บทที่ 359 งานเลี้ยงเฉลิมฉลอง

แน่นอนว่าประชาชนทั่วทั้งอาณาจักรต่างเฉลิมฉลองที่ต้าเซี่ยพิชิตอาณาจักรหนานจ้าวได้

ในงานเลี้ยงฉลอง ทุกคนล้วนมีความสุขไม่ว่าจะเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นหรือฝ่ายบู๊ ผู้ใดบ้างจะไม่ยินดีที่ได้ขยายดินแดนให้กว้างใหญ่ยิ่งขึ้น

หากว่าฝ่าบาทสามารถพิชิตอาณาจักรอื่น ๆ และรวบรวมดินแดนให้เป็นหนึ่งเดียวก็คงจะดีไม่ใช่น้อย

แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเพียงความคิดที่อยู่ในใจอย่างเงียบ ๆ แต่ว่ามนุษย์นั้นย่อมมีความทะเยอทะยาน

บรรดาขุนนางต่างคุกเข่าคารวะสุราให้แก่กัน บนโต๊ะเล็กตรงหน้าทุกคนมีจานใส่องุ่น แตงโม เฉ่าเหมย และของว่างอีกมากมาย

“นี่คือ…”

พวกเขาไม่เคยเห็นองุ่นเช่นนี้มาก่อน องุ่นสีม่วงเข้มลูกใหญ่กว่าองุ่นที่พบเห็นได้ทั่วไปเกือบสามเท่า อีกทั้งทุกลูกยังดูอวบอ้วน กลิ่นหอมหวานลอยเตะจมูก

หากว่ากลิ่นขององุ่นมิได้เด่นชัดจนเกินไป พวกเขาคงจะคิดว่าวังหลวงมีผลไม้แปลกใหม่ที่พวกเขาไม่รู้จักอีกเป็นแน่ และเหนือสิ่งอื่นใด นับตั้งแต่ที่องค์หญิงน้อยมาถึงพระราชวัง ต้าเซี่ยก็มีผลไม้พันธุ์ใหม่หลากหลายชนิดให้ได้ลิ้มลอง

แม้จะรู้ว่าเป็นองุ่น แต่ก็ยังเชื่อไม่ลงอยู่ดี

นี่คือองุ่นจริงหรือ

“อึก…องุ่นนี้ไม่มีเมล็ด ไม่มีทาง!”

สิ่งนี้ทำลายความเข้าใจที่พวกเขามีต่อผลไม้จนหมดสิ้น องุ่นจะไม่มีเมล็ดได้อย่างไรกัน!

“ฝ่าบาทได้ผลไม้เทพนี้มาจากที่ใดกัน วันนี้ช่างเป็นบุญปากของพวกเรายิ่งนัก”

“นี่คือองุ่นจริง ๆ เหตุใดถึงมีองุ่นลูกใหญ่ทั้งยังไร้เมล็ดเช่นนี้ด้วย”

“ใต้เท้าหลี่เคยได้ยินมาก่อนหรือไม่ หรือว่าจะเป็นบรรณาการที่ส่งมาถึงวังหลวง”

“ไม่เคย ๆ ข้าไม่เคยเห็นองุ่นเช่นนี้มาก่อนเลย ฝ่าบาทเพิ่งเสด็จกลับมาไม่นาน แล้วก็ไม่ได้ยินว่ามีผู้ใดส่งบรรณาการมาด้วย ฝ่าบาทคงไม่ได้นำกลับมาจากหนานจ้าวหรอกกระมัง”

“ไม่มีทาง หากหนานจ้าวมีองุ่นเช่นนี้อยู่จริง ก็คงจะโอ้อวดจนรู้กันไปทั่วแล้ว”

“จะว่าไป ได้ยินว่าตอนที่สู้รบกับหนานจ้าว ฝ่าบาทส่งซากศพมีชีวิตไปที่เป่ยเยว่ ต้าหาน แล้วก็ซยงหนูเป็นความจริงหรือ”

“เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน ซากศพพวกนั้นโดนตัวกู่ควบคุม ได้ยินว่าตอนที่ไปถึงอาณาจักรพวกนั้น กษัตริย์ของพวกเขาตกใจจนแทบเป็นลม เป่ยเยว่ที่ใกล้จะล่มสลายเต็มทียิ่งแล้วใหญ่ บรรดาองค์ชายพวกนั้นแย่งชิงอำนาจจนสร้างปัญหาไม่น้อยเลย”

“แต่ไหนแต่ไรการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจล้วนแลกมาด้วยเลือดเนื้อของผู้คนนับไม่ถ้วน” เมื่อพูดถึงการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในราชสำนักของเป่ยเยว่แล้ว บรรดาขุนนางก็อดรู้สึกสะเทือนใจไม่ได้ อย่างไรเสียผู้คนไม่น้อยก็ล้วนแต่เคยพานพบประสบการณ์เช่นนี้ในราชวงศ์ก่อน

แม้ว่าภายนอกจะเป็นเพียงการต่อสู้ระหว่างคนไม่กี่คน แต่กลับลากคนและสิ่งอื่นเข้ามาพัวพันมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เลวร้ายที่สุดเห็นจะเป็นการก่อสงครามจนแบ่งแยกดินแดน หรือไม่ทั้งอาณาจักรล่มสลาย

ผู้ใดบ้างที่ไม่ต้องการเกียรติยศอันสูงส่ง อยู่ภายใต้คนผู้เดียว แต่อยู่เหนือปวงประชานับหมื่น สิ่งที่เรียกว่าอำนาจเมื่อได้มาครอบครองแล้วก็ทนไม่ได้ที่จะต้องสูญเสียมันไป หากเทียบกับการค่อย ๆ ก่อร่างสร้างผลงานและประสบการณ์ เกียรติยศอันสูงส่งก็คือการเดิมพัน หากว่าพลาดก็จมดิ่งลงเหว แต่หากว่าสำเร็จก็จะรุ่งโรจน์ในชั่วพริบตา

หากว่ามองจากภายนอก ก็อาจกล่าวได้ว่าต้าเซี่ยร่มเย็นเป็นสุข แต่ก็มีคนไม่น้อยที่เริ่มซ่องสุมกำลังพลอย่างลับ ๆ และเสาะหาองค์ชายที่เหมาะสม นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างรู้ดี อย่างไรเสียการดึงองค์ชายมาเป็นพวกก็เป็นเรื่องที่ต้องลงมือให้เร็ว เช่นนี้แล้วหากว่าภายภาคหน้าประสบผลสำเร็จ ผลประโยชน์ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น

แต่ทว่าบรรดาองค์ชายของพวกเขาค่อนข้างประหลาดนิดหน่อย

ก่อนนี้องค์ชายใหญ่ขาพิการ ตอนที่องค์ชายรองยังอยู่ ขุนนางใต้บัญชาของพวกเขาล้วนแต่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด

แต่ว่าตอนนี้

องค์ชายใหญ่หายดี และองค์ชายรองก็หนีไปไกลแล้ว จึงไม่เหลือตัวเลือกให้พวกเขาอีก

แต่ว่าทุกคนล้วนแต่สนับสนุนองค์ชายใหญ่ เช่นนั้นแล้วเกียรติยศอันสูงส่งจะมีประโยชน์อันใดอีก ด้วยเหตุนี้บรรดาผู้ที่ไม่พอใจจึงเริ่มก่อการอย่างลับ ๆ หวังจะบ่มเพาะองค์ชายที่ตนเลือกมาเพื่อแข่งขันกับองค์ชายใหญ่ หากว่าสำเร็จเล่า

องค์ชายสามผู้ชื่นชอบแต่งานช่าง ทั้งยังไม่ใคร่จะพูดคุยกับพวกขุนนาง และใช้เวลาส่วนใหญ่ขลุกที่กรมโยธา

หากว่ากันตามหลักแล้ว การที่องค์ชายทำเรื่องเช่นนี้ย่อมถูกผู้คนดูแคลน พวกเขายังเคยขอให้เหยียนกวน*[1] กราบทูลฝ่าบาทให้ปรามองค์ชายสามลงบ้าง เป็นถึงองค์ชายผู้สูงศักดิ์ เหตุใดถึงได้มัวเมาในทักษะประหลาด ๆ เช่นนี้

แต่ว่าคนพวกนั้นก็ถูกฮ่องเต้ไล่ตะเพิดจนเปิดเปิง

ความหมายโดยประมาณก็คือ ‘องค์ชายสามเป็นบุตรชายของข้า แม้แต่ข้ายังไม่ยุ่งเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้าแต่กลับมายุ่งวุ่นวายนัก ไสหัวไปให้พ้น!’

ด้วยอำนาจและความเผด็จการของฝ่าบาท เหยียนกวนจะทำเช่นไรได้ นอกเสียจากไสหัวไปอย่างหงอ ๆ

พูดกันตามตรง เหยียนกวนเป็นตำแหน่งที่อยู่ยากที่สุดในต้าเซี่ยแล้ว

เยวียนกวนของอาณาจักรอื่นว่ากล่าวตักเตือนกษัตริย์ กษัตริย์ยังต้องรับฟังอย่างอดกลั้น มิเช่นนั้นแล้วก็จะถูกบรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นทั้งหลายวิจารณ์ว่าไร้คุณธรรม มิใช่กษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถ

เหยียนกวนของต้าเซี่ย : ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะหารือกับท่าน ท่านมิควรทำเช่นนั้นเช่นนี้ ควรทำเช่นนั้นเช่นนี้

ฮ่องเต้ของพวกเขา : ข้าอ่านคำชี้แนะจากพวกท่านแล้ว แต่ข้าจะจัดการในแบบของตัวเอง

บรรดาเหยียนกวน : ฝ่าบาท ท่านต้องทำเช่นนั้นเช่นนี้ แล้วก็เช่นนั้นเช่นนี้

ฮ่องเต้ : ข้าจะทำอะไรต้องให้พวกเจ้าสอนด้วยหรือ ไสหัวไป

บรรดาเหยียนกวน : พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท

อืม ก็ประมาณนี้ ฝ่าบาทของพวกเขาฟังคำแนะนำ แต่จะทำตามก็ต่อเมื่อเป็นคำแนะนำที่เขาคิดว่าดี ถ้าเห็นว่าไม่ดีแล้วคิดจะบีบให้ทำตาม เช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการรนหาที่ตาย

นอกเรื่องไปไกลแล้ว มาพูดถึงองค์ชายองค์อื่น ๆ กันต่อ ครั้งนี้องค์ชายสี่และองค์ชายห้าสร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ ได้ยินมาว่าไร้เทียมทานในสงคราม ทั้งยังเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งรัชทายาทในสายตาของพวกขุนนางอีกด้วย

อย่างไรก็ตามมีผู้สนับสนุนองค์ชายห้าอยู่ไม่น้อย หลายคนต่างคิดจะติดต่อกับองค์ชายห้าเป็นการส่วนตัว แต่ว่าช่วยไม่ได้…

องค์ชายห้ายังมิได้ออกจากวังและมีจวนเป็นของตนเอง

พวกเขาจึงทำได้เพียงติดต่อกับคนในตระกูลฝั่งมารดาขององค์ชายห้าอย่างลับ ๆ แทน

นอกจากนี้ก็มีคนที่คิดสนับสนุนองค์ชายหกซึ่งเป็นน้องชายแม่เดียวกันกับองค์ชายใหญ่ ฉายแววสติปัญญาที่ฉลาดหลักแหลมตั้งแต่อายุยังน้อย

อย่างไรก็ตามพวกเขากระทำการลับหลังไปไม่น้อย ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าองค์ชายกลับไม่มีความขัดแย้งให้เห็นเลยสักนิด มิหนำซ้ำแต่ละคนก็ไร้ซึ่งความทะเยอทะยานอย่างน่าเหลือเชื่อ สิ่งนี้ได้สร้างความรำคาญให้กับคนที่ต้องการให้เกิดความบาดหมางอย่างยิ่ง

แต่ก็ไม่หยุดเพียงเท่านี้ หลายคนใช้การคารวะสุราเป็นข้ออ้างในการผูกมิตรกับองค์ชายที่ตนเองถูกใจ

“ได้ยินว่าองค์ชายสามสร้างเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ให้แก่ประชาชนอีกแล้ว ช่างเป็นบุญของราษฎรยิ่งนัก ชื่อเสียงของท่านเลื่องลือในหมู่ราษฎร มิทราบว่าองค์ชายสามคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้บ้าง”

หนานกงฉีอวิ๋น “หา?”

พูดอะไรของเขา จริงสิ ความคิดที่ผุดขึ้นมาเมื่อครู่ต้องจดไว้เสียหน่อย ไม่แน่ว่าครั้งหน้าอาจนำไปใช้ประโยชน์ได้

“องค์ชายสาม…”

“ใต้เท้า ข้ามีธุระต้องไปทำ ขอตัวก่อน”

“องค์ชายสาม!”

ทางด้านองค์ชายสี่ก็ตกอยู่ในสถานะสับสนมึนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่ขุนนางพูดเลยสักนิด

บรรดาขุนนางที่หวังจะสร้างเรื่อง ‘…’

ช่างเถิด คนนี้เลิกคิดไปได้เลย

“องค์ชายห้ามีปรีชาสามารถตั้งแต่ยังเยาว์ สร้างผลงานในการสู้รบเช่นนี้ ต้องได้รับคำชื่นชมจากฝ่าบาทเป็นแน่ กระหม่อมเลื่อมใสในตัวท่านยิ่งนัก มิรู้ว่าภายภาคหน้าองค์ชายห้ามีแผนจะทำเช่นไร”

หนานกงฉีหลิงซดสุราเข้าปากและเอ่ยอย่างห้าวหาญ “พอไปออกรบ ข้าถึงได้รู้ว่าที่นั่นเป็นสถานที่ที่เหมาะกับข้า ข้าจะไปปรึกษากับเสด็จพ่อหลังงานเลี้ยง ดูว่าจะให้ข้าไปอยู่กับพี่รองที่ชายแดนได้หรือไม่!”

บรรดาขุนนางที่ผูกมิตรเพื่อหวังสนับสนุนให้เขาแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทอย่างลับ ๆ “…”

เรื่องมันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้สิ!

องค์ชายหก องค์ชายเจ็ด องค์ชายแปด และองค์หญิงน้อย รวมถึงชายหนุ่มผมขาวที่มาจากหนานจ้าวนั่งอยู่ด้วยกัน หากคิดจะเข้าไปผูกมิตร ก็ได้แต่ต้องรอให้พวกเขาแยกกันเท่านั้น

[1] เหยียนกวน (言官) เป็นชื่อเรียกตำแหน่งขุนนางที่ทำหน้าที่ให้คำชี้แนะแก่ฮ่องเต้