู่ร่ำไป เราคิดว่าถ้าท่านลุงมีอำนาจมากพอ คงจะช่วยเราเลี้ยงดูซานเป่าได้อย่างดี”

นางเปลี่ยนหัวข้อทันควัน “ยิ่งไปกว่านั้น….ต่อไปซานเป่าอาจจะมีนิสัยแข็งกระด้าง จะดีกว่าถ้ามีท่านน้าคอยอบรมสั่งสอนเด็ก ๆ อย่างเข้มงวดเช่นนี้”

สิ่งที่เหยาซูพูดนั้นคือนิสัยในอนาคตของซานเป่าตามต้นฉบับนิยาย…

เอาแต่ใจ ไม่สนใจผู้อื่น ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี

เซี่ยเชียนมองเด็กทารกที่อยู่ในอ้อมแขนด้วยความเชื่อฟังอย่างอดไม่ได้

ใบหน้าของซานเป่ายังแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตากลมโตดุจนิลกาฬคู่นั้นได้สบสายตากับเซี่ยเชียน จ้องไม่วางตา ความสดใส ความเปล่งประกาย ความงดงามช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก

เซี่ยเชียนกล่าวเสียงทุ้มต่ำอย่างอดไม่ได้ “เมื่อยามที่ท่านพ่อจากโลกใบนี้ไป อนุภรรยาของท่านพ่อได้ให้กำเนิดน้องชายต่างมารดาให้กับข้าและพี่สาว เมื่อครั้งที่เขายังวัยเยาว์ ข้าเคยอุ้มเขา”

อาจเพราะเรื่องในอดีตยังคงเป็นเศษฝุ่นที่ฝังลึกอยู่ในห้วงความทรงจำนานเกินไป เซี่ยเชียนจึงต้องหยุดชะงักไปชั่วคราว จากนั้นก็พูดต่อว่า “เขาอ่อนแอเกินไป เพียงต้องลมหนาวอันหนาวเหน็บระลอกเดียว มันก็พัดพาให้เขาลาจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควรแล้ว”

อาซือคือคนที่อ่อนไหวที่สุด เมื่อได้ยินดังนั้นก็ส่งเสียง ‘อ่า’ ออกมาทันที

เหยาซูและหลินเหราสบตากัน รู้ว่าเซี่ยเชียนไม่ใช่คนที่ไม่ชอบเด็ก

เหยาซูจึงคลี่ยิ้มและพูดว่า “ซานเป่าเป็นเด็กที่ข้าให้กำเนิดออกมาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ข้าย่อมรักเขามากแน่นอนอยู่แล้ว แต่การยกให้เป็นลูกบุญธรรมของท่านน้าเช่นนี้ อย่างไรสายเลือดระหว่างเขาและแม่ของเขาย่อมตัดกันไม่ขาด คิดว่าต่อไปถ้าเขาเปลี่ยนเป็นแซ่เซี่ย ข้าจะไม่รักและปกป้องเขาแล้วอย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”

เซี่ยเชียนขมวดคิ้วแน่นเล็กน้อย ราวกับกำลังครุ่นคิด

หลินเหราจึงพูดว่า “ท่านน้า หลังจากที่ข้าและอาซูคิดอย่างละเอียดแล้ว เราจึงตัดสินใจมาบอกกับท่านน้า ท่านน้าลองเอากลับไปคิดดูก่อนก็ได้ขอรับ”

คราวนี้เซี่ยเชียนไม่ได้ปฏิเสธออกไปตรง ๆ

หลังจากที่ทุกคนกินอาหารเสร็จแล้ว สองสามีภรรยาหลินเหราก็พาเด็ก ๆ ออกไป เซี่ยเชียนลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกจากห้องโถงกลางไปเช่นกัน

ความมืดมิดในยามราตรีได้ปกคลุมทั่วทั้งจวน ดอกไม้ใบหญ้าและต้นไม้น้อยใหญ่ในจวนเซี่ยต่างก็เติบโตเบียดเสียดกันมากมาย แต่กลับไม่เคยได้รับความเอาใจใส่แต่อย่างใด…

ตลอดเส้นทางที่เขาย่างกรายไปยังห้องหนังสือใต้แสงจันทร์ เห็นตะเกียงที่มีเปลวไฟสีแดงสว่างโร่ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แสนยาวนานคล้ายกับผ่านไปแล้วชาติหนึ่ง

เหมือนกับว่าในอดีตชาตินั้นเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานภายในจวนเซี่ย ยังคงดั่งก้องกังวานอยู่ในหู แต่เมื่อวันเวลาผ่านพ้น สหายเก่าก็ล้วนพากันจากโลกนี้ไป

รอบตัวไร้ซึ่งผู้คน เซี่ยเชียนจุดตะเกียงน้ำมัน แล้วนั่งอยู่ในห้องหนังสือ

กระทั่งเวลาผ่านไปเขาก็ได้พึมพำออกมา “ลูกหลานของท่านพี่ ….ถ้าท่านพี่รับรู้ว่าข้าเลี้ยงดูหลานชายของนาง จะต้องยิ้มแก้มปริเป็นแน่เลยใช่หรือไม่?”

ยามราตรีที่ยาวนาน เงาจากแสงเทียนทำให้ชายหนุ่มมีรูปร่างที่สูงขึ้น ดูโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด….

อีกด้านหนึ่ง

สองสามีภรรยาหลินเหราพาเด็กทั้งสามกลับมายังห้องรับรอง

อาซือยังดูอึดอัดไปตลอดทาง แม้อาจื้อพยายามเย้าหยอกนางอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้นางยิ้มได้เลย

กระทั่งล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อย

เหยาซูนั่งอยู่ใต้แสงตะเกียงน้ำมัน ในมือถือหวีผมให้แก่อาซือพลางกล่าวว่า “เส้นผมของเอ้อเป่าช่างนุ่มสลวยยิ่งนัก ลูบทีไรให้ความรู้สึกเหมือนผ้าแพรอย่างไรอย่างนั้น”

อาจื้อนั่งอยู่อีกด้าน มองใบหน้าด้านข้างของผู้เป็นมารดาและน้องสาว ขณะที่กล่อมซานเป่าเข้านอนพร้อมกับผู้เป็นพ่อ

เด็กสาวตัวน้อยก้มหน้ามองต่ำ พลางกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่…”

เหยาซูเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “หือ? แม่รู้ว่าวันนี้เอ้อเป่าไม่สบายใจ พูดกับแม่ได้หรือไม่?”

อาซือกระตุกมุมปากอย่างไม่เป็นธรรม ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่ ข้าไม่อยากให้ท่านแม่และท่านพ่อยกน้องให้ผู้อื่น”

มือที่กำลังเคลื่อนไหวของอาซูไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ยังคงสางผมที่พันกันยุ่งเหยิงให้แก่อาซือ พร้อมกับอธิบายด้วยเสียงต่ำ “พ่อและแม่จะยกน้องให้ผู้อื่นได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้”

อาซือยังคงคัดค้าน “ยกให้เป็นลูกบุญธรรมของท่านปู่เซี่ย ไม่ใช่การยกน้องให้ผู้อื่นหรอกหรือ?”

เหยาซูยิ้มบาง ๆ วางหวีลง แล้วมองอาซือ “ไม่ใช่ ท่านปู่เซี่ยเป็นครอบครัวของเรา อาซือก็เหมือนกัน ถ้าลุงรองไม่มีลูก เจ้าจะยอมให้น้องชายเรียกลุงรองว่าพ่อหรือไม่?”

อาซือครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าอย่างลังเล “ยอมเจ้าค่ะ…”

เหยาซูจึงพูดต่อ “เราต่างก็อยู่ในเมืองหลวง ซานเป่าจะไปอยู่กับท่านปู่แทนพ่อกับแม่ เจ้าไปเจอกันได้เสมอ ถ้าเจ้ายอมก็มาจวนเซี่ยได้ มาพูดคุยกับท่านปู่เซี่ยได้”

อาซือกัดริมฝีปาก แล้วพูดเสียงเบา “อื้อ ข้าเข้าใจแล้ว ท่านปู่เซี่ยคงจะโดดเดี่ยวมาก”

เหยาซูลูบศีรษะของอาซือพลางปลอบใจ “เอ้อเป่าแสนดีที่สุด”

เด็กหญิงมองกลับไปยังพี่ชายและผู้เป็นพ่อกำลังเล่นด้วยกันอยู่บนเตียง พลางเบิกตามองซานเป่าที่ยังไม่ยอมหลับเสียที แล้วเอ่ยอย่างน้อยใจ “แต่ข้าไม่อยากให้น้องไป…”

เหยาซูกอดอาซือไว้ ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อื้อ แม่รู้ดี เจ้าตัดใจจากน้องไม่ได้ ไม่เป็นไร เราค่อย ๆ ทำก็ได้ แต่แม่หวังว่าเจ้าจะจำไว้ ซานเป่าจะเป็นน้องชายของเจ้าตลอดไป เรื่องนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าอนาคตจะใช้แซ่อะไร ไม่ว่าอนาคตเจ้าจะเรียกกันและกันว่าอย่างไร พวกเจ้าก็ยังเป็นพี่น้องทางสายเลือดกันเหมือนเดิม”

น้ำเสียงที่อบอุ่นของผู้เป็นแม่ค่อย ๆ ทำให้อาซือสงบลงได้ในที่สุด แม้ว่านางจะรับไม่ได้ไปชั่วขณะ แต่ลึก ๆ ในใจกลับไม่ได้ปฏิเสธเหมือนในตอนแรก

เหยาซูแตะศีรษะของอาซืออย่างเบามือ พลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ไปเถอะ พวกเจ้ายังเล่นได้อีกครู่หนึ่ง แล้วค่อยเข้านอน”

อาจื้อและอาซือสองพี่น้องยังคงเฝ้าซานเป่าไม่ห่าง กล่อมเขาเข้านอน หลินเหราถือโอกาสนี้มานั่งข้างกายของเหยาซู

คิ้วงามของชายหนุ่มแฝงไปด้วยความสับสน กระทั่งจ้องเขม็งไปยังเหยาซู โดยไม่พูดสิ่งใด

เหยาซูจึงอดยิ้มไม่ได้ “เป็นอะไรไป? ถึงได้มองข้าเช่นนี้”

หลินเหรากล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ข้าแค่ไม่คิดว่า เจ้าจะสนับสนุนข้าเช่นนี้”

เหยาซูรู้ว่าที่ชายหนุ่มพูดคือเรื่องลูกบุญธรรม นางหัวเราะร่วนเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยเหตุผล “ตอนแรกที่ท่านเอ่ยเรื่องนี้กับข้า ในใจข้าเองก็ไม่ยอมเช่นกัน แต่เมื่อมาคิด ๆ ดูแล้ว ไม่ว่าท่านน้าจะเป็นคนเช่นไร ความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างเขาและท่านก็ไม่มีทางตัดกันขาด”

หลินเหราตอบ ‘อือ’ เสียงต่ำ

กระทั่งได้ยินภรรยากล่าวเสียงเบา “ยิ่งไปกว่านั้นท่านน้ายังเป็นสุภาพบุรุษ ห่วงใย รักครอบครัว เรื่องเหล่านี้เราล้วนเห็นมากับตา ส่วนอาจื้อสองสามวันนี้ก็อยู่ในจวนเซี่ย ข้าไม่ต้องกังวลสิ่งใด ดังนั้นการยกซานเป่าให้กับท่านน้า ข้าจึงวางใจ”

หลินเหราถามอีกว่า “เจ้าตัดใจได้หรือไม่? อาซู ข้าไม่อยากทำให้เจ้าลำบากใจ เรื่องลูกบุญธรรม นี่เป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างข้ากับเจ้า”

เหยาซูยิ้ม “ถ้าข้าลำบากใจ คงไม่เอ่ยปาก เรื่องนี้ท่านวางใจเถอะ”

หลินเหราตอบ ‘อือ’ เสียงต่ำ

เหยาซูหาวเบา ๆ แล้วพูดว่า “เอาละ ต่อให้วันข้างหน้าซานเป่าจะจำข้าไม่ได้…สายใยสัมพันธ์ทางสายเลือดก็ไม่มีวันตัดขาด ทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน เขายังเป็นลูกชายของข้า”

หลินเหรากระตุกมุมปาก ร่องรอยความเย็นยะเยือกบนใบหน้าได้อ่อนโยนลงภายใต้แสงไฟสีส้มเรืองรองอย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “ฮูหยินพูดถูก”

“เอาละ ๆ เรื่องที่เหลือพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ข้าชักจะง่วงเสียแล้ว…”

หลินเหราลุกขึ้นยืนดับตะเกียงน้ำมัน

ทุกคนล้มตัวลงนอนบนเตียงที่กว้างและใหญ่ สายลมในต้นฤดูวสันต์พัดพาเอาความอบอุ่นค่อย ๆ ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ไม่นานทุกคนก็เข้าสู่ห้วงนิทรา

ไม่รู้ว่าเซี่ยเชียนจะตัดสินใจอย่างไร….

………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เห็นความโดดเดี่ยวของเซี่ยเชียนแล้วรู้สึกว่าท่านปู่ควรมีเด็กข้างกายนะเจ้าคะ

อยู่กับน้องมาตั้งแต่น้องคลอดมันก็ผูกพันใช่ไหมคะอาซือ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ยังไงน้องก็ยังเป็นน้องของหนูเสมอ

ไหหม่า(海馬)