บทที่ 361 อสรพิษ

“ในเมื่อพวกเจ้าอยากเห็น เช่นนั้นก็จงดูให้พอใจ”

เขายกมือขึ้น ฝูไห่พลันยืนตัวตรงประกาศออกมาเสียงดัง

“ซื่อจื่อของหนานหมานอ๋องแห่งหนานจ้าวเข้าเฝ้า”

ซื่อจื่อของหนานหมานอ๋อง?

ทุกคนต่างมองหน้ากัน ส่วนเสี่ยวเป่าชะเง้อคอมองออกไปด้านนอก

อยู่ไหน อยู่ไหนกัน พี่เจียงอู๋ฮ่วนอยู่ที่ใดกัน

เจียงอู๋ฮ่วนเดินเข้ามาพร้อมกับกรงขนาดใหญ่ที่มีทหารสี่นายแบกเอาไว้

ทุกคนในท้องพระโรงมองหน้ากันไปมาด้วยสายตาใคร่รู้ ไม่รู้ว่าคนผู้นี้ต้องการจะทำสิ่งใด

“ฮ่องเต้ต้าเซี่ย”

เจียงอู๋ฮ่วนถวายบังคม จากนั้นจึงนำตราประทับลัญจกรของหนานจ้าวออกมา

“นี่คือตราประทับลัญจกรแห่งกษัตริย์หนานจ้าว ยามนี้ส่งมอบแด่ฮ่องเต้ต้าเซี่ย”

เจียงอู๋ฮ่วนมองไปทางตราประทับลัญจกรด้วยความรู้สึกสลับซับซ้อนมากมาย

หนานจ้าวกลายเป็นของต้าเซี่ยแล้ว ต่อจากนี้จะไม่มีหนานจ้าวอีกต่อไป…

ด้วยฐานะคนหนาวจ้าวตั้งแต่กำเนิด เขาจะไม่มีอารมณ์ซับซ้อนหรือเสียใจได้อย่างไร แต่เมื่อเทียบกับการให้หนานจ้าวตกอยู่ในเงื้อมมือของมหาปุโรหิต เขายินยอมให้ตกอยู่ภายใต้ต้าเซี่ยมากกว่า

อย่างน้อยฮ่องเต้ต้าเซี่ยก็เป็นวีรบุรุษที่แท้จริง หากไร้ซึ่งอิทธิพลจากกู่และคำสาปอาฆาต เขาก็ถือว่าเป็นผู้ปกครองอันปรีชาญาณ

พวกมหาปุโรหิตนั้นชั่วร้ายเลวทรามอย่างถึงที่สุด หากหนานจ้าวตกอยู่ในกำมือของพวกเขา มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้คนจะถูกนำไปหล่อเลี้ยงกู่ หากเป็นเช่นนั้นก็คงอยู่ไม่สู้ตาย

หนานกงสือเยวียนสั่งให้คนรับตราประทับลัญจกรมา หลังจากนั้นก็มองเขาด้วยแววตาสงบนิ่ง

“เจียงอู๋ฮ่วน เจ้ายังคงเป็นซื่อจื่อของหนานหมานอ๋อง นับตั้งแต่วันนี้เจ้าจะไม่สามารถออกจากเมืองหลวงต้าเซี่ยได้โดยไม่ได้รับคำอนุญาต”

นี่เป็นการจำกัดอิสรภาพของเจียงอู๋ฮ่วน แต่ในขณะเดียวก็เป็นการปกป้องเขาด้วย

ในฐานะซื่อจื่อของหนานหมานอ๋อง เขาย่อมมีพลังอำนาจอยู่ในมือ หนานกงสือเยวียนไม่ต้องการวัดใจคน หากปล่อยให้เจียงอู๋ฮ่วนเติบโตพัฒนาในหนานจ้าว เขาย่อมไม่อาจวางใจได้

ทว่าขณะเดียวกันก็มีคนหนานจ้าวจำนวนมากที่ต้องการจะสังหารเขา มีทั้งเชื้อพระวงศ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ เผ่ากู่ดำที่ยังหลบหนี และเหล่าขุนนางที่ภักดีต่อจักรพรรดิองค์ก่อน

กล่าวได้ว่าเป็นกากเดนที่หลงเหลืออยู่ในรัชสมัยก่อนของหนานจ้าว

อาณาจักรหนานจ้าวสิ้นแล้ว พวกเขาไม่อาจทำสิ่งใดกับหนานกงสือเยวียนได้ ดังนั้นจึงได้แต่นำโทสะทั้งหมดมาลงกับเจียงอู๋ฮ่วน

ดังนั้นสำหรับเจียงอู๋ฮ่วนในตอนนี้ เมืองหลวงต้าเซี่ยคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด

ดูเหมือนว่าเจียงอู๋ฮ่วนจะคาดเดาผลลัพธ์เช่นนี้เอาไว้แล้ว เขาจึงเพียงแค่เอ่ยขอบคุณอย่างสงบนิ่ง

หนานกงสือเยวียน “สมบัติที่นำกลับมาจากวังหลวงหนานจ้าว รวมทั้งทุกสิ่งในจวนหนานหมานอ๋องจะถูกส่งคืนให้กับซื่อจื่อของหนานหมานอ๋อง

ทว่านี่คือสิ่งที่เจียงอู๋ฮ่วนคาดไม่ถึง เขาเงยหน้ามองฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยซึ่งประทับอยู่บนบัลลังก์ จากนั้นก็คำนับจากใจจริง

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

คนผู้นี้นับว่าใจคอกว้างขวางอย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้เพื่อสมบัติจำนวนไม่น้อยของจวนหนานหมานอ๋อง กษัตริย์หนานจ้าวและพวกมหาปุโรหิตได้วางแผนสังหารเสด็จพ่อเสด็จแม่ เพียงเพราะความโลภในทรัพย์สมบัติของจวนหนานหมานอ๋อง

วันคืนที่เฝ้ารอการแก้แค้นโดยไร้บิดามารดาและทรัพย์สินผ่านไปอย่างยากลำบาก สามารถกล่าวได้ว่าเขาเป็นซื่อจื่อที่ยากจนที่สุดในหนานจ้าวแล้ว

ยามนี้ฮ่องเต้แห่งต้าเซี่ยกลับไม่คิดโลภในทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ทั้งยังส่งมอบคืนให้

ฮ่องเต้ที่ใจคอกว้างขวางเปี่ยมความสามารถเช่นนี้ หากบอกว่าสามารถรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งได้ เขาก็ไม่คิดสงสัยแม้แต่น้อย

“นำของมาหรือไม่”

หลังจากจบเรื่องนี้ หนานกงสือเยวียนก็คลี่คลายอีกเรื่อง นั่นคือการทำให้เหล่าขุนนางได้ประจักษ์รับรู้ถึงพลังของเยว่หลี

เขากังวลเกี่ยวกับเสี่ยวเป่า จึงไม่ต้องการให้นางเปิดเผยพลังอันน่าอัศจรรย์ออกมา หนึ่งเพราะนางเป็นบุตรสาวของเขา เขาย่อมต้องปกป้องนางเอาไว้ใต้ปีกของตน

อีกหนึ่งเหตุผลก็เพราะความสามารถของนางนั้นล้วนแล้วใช้เพียงช่วยเหลือเท่านั้น ไม่มีความสามารถในการต่อสู้หรือปกป้องตัวเองแม้แต่น้อย

ส่วนเยว่หลีนั้นแตกต่าง เด็กหนุ่มมีความโหดเหี้ยมเด็ดขาด แม้จะมีความกริ่งเกรงต่อเขาอยู่บ้าง แต่นั่นก็ต้องเป็นตอนที่มีเสี่ยวเป่าอยู่ใกล้ ๆ

“นำมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เจียงอู๋ฮ่วนสั่งให้คนดึงม่านสีดำที่คลุมรอบกรงเอาไว้ออก สิ่งที่อยู่ด้านในปรากฏสู่สายตาของทุกคนในท้องพระโรง

“ฟ่อ…”

ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงหายใจติดขัดดังจากทั่วท้องพระโรง เหล่าคนใจเสาะแทบจะถอยหนีแล้วส่งเสียงกรีดร้องโวยวายด้วยความขวัญผวาด้วยซ้ำ

สิ่งที่ถูกขังเอาไว้ด้านในกรงคืองูจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งยังเป็นงูพิษทั้งสิ้น

“นี่ นี่ นี่… ฝ่าบาท เหตุใดจึงมีอสรพิษมากมายเพียงนี้!”

เพียงมองไปที่อสรพิษที่อัดกันแน่นขนัดก็ชวนให้หนังศีรษะตื้อชาแล้ว

หนานกงสือเยวียนมองพวกเขาด้วยสายตาตั้งคำถาม “พวกเจ้าต้องการจะดูว่าเยว่หลีมีความสามารถอันใดไม่ใช่หรือ”

หนานกงหลีลูบแขนตนเอง รู้สึกขนลุกจนต้องถอยไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังบรรดาหลานชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลานทั้งสองที่มีผลงานโดดเด่นในสนามรบ

หนานกงฉีอิงและหนานกงฉีหลิง “…”

ช่างเป็นท่านอาที่แสนดีของพวกเราเสียจริง

เขาดันหลานชายทั้งสองไว้หน้าตน ก่อนจะชะโงกคอมองเหล่างูแล้วหันไปทางเยว่หลี

“เสด็จพี่หมายความว่าอย่างไร หรือว่าเขาจะมีความสามารถในการควบคุมงูเหล่านี้”

หนานกงฉีหลิงหัวเราะเหอะ ๆ “ท่านอาเจ็ดคิดเช่นไร”

หนานกงหลีเบิกตากว้าง… ไม่ ไม่จริงใช่หรือไม่

ท้องพระโรงตกสู่ความเงียบงัน ทุกคนต่างจับจ้องไปทางเยว่หลีเป็นตาเดียว

หากเป็นคนธรรมดาหรือสภาพจิตใจไม่เข้มแข็งพอ การถูกสายตาจับจ้องมากมายคงทำให้รู้สึกตึงเครียดขึ้นมา

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเยว่หลีแม้แต่น้อย เขาไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าความตึงเครียดคือสิ่งใด

เขาทำเพียงแค่เดินไปด้านหน้ากรงแล้วเปิดมันออกก่อนที่ใครจะทันได้ตอบสนอง

“อ๊าก!!! เหตุใดเขาจึงเปิดกรง!”

“คุ้มกันฝ่าบาท คุ้มกันฝ่าบาท!”

“บังอาจ! ตัวประหลาดอย่างเจ้าคิดก่อกบฏอย่างนั้นหรือ!”

สถานการณ์อลหม่านวุ่นวายขึ้นมาทันที บางคนรีบวิ่งไปคุ้มกับฝ่าบาทและเหล่าองค์ชายองค์หญิง ขณะที่บางคนรีบถอยหนีด้วยความรักตัวกลัวตาย

แววตาของเยว่หลีฉายแววฉงน อันใดกัน บอกให้เขาแสดงให้ดู ตอนนี้กลับกลัวเสียแล้ว เหตุใดจึงได้เรื่องมากเช่นนี้

เด็กหนุ่มเบะปากด้วยสายตาไม่พอใจ ท่าทางเหมือนกับเสี่ยวเป่ายิ่ง

เสี่ยวเป่า “…”

นางกลอกตาทันที

เยว่หลีโบกมือ เหล่าอสรพิษต่างเลื้อยออกจากกรงมารวมกันอยู่รอบตัวเขาอย่างเชื่อฟัง ไม่ได้เลื้อยพล่านไปทั่วหรือโจมตีผู้ใด

“มาทางนี้แล้ว มาทางนี้แล้ว!”

คนในท้องพระโรงต่างหวาดผวาจนต้องถอยหนี แววตาฉายชัดถึงความกลัวออกมา

สุดท้ายอสรพิษทั้งหลายก็เรียงตัวกันภายใต้สายตาของทุกคน กลายเป็นตัวอักษรสองคำกลางท้องพระโรง

‘เสี่ยวเป่า’

ทุกคน “…”

พริบตานั้นเอง ทุกสายตาจับจ้องไปทางเด็กหนุ่มผมขาวก่อนจะหันไปมององค์หญิง สีหน้าท่าทางของพวกเขายากจะบรรยาย

ทว่าเยว่หลีกลับวิ่งเข้าไปถามเสี่ยวเป่าด้วยความคึกคักตื่นเต้น “สวยหรือไม่ ข้าเองก็รู้ตัวอักษร!”

แม้ว่าจะรู้อักษรจำนวนน้อยนิดมากก็ตาม

คำว่า ‘เสี่ยวเป่า’ เป็นสองคำแรกที่เขาสามารถจดจำได้

เสี่ยวเป่าลูบหัวของเขาแล้วเอ่ยชมเชย “เก่งมาก”

เยว่หลีเบิกบานใจยิ่งกว่าเดิม “เสี่ยวเป่ายังต้องการเขียนคำใดอีก ข้าจะสั่งให้พวกมันทำ”

เสี่ยวเป่าร่วมสนทนากับเขาเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่าสนใจการละเล่นนี้เป็นอย่างมาก เลยสุมหัวพูดคุยหารือกัน เกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าที่นี่คือที่ไหน