บทที่ 360 ปูนบำเหน็จ
ฮ่องเต้ยังไม่เสด็จ บรรยากาศในท้องพระโรงจึงคึกคักพอดู
“ฝ่าบาทเสด็จ”
ในที่สุดฝ่าบาทก็เสด็จมาถึง ทุกคนจึงกลับไปนั่งที่ของตนและโค้งคำนับ
“ขอจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
หนานกงสือเยวียน “ลุกขึ้น”
หลังจาก ‘ฮ่องเต้และขุนนางเห็นพ้องต้องกัน’ หนานกงสือเยวียนก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา เริ่มมอบบำเหน็จตามผลงานทันที
“องค์ชายสามนำกรมโยธาในการสร้างคันไถและเตียงเตา ปรับปรุงเครื่องมือทางการเกษตรเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและราษฎร เห็นควรอวยยศองค์ชายสามให้เป็นเหลียงอ๋อง”
หนานกงฉีอวิ๋นนิ่งอึ้งไป เขาไม่คิดว่าจะมีเรื่องเกี่ยวกับตนเอง จึงรีบร้อนลุกก้าวไปข้างหน้า จากนั้นก็คุกเข่าลง
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!”
เรื่องประหลาดใจนี้เกิดขึ้นฉับพลันเกินไป สายตามากมายล้วนจับจ้องมาที่เขา
บรรดาคนที่แผนในใจดับมอดไปแล้วก็เหมือนกับเริ่มจะคิดอะไรออก
หนานกงสือเยวียนคล้ายไม่ทันสังเกตเห็น เมื่อหนานกงฉีอวิ๋นกลับไปนั่งที่จึงพูดต่อ
“องค์ชายสี่ออกรบอย่างกล้าหาญ ความสามารถเก่งกาจ สังหารศัตรูไปทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบนายในศึกกับหนานจ้าว ความกล้าหาญของเขาเป็นที่น่ายกย่อง สมควรอวยยศองค์ชายสี่ให้เป็นจ้านอ๋อง”
“องค์ชายห้าไม่หวาดหวั่นแม้เผชิญอันตราย กล้าหาญและมีไหวพริบ สังหารศัตรูไปทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบนายในศึกกับหนานจ้าว ข้ารู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง สมควรอวยยศองค์ชายห้าให้เป็นอู่อ๋อง”
องค์ชายสี่และองค์ชายห้าก้าวเท้าออกมาพร้อมกัน และคุกเข่ากันอย่างพร้อมเพรียง “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!”
ทั้งสองรู้สึกดีใจและภาคภูมิเป็นอย่างมาก ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้อวยยศเป็นอ๋องโดยที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่
แม้ว่าพี่สามจะได้อวยยศเป็นอ๋องเช่นกัน แต่นั่นก็มิได้ขวางกั้นความสุขไปจากพวกเขาทั้งสอง สิ่งนี้หมายความเช่นไรน่ะหรือ มันหมายความว่าเสด็จพ่อยอมรับในความสามารถของพวกเขาแล้ว
มิหนำซ้ำยังได้เป็นถึงจ้านอ๋องและอู่อ๋อง พวกเขาปลาบปลื้มกับบรรดาศักดิ์นี้ยิ่งนัก
พวกขุนนางเองก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี การที่องค์ชายสามได้อวยยศให้เป็นอ๋องอาจเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด แต่กุญแจสำคัญอยู่ที่องค์ชายสี่และองค์ชายห้า
แต่เมื่อคิดดูแล้ว เหมือนจะมีเพียงองค์ชายรองผู้อยู่ห่างไกลถึงชายแดนเท่านั้นที่ไม่ได้รับการอวยยศให้เป็นอ๋อง มิรู้ว่าองค์ชายรองจะรู้สึกเช่นไรเมื่อได้ทราบข่าวนี้
เมื่อการแต่งตั้งองค์ชายสิ้นสุดลง ต่อไปก็เป็นการปูนบำเหน็จให้กับแม่ทัพและเหล่าทหาร
หนานกงสือเยวียนเหลือบมองเสี่ยวเป่าที่กำลังตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเอร็ดอร่อย
ความดีความชอบที่เสี่ยวเป่าได้สร้างไว้มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ดี พูดได้ว่านางได้ช่วยชีวิตของเขา น้องสี่ รวมถึงลูกชายทั้งสอง
แต่ทว่าเขามิอาจพูดมันออกไปได้ เพราะความสามารถของเสี่ยวเป่าเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจ หากว่ามันแพร่งพรายออกไปจะต้องเป็นที่จับจ้องอย่างแน่นอน
เขาสามารถปกป้องนางได้ แต่มิอาจคอยระแวดระวังทุกคนได้ตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้รางวัลสำหรับเสี่ยวเป่าจึงทำได้เพียงมอบให้นางเป็นการส่วนตัวเท่านั้น
“เยว่หลี”
เยว่หลีไม่รู้ตัวเลยสักนิดขณะที่ถูกเรียกชื่อ เขาป้อนองุ่นเข้าปากเสี่ยวเป่า ทุกสายตาต่างจับจ้องเขาเป็นตาเดียว
ราวกับเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ เสี่ยวเป่าเอียงคอเล็กน้อยพร้อมกับอ้าปากกว้าง เยว่หลีใช้นิ้วคีบองุ่นที่ลอกเปลือกออก และยัดมันเข้าไปในปากของนางโดยที่ไม่ดึงนิ้วออกมา
นี่มัน… ค่อนข้างอึดอัดนิดหน่อย
เสี่ยวเป่าปิดปาก แก้มซ้ายสีขาวผ่องพองออกมาดูเด่นชัดเป็นพิเศษ
นางหดร่างเล็กกลับมานั่งในท่าสงบเสงี่ยมเรียบร้อย มือคู่เล็กวางลงบนเข่า พยายามทำตัวเป็นเด็กหญิงตัวน้อยน่ารัก ดวงตากลมโตไร้เดียงสา ราวกับว่าคนที่นั่งรอเยว่หลีป้อนองุ่นเข้าปากไม่ใช่ตัวเอง
หากไม่ใช่เพราะแก้มที่พองโตของนาง ทุกคนก็คงจะเชื่ออย่างสนิทใจ!
หนานกงสือเยวียนทำหน้าขรึม “เยว่หลีออกมานี่”
เยว่หลีตอบรับ เขาชูอุ้งมือที่ชุ่มไปด้วยน้ำองุ่นทั้งสองข้าง มันเหนียวเหนอะซึ่งเขาไม่ชอบเอาเสียเลย จึงยัดใส่ปากและจัดการเลียมันเสีย
“แผลบ…”
ท่าทางดูไม่เคอะเขินเลยสักนิด เป็นเพราะมีใบหน้าที่งดงามถึงได้กล้าทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ หากเป็นคนอื่นทำอากัปกิริยาเช่นนี้คงจะหยาบคายยิ่งนัก!
แต่ว่า แต่ว่า…
“กิริยาต่ำทรามยิ่งนัก!”
“ทำกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนเสื่อมเสียต่อศีลธรรมอันดีงามอย่างยิ่ง!”
“น่าขายหน้า ขายหน้าจริง ๆ…”
เยว่หลีได้ยินทุกคำ เด็กหนุ่มปัดมือโดยมิได้สนใจคนพวกนั้นเลยสักนิด เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูด
เยว่หลีเดินไปกลางท้องพระโรง จากนั้นก็เรียกหนานกงสือเยวียน “ท่านพ่อเสี่ยวเป่า”
“แค่ก ๆ ๆ…”
บรรดาพี่ชายของเสี่ยวเป่าสำลักรุนแรง ทุกคนขยิบตาให้เขาอย่างเอาเป็นเอาตาย
เยว่หลีตระหนักได้ในทันที รีบคุกเข่าและเอ่ยเสียงจริงจัง “ฝ่าบาท”
เสี่ยวเป่าและพี่ชายถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่เสียแรงที่คอยพร่ำสอน
หนานกงสือเยวียนมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทั้งยังไม่พูดอะไรเกี่ยวกับพฤติกรรมล่วงเกินก่อนหน้านี้
“เยว่หลีมีส่วนช่วยอย่างยิ่งในการตีหนานจ้าวให้แตกพ่าย สังหารศัตรู…”
เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะอ่านต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สังหารศัตรู รวมถึงมหาปุโรหิตแห่งหนานจ้าวไปมากกว่าสามหมื่นหกพันห้าร้อยคน สมควรอวยยศเป็นหนานเยว่โหว ปูนบำเหน็จทองคำหนึ่งร้อยตำลึง เงินหนึ่งแสนเหรียญทองแดง ผ้าไหม…”
เยว่หลีตาเป็นประกายเมื่อได้ยินรางวัลที่หลั่งไหลมามากมาย ยิ้มหน้าบานราวกับเป็นสุนัขที่ได้กระดูกติดเนื้อชิ้นโต
เมื่อคนอื่น ๆ ที่อยู่ในท้องพระโรงได้ยินตัวเลขของคนที่ถูกเยว่หลีสังหาร ก็ตาโตอ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน บ้างก็นึกสงสัยว่าตนเองหูฝาดไปหรือไม่ เมื่อครู่ฝ่าบาทตรัสว่าอะไรนะ
สังหารศัตรูไปสามหมื่นกว่าคน มหาปุโรหิตของหนานจ้าวที่ชอบเล่นหนอนกู่ เขาก็เป็นคนสังหารด้วยหรือ
พวกเขาจับจ้องเด็กหนุ่มซึ่งคุกเข่าอยู่กลางท้องพระโรงด้วยสายตาแน่วแน่ ดู ๆ ไปแล้วยังเด็กนัก อายุไม่น่าจะเกินสิบห้าปี จะเป็นไปได้อย่างไร
หลังจากหนานกงสือเยวียนสาธยายรางวัลที่เขาได้รับทั้งหมดแล้ว เยว่หลีก็ก้มคำนับอย่างจริงใจจนเกิดเสียงดัง
เสียงดังตึงทำเอาเจ็บหน้าผากไปหมด แต่เยว่หลีเพียงลูบมันและยิ้มต่อไป จากนั้นก็กระโดดโลดเต้นกลับไปหาเสี่ยวเป่า
“เสี่ยวเป่า ๆ ข้ามีเงินกับสมบัติเยอะแยะเลย ข้าให้เจ้าหมดเลยนะ~”
หนานกงสือเยวียน “…”
ดาบอยู่ไหน!
“ฝ่าบาท คือว่า… คุณชายเยว่หลีสังหารศัตรูมากมายถึงเพียงนั้นเป็นไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท นี่ต้องมีอะไรผิดพลาดเป็นแน่ สามหมื่นกว่าคน ดูอย่างไรคุณชายเยว่หลีก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อย เป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท โปรดตรวจสอบให้ถี่ถ้วนด้วยเถิด!”
จะอย่างไรพวกเขาก็ไม่ยอมรับ แทบจะมีคำว่า‘ไม่ยอม’เขียนอยู่บนใบหน้า
อายุเพียงเท่านี้ ทั้งยังดูโง่เขลา ยากจะเชื่อได้ว่าเขาสังหารไปถึงสามหมื่นคน
หนานกงสือเยวียนราวกับคาดเดาทุกอย่างไว้ล่วงหน้า เขาเพียงนิ่งเงียบรอจนคนพวกนั้นสงบลง
“พวกเจ้าคิดว่าเขาทำมิได้หรือ” หนานกงสือเยวียนถามเสียงนิ่ง
“ฝ่าบาท หากว่าอยากให้พวกกระหม่อมเชื่อ เช่นนั้นก็ต้องแสดงให้พวกเราเห็นว่าคุณชายเยว่หลีผู้นี้มีความสามารถอะไร”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ คุณชายเยว่หลีเป็นเพียงเด็กหนุ่ม ช่วยแสดงให้ดูได้หรือไม่ว่าสังหารศัตรูได้อย่างไร”
สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เยว่หลี แฝงไว้ด้วยความยินดีบนความโชคร้ายของอีกฝ่าย บ้างก็โกรธแค้นและไม่พอใจ ส่วนบางคนก็มีแววตาที่ซับซ้อน
เยว่หลีเอียงคอด้วยความงุนงง “แสดงอะไร ใช่ฆ่าคนหรือไม่”
หนานกงฉีหลิง “…ไม่โหดร้ายขนาดนั้นหรอก วางใจเถอะ เสด็จพ่อคงมีแผนแล้ว”
เขาเชื่อมั่นในตัวเสด็จพ่อของตนยิ่ง ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบที่เยว่หลีมักจะขโมยน้องสาวไปจากเขาอยู่เสมอ แต่อะไรที่ควรเป็นผลงานของเยว่หลี เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อยผ่าน
และเป็นดังนั้น หนานกงสือเยวียนเตรียมการไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว