ตอนที่ 332 ศาสตราจารย์ฟางซื้อกระเป๋า

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 332 ศาสตราจารย์ฟางซื้อกระเป๋า

ทันที่ที่พ่อแม่ของหลูจ้าวซิ่งได้รับเงินหกร้อยหยวนจากหวังหรง พวกเขาก็รีบพาลูกชายไปรักษาที่โรงพยาบาลผู่จี้ทันที เรียกร้องว่าหมอที่จะทำการผ่าตัดให้ลูกชายพวกเขาต้องเป็นฟางจั๋วหรานเท่านั้น

ทางโรงพยาบาลอธิบายกับพวกเขาว่า ตอนนี้ฟางจั๋วหรานเดินทางไปสัมมนาวิชาการที่ฮ่องกงเมื่อไม่กี่วันก่อน ในอีกห้าวันข้างหน้าคงกลับมาไม่ทันแน่

ถึงแม้การผ่าตัดเปิดกะโหลกของหลูจ้าวซิ่งจะถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ แต่ใช่ว่าในโรงพยาบาลนี้มีแค่ฟางจั๋วหรานคนเดียวที่ทำได้ ศัลยแพทย์หลายคนในโรงพยาบาลก็ทำได้เหมือนกัน

ทางโรงพยาบาลยังอุตส่าห์จัดให้หลูจ้าวซิ่งได้รับการผ่าตัดจากแพทย์ระดับศาสตราจารย์

แต่พ่อแม่ของหลูจ้าวซิ่งกลับเอาแต่ปฏิเสธท่าเดียว กระทืบเท้าเร่า ๆ ยืนกรานจะให้พวกเขาเรียกตัวฟางจั๋วหรานกลับมาเพื่อทำการผ่าตัดให้กับลูกชายสุดที่รักให้ได้

เนื่องจากหลูจ้าวซิ่งได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่ามีลิ่มเลือดในสมองซึ่งไปกดทับเส้นประสาทที่สำคัญ ทำให้อาการของเขาทรุดลงทุกวัน

ในตอนแรกเขาแค่พูดจาติดอ่าง แต่นานวันเข้ากลับไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้อีกต่อไป สติปัญญาการรับรู้ก็ยิ่งย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ

นอกจากนี้ ยังเป็นเพราะปล่อยให้การผ่าตัดรักษาล่าช้ามานานเกินไป ตอนนี้ไม่สามารถรีรอได้อีกแล้ว ต้องรีบดำเนินการทันที

ถ้าไม่รีบผ่าตัดศัลยกรรมจนพลาดโอกาสสุดท้ายในการหายเป็นปกติไป ต่อให้ครั้งหน้ามาเข้ารับการผ่าตัดก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น

เจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลอธิบายเหตุผลกับพ่อหลูและแม่หลูหลายครั้ง ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกตัวศาสตราจารย์ฟางให้กลับมาโดยทันที

ถ้าพวกเขายังยืนยันว่าจะเข้ารับการผ่าตัดจากศาสตราจารย์ฟางเท่านั้น ก็ต้องรอจนกว่าเขาจะกลับมา

ถึงอย่างนั้น อาการของลูกชายพวกเขาก็อยู่ในจุดที่ไม่สามารถรอได้อีกต่อไป

หลังจากโต้เถียงกันอยู่นาน ในที่สุดเจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลก็ทำสำเร็จตามอุดมการณ์เดิม พวกเขายอมตกลงให้แพทย์คนอื่นเป็นผู้ทำการผ่าตัด แต่แล้วก็พบว่าหลูจ้าวซิ่งนอนหมดสติอยู่บนเตียง

หลูจ้าวซิ่งเป็นกังวลมากเกี่ยวกับอาการของตัวเอง เขาแค่อยากเข้ารับการผ่าตัดโดยเร็วที่สุด เพื่อที่เขาจะได้หายกลับมาเป็นปกติโดยไว

เขาไม่อยากกลายเป็นคนไร้ประโยชน์

แต่พ่อแม่ของเขากลับยืนกรานจะยุ่งวุ่นวายไม่เป็นเรื่อง

ขณะที่พ่อแม่ของเขากำลังโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล เขาเองก็พยายามเปล่งเสียงให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยหวังว่าพ่อแม่จะหยุดวุ่นวายและปล่อยให้เขาเข้ารับการผ่าตัดเสียที

แต่พ่อแม่กลับไม่แม้แต่จะหันมาเหลียวแลเขา

พอเขารู้สึกตื่นตระหนก เส้นเลือดในสมองที่ถูกลิ่มเลือดกดทับอยู่ก็แตกทันที จนเขาสลบไป กว่าทุกคนจะรู้ตัวสถานการณ์ของเขาก็เข้าขั้นโคม่า

ในเวลานี้ เป้าหมายของการผ่าตัดไม่ใช่เพื่อรักษาอาการทางสมองของหลูจ้าวซิ่งอีกต่อไป แต่เป็นการผ่าตัดเพื่อยื้อชีวิตเขา

บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงศาสตราจารย์ด้านศัลยศาสตร์วัยหกสิบปี ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถอยู่ภายในห้องผ่าตัดเป็นเวลานานหกถึงเจ็ดชั่วโมง จนในที่สุดก็สามารถช่วยชีวิตหลูจ้าวซิ่งเอาไว้ได้

พ่อหลูและแม่หลูมองหน้าลูกชายของตัวเองที่หลังจากฟื้นแล้วก็ยังไม่สามารถพูดอะไรได้ เอาแต่นอนน้ำลายไหล หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

แต่ต่อให้เศร้าเสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้แค่ยอมรับชะตากรรม

พอคิดว่าลูกชายของพวกเขาต้องตกอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตายไปตลอด ก็คิดว่าครอบครัวของหวังหรงจะปัดความรับผิดชอบไม่ได้ ทั้งคู่มาที่หน้าประตูบ้านแม่เฒ่าหวัง เรียกร้องให้หวังหรงจ่ายเงินก้อนหนึ่งเพื่อชดเชยให้กับลูกชายของพวกเขา

แถมยังข่มขู่จะเอาเรื่องที่สองย่าหลานวางแผนวางยาฟางจั๋วหรานไปประจานต่อสาธารณชน หลังจากนั้นสองย่าหลานคงไม่พ้นถูกจับเข้าคุก

เงินเก็บทั้งหมดของแม่เฒ่าหวังถูกใช้จนหมดเกลี้ยงไปนานแล้ว ตอนนี้แม่เฒ่าหวังเหลือแค่เรือนสี่ประสานที่ตัวเองอาศัยอยู่

แต่คนอย่างนางหวังยอมติดคุกหัวโตดีกว่าขายบ้าน

หวังหรงถูกบีบจนไม่มีทางเลือก หล่อนจำเป็นต้องติดต่อกวนหย่งหัวอีกครั้ง เพื่อขอเงินจากเขาหนึ่งพันหยวน

ครั้งนี้กวนหย่งหัวก็ยังคงตกลงอย่างง่ายดาย

ภรรยาของเขาไม่พอใจมาก เอาแต่บ่นว่าสาวแผ่นดินใหญ่คนนี้ชักจะโลภเกินไปแล้ว

ภายในเวลาไม่ถึงเจ็ดวัน หล่อนโทรมาขอเงินถึงสองครั้ง

ถึงแม้เงินเพียงน้อยนิดนั้นจะไม่ทำให้ขนหน้าแข้งของพวกเขาร่วง แต่การที่หล่อนเอาแต่โทรมาขอเงินตลอดเวลาแบบนี้ก็ทำให้อดรู้สึกอึดอัดไม่ได้

วันสุดท้ายของการสัมมนาวิชาการของฟางจั๋วหรานในฮ่องกงมาถึงแล้ว

พอนึกขึ้นได้ว่าวันพรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับ เขาจึงรีบกินอาหารมื้อกลางวันในตอนเที่ยงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ไปที่ห้างสรรพสินค้า ตั้งใจว่าจะซื้อของขวัญกลับไปฝากคุณปู่กับคุณย่า และหลินม่ายกับลูกสาวของเธอ

การซื้อของขวัญสำหรับคุณปู่ คุณย่า และโต้วโต้วไม่ใช่เรื่องยาก

ฟางจั๋วหรานแค่ซื้อติ่มซำจากร้านจีนที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ไปฝากคุณปู่คุณย่า รวมถึงหาซื้อตุ๊กตาสักตัวให้โต้วโต้วก็ได้แล้ว

แต่การซื้อของขวัญให้หลินม่ายกลับทำให้เขากังวลมากกว่า

เครื่องประดับ? ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ค่อยชอบสวมใส่มันสักเท่าใด

พอหวนนึกถึงช่วงสองสามวันที่ผ่านมาในฮ่องกง เขาสังเกตเห็นว่าสาว ๆ ฮ่องกงชอบพูดคุยกันเกี่ยวกับกระเป๋าแบรนด์เนมบ่อยครั้ง ราวกับมันเป็นจุดอ่อนของพวกเธอ

ฟางจั๋วหรานเลยวางแผนว่าจะซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมสักใบเป็นของขวัญให้หลินม่าย

บังเอิญว่าเธอไม่มีกระเป๋าดี ๆ ติดไว้สักใบ ส่วนใหญ่มักจะใช้แต่กระเป๋าถูก ๆ เท่านั้น คราวนี้เขาซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมให้ เธอคงดีใจไม่น้อย

ฟางจั๋วหรานเดินพลางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ถนน จนสะดุดตาเข้ากับร้านกระเป๋าหนังที่มีโลโก้ LV

เขาจำได้ว่าบรรดาสาว ๆ ฮ่องกงพูดถึงกระเป๋ายี่ห้อนี้บ่อยที่สุด

วันแรกที่เขามาถึงฮ่องกง พยาบาลวัยสามสิบเอาแต่อวดกระเป๋า LV ใบใหม่ของตัวเองอยู่นาน ถ้าหัวหน้าพยาบาลไม่เดินมาดุ หล่อนก็คงไม่ยับยั้งตัวเอง

ฟางจั๋วหรานก้าวเข้าไปในร้าน LV

พนักงานขายหญิงที่แต่งหน้าสะสวย เห็นชายหนุ่มที่หล่อเหลายิ่งกว่าดาราก็ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที ต่างแก่งแย่งกันเพื่อจะรับหน้าที่บริการเขา

แต่ทันทีที่ได้ยินฟางจั๋วหรานพูดภาษาจีนกลาง พวกหล่อนก็รู้ทันทีว่าเขามาจากแผ่นดินใหญ่ จึงพากันหมดความสนใจในตัวเขา

สายตาของชาวฮ่องกงในยุคนี้ มองจีนแผ่นดินใหญ่เป็นแค่ประเทศที่ยากจนและล้าหลัง

ในเมื่อยากจนก็คงไม่มีปัญญาซื้อกระเป๋าแพง ๆ แน่

พอเห็นว่าเขาดูเหมือนไม่มีเงินมากพอ พนักงานขายเหล่านั้นก็มองเขาไม่ต่างไปจากคนไร้ค่า ไม่ว่าเขาจะหล่อเหลาปานเทพบุตรก็ตาม พวกหล่อนก็เพิกเฉยต่อเขาอย่างไม่ไยดี

ฟางจั๋วหรานไม่สนใจทัศนคติที่ย่ำแย่ของพนักงานขายพวกนั้น กวาดตามองกระเป๋าแต่ละใบอย่างใจเย็น

กระเป๋าเหล่านั้นมีราคาใบละหลายหมื่นดอลลาร์ฮ่องกง ขนาดใบที่ถูกที่สุดยังมีราคาสูงกว่าแปดพันดอลลาร์ฮ่องกงเลย

เขาอดคิดกับตัวเองไม่ได้ กระเป๋าพวกนี้ไม่ได้ผลิตมาจากทองคำหรือแม้แต่หนังสัตว์แท้ แล้วทำไมถึงได้มีราคาแพงขนาดนี้ อีกทั้งผู้คนยังนิยมซื้อมันไม่น้อย

ใครสนกันล่ะ ในเมื่อผู้หญิงชอบกระเป๋า ต่อให้แพงแค่ไหนเขาก็ซื้อให้แฟนสาวของตัวเองได้

ช่วงสองวันที่ผ่านมา เขาสละเวลาส่วนตัวทำการผ่าตัดใหญ่ถึงสองครั้งให้กับโรงพยาบาลเอกชนชั้นสูงในฮ่องกงสองแห่ง ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินมากกว่าหนึ่งแสนหยวน กระเป๋าแค่ใบเดียวจึงยังไม่ถือว่าแพงสำหรับเขา

โรงพยาบาลเอกชนทั้งสองแห่งไม่ได้บริหารโดยชนชั้นสูงหรอกหรือ เขาก็แค่ให้บริการกับชนชั้นสูงเหล่านั้น และเป็นตัวแทนของชนชั้นสูงในเรื่องของค่านิยมในการบริโภคอันน่าตื่นตา

ฟางจั๋วหรานเลือกด้วยสายตาอยู่นาน ในที่สุดก็เลือกกระเป๋าใบหนึ่ง เพราะคิดว่ากระเป๋าใบนั้นต้องดูดีมากแน่ ๆ เมื่ออยู่บนหลังของหญิงสาว

เขาชี้ไปที่กระเป๋าใบนั้น ก่อนจะหันไปพูดกับพนักงานขายท่าทางขี้อายคนหนึ่งด้วยรอยยิ้ม “ขอดูกระเป๋าใบนั้นหน่อยได้ไหมครับ?”

พนักงานขายคนที่ฟางจั๋วหรานเรียกชื่อเสี่ยวเหม่ย เพิ่งได้รับการว่าจ้างให้เป็นพนักงานขายเมื่อเดือนที่แล้ว จึงยังอยู่ในช่วงทดลองงาน

ไม่ว่าใครที่ปิดการขายไม่สำเร็จในช่วงทดลองงาน ก็จะไม่ได้รับโอกาสบรรจุเป็นพนักงานประจำ

เพื่อรักษางานนี้ไว้ เสี่ยวเหม่ยจึงกระตือรือร้นกับการทำงานของตัวเองมาก ตราบใดที่มีลูกค้าเข้ามาในร้าน หล่อนมักจะให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

แต่ปัญหาสำคัญคือหล่อนยังเป็นมือใหม่ ดังนั้นทุกครั้งที่มีลูกค้าชั้นสูงเข้ามาในร้าน หล่อนมักจะรับลูกค้าไม่ทันพนักงานขายที่มีอายุงานมากกว่า

หล่อนจึงรับเฉพาะลูกค้าที่พนักงานเก่าไม่ให้ความสนใจ

ลูกค้าประเภทนี้จะได้รับการประเมินจากพนักงานเก่าก่อนแล้ว โดยทั่วไปไม่ใช่ลูกค้าที่ร่ำรวยอะไร ดังนั้นการปิดการขายจึงกลายเป็นเรื่องยาก ทำให้เสี่ยวเหม่ยกังวลไม่น้อย

พอได้ยินฟางจั๋วหรานเรียกตัวเอง เสี่ยวเหม่ยก็รีบทำตามคำขอของเขา หยิบกระเป๋าออกมาจากชั้นวาง แล้วยื่นให้เขาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

ขณะนั้นเอง สองมือที่ประคองกระเป๋าไว้อย่างดีกลับถูกผู้หญิงคนหนึ่งก้าวเข้ามาตัดหน้า แล้วหยิบกระเป๋าไปจากมือเธอ

เสี่ยวเหม่ยกับฟางจั๋วหรานหันไปมองผู้หญิงที่เดินมาคว้ากระเป๋าไปพร้อมกัน

ผู้หญิงคนนี้อายุประมาณสามสิบปี แต่ยังสวยยังสาว คาดเดาว่าเธอคงเป็นภรรยาของใครสักคนที่มีฐานะดี

เสี่ยวเหม่ยสับสนจนทำอะไรไม่ถูก “คุณผู้หญิงคะ คุณผู้ชายท่านนี้สนใจกระเป๋าใบนี้ก่อนคุณนะคะ”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

มัวแต่เถียงกันจนได้เรื่องอะ แทนที่จะให้หมอคนอื่นรักษาก็ยื้อไว้อยู่นั่น ลูกชายกลายเป็นสภาพแบบนั้นก็ช่วยไม่ได้แล้วล่ะ

แม่นางคนไหนบังอาจมาชิงกระเป๋าตัดหน้าพี่หมอเนี่ย

ไหหม่า(海馬)