ตอนที่ 331 โทรทางไกล

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 331 โทรทางไกล

ตอนเที่ยง หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน หวังหรงแต่งตัวและออกจากบ้านโดยสะพายกระเป๋าไว้ด้านหลัง

ตายยากจริง ๆ เลย ฉันเจออดีตเพื่อนสาวเข้าอีกแล้ว

ตอนแรกอดีตเพื่อนสาวของหล่อนกลุ่มนี้ต้องการหัวเราะเยาะหล่อน กับคนที่มีมิตรภาพเพียงเปลือกนอก สิ่งที่พวกหล่อนชอบที่สุดคือการเหยียบย่ำซ้ำเติม

แต่พวกหล่อนกลับต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าทรงผมและเสื้อผ้าของหวังหรงดูทั้งสวยและทันสมัย

พวกหล่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มทันที ถามว่า “หรงหรง ไม่เจอกันนานเลยนะ เธอไปรวยมาจากไหนกัน ทำไมถึงได้แต่งตัวอู้ฟู่ขนาดนี้?”

หวังหรงเชิดคางขึ้น แสดงท่าทางเย็นชาใส่ ตอบกลับเบา ๆ ว่า “ฉันไม่ได้รวย แต่ฉันมีแฟนเป็นคนฮ่องกง”

พูดจบ หล่อนก็เดินเชิดหน้าออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

ปล่อยให้กลุ่มเพื่อนสาวยืนชะงักค้างอยู่ตรงนั้นด้วยความอิจฉาริษยาระคนเกลียดชัง อดนึกสงสัยกับตัวเองไม่ได้ว่าหญิงสาวที่ตั้งแผงลอยอยู่ริมถนนเมื่อวานนี้และวิ่งหนีทันทีที่เห็นพวกหล่อนอาจไม่ใช่หวังหรง

ยุคสมัยนี้ หน่วยงานของรัฐหลายแห่งสามารถต่อสายโทรศัพท์ไปยังเมืองต่าง ๆ ภายในประเทศจีนได้ แต่ยังไม่สามารถโทรทางไกลไปถึงฮ่องกง

ถ้าอยากโทรศัพท์ไปฮ่องกง ต้องไปที่กรมศุลกากรเพื่อขอโทรออกเท่านั้น

โชคดีที่เจียงเฉิงมีกรมศุลกากร

หวังหรงไปที่กรมศุลกากรซึ่งมีบริการพิเศษโทรทางไกลระหว่างประเทศ เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการ แต่มีค่าบริการแพงมาก

หวังหรงกัดฟันทนเฉือนเนื้อตัวเองและโทรศัพท์หากวนหย่งหัว

ในสายมีเสียงสัญญาณดังยาวหลายครั้ง แต่ยังไม่มีใครกดรับสาย

หวังหรงก้มมองกระดาษโน้ตในมือตัวเองทันที ทบทวนหมายเลขโทรศัพท์ที่กวนหย่งหัวทิ้งไว้ให้

หล่อนไม่ได้โทรผิด

ความไม่สบายใจเล็ก ๆ ปะทุขึ้นในใจ หรือกวนหย่งหัวจะทิ้งเบอร์ปลอมเอาไว้ให้หล่อน?

ส่วนเหตุผลว่าทำไมเขาถึงทิ้งเบอร์ปลอมไว้ให้ คำตอบชัดเจนอยู่ในตัวมันเองแล้ว

หวังหรงกดหมายเลขนั้นซ้ำอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้

ทุกครั้งที่เสียงสัญญาณยาวดังขึ้นในสาย หัวใจของหล่อนก็สั่นไหวด้วยความหวาดกลัว

ในขณะที่หล่อนประหม่าจนเหงื่อออกบนฝ่ามือ ในที่สุดเสียงของกวนหย่งหัวก็ดังมาจากปลายสาย

หล่อนอดไม่ได้ที่จะหลับตาลงเพื่อข่มความตื่นเต้น ราวกับรอดพ้นจากความตาย

ทันทีที่กวนหย่งหัวกลับมาจากข้างนอก เขาก็ได้รับสายจากหวังหรง จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจ

นึกไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงจากจีนแผ่นดินใหญ่จะหลงใหลในตัวเขามากขนาดนี้ ทันทีที่เขากลับมาถึงฮ่องกง ก็รีบโทรศัพท์ตามในทันใด

เขาถามผ่านทางโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มีอะไรหรือเปล่าที่รัก? หรือคิดถึงผมทันทีที่เราแยกจากกัน? ผมเองก็คิดถึงคุณนะ”

หวังหรงถือสายเงียบ ๆ เพราะไม่รู้ว่าควรพูดอะไรอยู่พักหนึ่ง

พวกเขาทั้งสองเพิ่งคบกันได้ไม่นาน แต่หล่อนกลับข้ามเส้นไปขอเงินจากเขาถึงหนึ่งพันหกร้อยหยวน เกิดเขาเข้าใจผิดว่าที่หล่อนตัดสินใจคบกับเขาเพราะหวังเงินล่ะ?

พอนึกมาถึงตรงนี้ หล่อนก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา

แต่ถ้าไม่มีเงิน หล่อนก็แก้ปัญหาทุกอย่างไม่ได้

หลังจากคิดทบทวนแล้ว ในที่สุดก็ตอบกลับไปว่า “หย่งหัว คุณเคยบอกว่าคุณจะซื้อเครื่องประดับทองครบชุดให้ฉันใช่ไหมคะ?”

“ใช่ คุณเคยบอกว่าอยากได้ไม่ใช่เหรอ ผมต้องซื้อให้คุณแน่นอนอยู่แล้ว”

น้ำเสียงของกวนหย่งหัวทั้งแผ่วเบาและไพเราะ แต่แววตากลับฉายความดูถูก

เขาไม่ใช่คนโง่ หลังจากได้ยินคำพูดของหวังหรง เขาก็รู้แล้วว่าหล่อนกำลังจะพูดอะไรต่อไป แน่นอนว่าคงไม่มีอะไรมากไปกว่าการขอเงินจากเขา

ผู้หญิงคนนี้ช่างไร้ยางอายจริง ๆ เขาเพิ่งรู้จักเธอได้แค่ไม่กี่วัน หล่อนกลับกล้าแบมือขอเงินจากเขาแล้ว!

หวังหรงชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะออดอ้อนขอร้อง “ฉันไม่อยากได้เครื่องประดับทองพวกนั้นแล้วค่ะ ขอเปลี่ยนเป็นเงินสองพันหยวนแทนได้ไหม พอดีครอบครัวของฉันมีปัญหานิดหน่อย เลยต้องการเงินด่วน”

ถึงอย่างไรการขอเงินจากกวนหย่งหัวก็ไร้ยางอายพออยู่แล้ว งั้นขอเพิ่มอีกหน่อยจะเป็นไรไป

แววตากวนหย่งหัวเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม แต่น้ำเสียงของเขายังคงอ่อนโยน “ผมจะให้เงินคุณสองพันหยวน แล้วจะซื้อเครื่องประดับทองให้คุณด้วย”

หวังหรงดีใจจนแทบสำลัก รีบตอบกลับทันควัน “หย่งหัว คุณใจดีกับฉันเหลือเกิน”

กวนหย่งหัวตอบกลับด้วยความรักใคร่ “ใครใช้ให้ผมหลงรักคุณกันล่ะ?”

หวังหรงได้ยินแบบนั้นก็ดีใจจนเนื้อเต้น

พอคุยโทรศัพท์กับกวนหย่งหัวจนบรรลุความต้องการแล้ว หล่อนก็ขอวางสาย

ค่าโทรศัพท์ที่บวกเพิ่มขึ้นทุกนาที คิดเป็นเงินหลายเหมา ซึ่งหล่อนไม่สามารถแบกรับได้

หล่อนต้องใช้เงินสดที่เหลืออยู่เพื่อเอาตัวรอด ดังนั้นจึงต้องประหยัด

ทั้งสองบอกลากันเรียบร้อยแล้ว แต่จู่ ๆ หวังหรงก็ได้ยินเสียงเด็กคนหนึ่งร้องเรียก ‘แดดดี้’ ดังมาจากปลายสาย หัวใจหล่อนพลันกระตุกวาบขึ้นมาทันที

กวนหย่งหัวอยู่อายุสามสิบต้น ๆ มีผู้ชายแค่ไม่กี่คนในวัยนี้ที่ยังไม่ได้แต่งงาน

ตอนที่หวังหรงสานสัมพันธ์กับกวนหย่งหัวช่วงแรก ๆ หล่อนจงใจถามว่าเขาแต่งงานแล้วหรือยัง

กวนหย่งหัวสาบานต่อพระเจ้าว่าเขายังโสด ด้วยเหตุนี้หวังหรงถึงได้ยอมหลับนอนกับเขา

หล่อนไม่กลัวตัวเองเสียศักดิ์ศรีเพราะใช้เรือนร่างยั่วยวนเขา แต่หล่อนจำเป็นต้องรู้สถานภาพการสมรสของอีกฝ่าย

ถ้าเขาแต่งงานแล้ว และแค่อยากเล่นสนุกกับหล่อน หล่อนจะพูดคุยกับเขาเฉพาะเรื่องเงิน

ถ้าเขายังโสด และต้องการคบหากับหล่อนอย่างจริงจัง หล่อนก็จะคุยเรื่องความสัมพันธ์กับเขา

แน่นอนว่า เป้าหมายสูงสุดของการพูดคุยเรื่องความสัมพันธ์ก็เพราะเงินเช่นกัน

หล่อนยังสาวยังสวย ชีวิตนี้จะต้องแต่งงานกับผู้ชายที่ร่ำรวยเท่านั้น

แต่แล้วเด็กคนหนึ่งที่อยู่ปลายสายกลับเรียกเขาว่าพ่อ เป็นไปได้ไหมว่ากวนหย่งหัวโกหกหล่อน?

ความจริงเขาอาจแต่งงานแล้ว แถมยังมีลูกแล้วด้วย แต่เขากลับโกหกว่าตัวเองยังไม่ได้แต่งงาน ไม่มีแม้กระทั่งแฟนสาวด้วยซ้ำ

พอนึกถึงความเป็นไปได้ดังกล่าว หวังหรงก็เกิดประหม่าขึ้นมา “พี่หย่งหัว ใครเรียกคุณว่าพ่อกันคะ? ความจริงคุณแต่งงานแล้วใช่ไหม?”

ขณะที่พูดแบบนั้น น้ำเสียงของหล่อนเจือด้วยความเศร้า

ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะหล่อนโดนหลอก ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นเพราะหล่อนตกหลุมรักเขาเข้าแล้วจริง ๆ และต้องการใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา

นั่นเป็นเพราะหล่อนรู้ตัวดี ว่าตัวเองคงไม่มีวันหาแฟนที่เพียบพร้อมเท่ากับกวนหย่งหัวได้อีกแล้ว

เขาทั้งรวย ทั้งหล่อเหลาสง่างาม

หล่อนไม่อยากเสียเขาไป ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย

อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ กวนหย่งหัวยิ้มกว้าง “ที่รัก คุณอย่าเดาสุ่มสี่สุ่มห้าสิ ผมเพิ่งไปรับพี่สาวกับพี่เขยมาที่บ้าน แต่หลานสาวของผมดันเผลอเรียกผมว่าพ่อ!”

หวังหรงยังไม่คลายสงสัย “จริงเหรอคะ?”

“ทำไมคุณถึงไม่ยอมเชื่อผมล่ะ?” น้ำเสียงกวนหย่งหัวดูร้อนรนแปลก ๆ เขาหันไปพูดกับใครสักคนที่อยู่ปลายสาย “พี่สาว มาอุ้มเด็กไปหน่อย สอนให้หล่อนเรียกผมว่าน้าสิ แฟนผมเข้าใจผมผิดหมดแล้ว!”

ผู้หญิงอีกคนหนึ่งตอบรับเขาด้วยภาษาจีนกวางตุ้ง หันไปดุเด็กน้อยว่า “เรียกคุณน้าเร็วเข้า ไม่งั้นแฟนของคุณน้าได้บอกเลิกเขาแน่ เดี๋ยวเขาก็ได้กลับไปเป็นโสดอีกครั้งหนึ่งหรอก”

ทันใดนั้น หวังหรงก็ได้ยินเสียงเรียก “คุณน้า” ดังมาจากเด็กน้อยคนเดิม

น้ำเสียงกวนหย่งหัวที่ส่งมาจากปลายสายดูโกรธ ๆ เล็กน้อย “เจ้าวายร้ายตัวน้อย เกือบฆ่าน้าตายแล้วไหมล่ะ”

เสียงหัวเราะคิกคักของเด็กน้อยดังเล็ดลอดออกมาจากโทรศัพท์

จากนั้นกวนหย่งหัวก็กลับมาถามหวังหรงที่ถือสายค้างอยู่ “ที่รัก คุณยังสงสัยในตัวผมอีกไหม?”

หวังหรงรู้สึกลังเลใจ แต่เมื่อคิดถึงเงินสองพันหยวนแล้ว หล่อนก็ไม่กล้านึกสงสัยอีก ตอบกลับเสียงเบาว่า “ไม่สงสัยแล้วค่ะ”

กวนหย่งหัวพูดหวาน ๆ กับหล่อนอีกสองสามคำ จากนั้นก็วางสาย

พอหันกลับมา เขาก็เอื้อมมือไปรับเด็กหญิงตัวน้อยที่น่ารักเหมือนตุ๊กตามาจากอ้อมแขนของหญิงสาวด้านข้างพลางพูดว่า “เล่อเล่อ ขอพ่อกอดหน่อยซิ”

หญิงสาวส่งเด็กหญิงตัวน้อยให้ไปอยู่ในอ้อมแขนเขา

พ่อและลูกสาวกอดหอมกันอยู่พักใหญ่

หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “นึกไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงทางเหนือจะเข้าใจคำว่า ‘แดดดี้’ กับเขาด้วย เราเกือบทำหล่อนหลุดมือไปแล้วเชียว”

ถึงเจียงเฉิงจะไม่ได้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ แต่ชาวฮ่องกงมักจะเหมารวมเรียกสถานที่ที่อยู่นอกเกาะฮ่องกงว่าทางเหนือไปเสียหมด

กวนหย่งหัวจูบหน้าผากลูกสาวผู้เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดในชีวิต “อย่าจินตนาการว่าคนแผ่นดินใหญ่เป็นคนบ้านนอกที่ไม่เคยพบเห็นโลกภายนอกสิ คนที่นั่นดูหนังฮ่องกงและไต้หวันกันออกถมเถ ดาราหนังก็พูดคำว่าแดดดี้บ่อยออก สำหรับคนรุ่นใหม่แล้ว ใครบ้างจะไม่เข้าใจคำภาษาอังกฤษง่าย ๆ นี้?”

หญิงสาวยังคงเม้มริมฝีปากอย่างดูถูก ถามว่า “เมื่อไหร่คุณจะสลัดสาวจากแผ่นดินใหญ่คนนั้นไปซะทีล่ะ สองวันก่อนเล่อเล่อก็เพิ่งจะหมดสติไป”

กวนหย่งหัวมองลูกสาวในอ้อมแขนที่มีใบหน้าซีดเผือดอย่างทุกข์ใจ จากนั้นก็ยิ้มเยาะ “ผมจะพยายาม แผนการนี้จะรีบร้อนมากไม่ได้”

สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด “งั้นก็อย่าถ่วงเวลาเลย กลับไปเกลือกกลิ้งบนเตียงกับแม่สาวแผ่นดินใหญ่คนนั้นให้มากกว่านี้เถอะ”

กวนหย่งหัวทำท่าหมดอาลัยตายอยาก “ผมจะทำแบบนั้นได้ยังไง! คิดว่าผมไม่ทุกข์ใจกับอาการป่วยของเล่อเล่อเหรอ? ผมยังหวังว่าหล่อนจะหายดีโดยเร็ว”

“ก็ยังดีที่คุณยังมีจิตสำนึกอยู่บ้าง ผู้หญิงแผ่นดินใหญ่คนนั้นโลภเกินไป ยิ่งคุณถ่วงเวลาให้ล่าช้า คุณยิ่งต้องควักเงินจ่ายให้หล่อนมากขึ้น อาการของเล่อเล่อก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก”

กวนหย่งหัวรั้งร่างหญิงสาวคนนั้นมากอดจูบ “เข้าใจแล้วครับภรรยา”

ทันทีที่หวังหรงกลับมาถึงบ้าน พ่อหรง แม่หรง และแม่เฒ่าหวังก็แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะถามว่าแฟนหนุ่มชาวฮ่องกงของหล่อนยอมจ่ายเงินให้หรือเปล่า

หวังหรงพยักหน้าด้วยความลำบากใจ “จ่ายสิ”

แต่หล่อนไม่ยอมบอกว่าตัวเองขอเงินจากกวนหย่งหัวมาสองพันหยวน บอกว่าขอเงินมาแค่หนึ่งพันหกร้อยหยวนเท่านั้น

ไม่กี่วันต่อมา หวังหรงก็ได้รับใบธนาณัติจากกวนหย่งหัว

ทันทีที่ได้รับเงิน หล่อนก็จ่ายเงินส่วนหนึ่งชดเชยให้กับบรรดาผู้หญิงตระกูลตู้ รวมถึงพ่อแม่ของหลูจ้าวซิ่งทันที

ในที่สุดครอบครัวของหวังหรงก็กลับมามีสถานะที่มั่นคงอีกครั้ง

ขณะที่คนในครอบครัวกำลังชื่นชมยินดี เสียงเคาะประตูลานบ้านกลับดังขึ้น

หลังจากนั้น เพื่อนบ้านคนหนึ่งก็ตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “แม่เฒ่าหวัง สหายจากทางศาลมาตามหาหลานสาวของคุณน่ะ”

พ่อหรงและแม่หรงหวาดกลัวเกินกว่าจะบรรยายเป็นคำพูด

พ่อหรงรีบหันไปถามหวังหรงด้วยอาการใจสลาย “นังตัวซวย แกไปสร้างปัญหาอะไรอีกล่ะ?”

หวังหรงตอบกลับด้วยสีหน้าซีดเผือด “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน…”

พ่อหรงเหลือบมองลูกสาวด้วยแววตาแข็งกร้าว จากนั้นก็วิ่งไปเปิดประตูลานบ้าน เชื้อเชิญเจ้าพนักงานจากศาลเข้ามา

ด้วยเกรงว่าถ้าต้อนรับล่าช้าอาจโดนข้อหาไม่ให้ความร่วมมือกับกระบวนการตุลาการ

เพื่อนบ้านที่เป็นคนบอกทางให้เจ้าพนักงานศาลพยายามชะเง้อมองเข้าไปในลานบ้าน แต่พ่อหรงกลับปิดประตูใส่เสียงดังปัง

แม่หรงฝืนยิ้มแย้ม ถามเจ้าพนักงานจากศาลว่าคราวนี้หวังหรงไปก่ออาชญากรรมอะไรอีก

เจ้าพนักงานศาลยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไม่ใช่คดีอาชญากรรมหรอก แต่หล่อนถูกห้องในข้อหาทำลายชื่อเสียงของผู้อื่นและถูกตัดสินโทษจำคุก ผมมาที่นี่ก็เพื่อส่งต่อคำตัดสิน”

หลังจากพูดจบ เขาก็หยิบซองจดหมายออกมาจากกระเป๋า ถามว่า “คนไหนคือหวังหรง?”

ทันใดนั้นหวังหรงก็จำได้ทันทีว่าคนที่ฟ้องร้องหล่อนต้องเป็นหลินม่ายแน่ จึงรีบก้าวไปรับซองจดหมายนั้น

หลังจากเจ้าพนักงานศาลกลับออกไปแล้ว หล่อนก็รีบเปิดซองจดหมายอย่างใจจดใจจ่อ หยิบเอกสารคำตัดสินออกมา แล้วอ่านเนื้อหาข้างในนั้น

แค่หลินม่ายเรียกร้องให้หล่อนจ่ายค่าปรับห้าสิบหยวนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ว่า… เธอกลับเรียกร้องให้หล่อนขอโทษต่อหน้าสาธารณชนด้วย คนอย่างหล่อนหรือจะยอมเสียหน้า

ขณะเดียวกันหล่อนก็รู้ดีว่าฟางจั๋วหรานไม่มีทางปล่อยหล่อนไปแน่ ถ้าหล่อนไม่ยอมปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในคำตัดสินของศาลอย่างตรงไปตรงมา

ท้ายที่สุด หล่อนก็ยอมลากเท้าอันหนักหน่วงไปที่หน้าร้านของหลินม่าย และทำตามคำเรียกร้องของหลินม่าย คือยืนอยู่หน้าประตูห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง แล้วกล่าวคำขอโทษผ่านทางโทรโข่งสิบครั้ง ในที่สุดหลินม่ายก็ยอมปล่อยหล่อนไป

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

นั่นไง ว่าแล้วว่าหนุ่มฮ่องกงนี่มันต้องเป็นพ่อครัวผู้เชี่ยวชาญด้านการตุ๋น กว่าจะรู้ตัวว่าโดนต้ม เนื้อก็น่าจะเปื่อยยุ่ยได้ที่เลยล่ะนังหรง

ไหหม่า(海馬)