ตอนที่ 333 ปฐมพยาบาล

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 333 ปฐมพยาบาล

ผู้หญิงคนนั้นหันมาวางอำนาจใส่หล่อนทันที ก่อนจะมองฟางจั๋วหรานด้วยสสายตาเหยียดหยาม พูดกับเสี่ยวเหม่ยเป็นภาษากวางตุ้ง “เธอโง่หรือไงถึงดูไม่ออกว่าเขามาจากแผ่นดินใหญ่ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเขาไม่มีเงินจ่ายแน่ แต่เธอกลับทำให้ลูกค้าตัวจริงอย่างฉันขุ่นเคืองเพราะเขา เชื่อไหมว่าฉันรายงานพฤติกรรมของเธอได้ จนเธอทำงานที่นี่ต่อไปไม่ได้อีก!”

เสี่ยวเหม่ยตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

หล่อนอายุแค่สิบแปดปี แต่ไม่ได้ถูกถังสีขนาดใหญ่จากสังคมราดย้อมจนกลายเป็นดอกไม้สีดำ ดังนั้นจึงยังพอมีสำนึกผิดชอบชั่วดีหลงเหลืออยู่บ้าง

หล่อนยอมรับว่าฟางจั๋วหรานสนใจกระเป๋าใบนี้เป็นคนแรก ไม่ว่าเขาจะมีเงินซื้อหรือไม่ก็ตาม หล่อนควรหยิบมาให้เขาดูก่อน

รอจนกว่าเขาจะยืนยันว่าตัวเองไม่ต้องการ ถึงค่อยนำเสนอสินค้ากับผู้หญิงคนนี้

แต่ถ้าหล่อนยังทำให้ผู้หญิงคนนี้ขัดใจจนรายงานหล่อนขึ้นมาจริง ๆ มีหวังคงถูกเชิญออกก่อนสิ้นสุดช่วงทดลองงาน

หล่อนยังมีภาระต้องช่วยพ่อแม่ส่งเสียน้อง ๆ งานนี้จึงสำคัญสำหรับหล่อนมาก ไม่อาจปล่อยให้มันหลุดมือ

พอเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของหล่อน ฟางจั๋วหรานก็พูดเบา ๆ “กระเป๋าใบนั้นราคาถูกไปหน่อย ผมกลัวว่าแฟนของผมอาจไม่ชอบ ในเมื่อคุณผู้หญิงคนนี้พอใจมัน งั้นก็ปล่อยให้เขาไปเถอะ เดี๋ยวผมค่อยเลือกกระเป๋าอีกใบหนึ่งให้แฟน”

เสี่ยวเหม่ยโล่งใจมาก พูดขอบคุณเขาซ้ำ ๆ

ผู้หญิงคนนั้นแค่นเสียงเยาะเย้ย หันไปหาสามีที่ยืนกอดเด็กหญิงตัวน้อยวัยสองขวบอยู่ข้าง ๆ พลางพูดว่า “สามี ดูผู้ชายคนนั้นสิคะ หน้าด้านอะไรอย่างนี้ ตัวเองไม่มีเงินจ่ายด้วยซ้ำ แต่กลับพูดจาข่มเราซะใหญ่โต!”

ผู้ชายคนนั้นยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน พลางแสดงท่าทางวางอำนาจไม่ต่างกัน “ไม่เห็นต้องลดตัวลงไปสนใจคนจน ๆ เลย เดี๋ยวฐานะของเราจะแปดเปื้อนซะเปล่า”

“จริงด้วย” ว่าแล้วผู้หญิงคนนั้นก็หยิบกระเป๋า LV มูลค่าหลักหมื่นขึ้นมาตรวจสอบดูทั้งข้างในและข้างนอก

ฟาวจั๋วหรานยืนเลือกอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็สะดุดตาเข้ากับกระเป๋าอีกใบที่มีมูลค่ามากกว่าสองหมื่นหยวน แล้วขอให้เสี่ยวเหม่ยช่วยนำออกมาให้ดู

เมื่อผู้หญิงคนที่ฉวยกระเป๋าตัดหน้าเขาเห็นแบบนั้น ก็ย่นจมูกจนหน้าเบี้ยวทันที

ผู้ชายจากแผ่นดินใหญ่คนนี้จงใจเลือกกระเป๋าที่มีราคาแพงกว่าเพื่อตบหน้าหล่อนหรือยังไงกัน?

คำถามคือ เขามีเงินพอซื้อหรือเปล่า?

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ หล่อนแค่กลัวว่าตัวเองอาจถูกทำให้เสียหน้า!

ฟางจั๋วหรานไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเหมือนกับผู้หญิงคนนั้น เขาแทบไม่มีความคิดดังกล่าวอยู่ในสมอง แค่เห็นว่ากระเป๋าใบนี้ดูดีกว่ากระเป๋าใบอื่นก็เท่านั้น

ส่วนการตบหน้าผู้หญิงคนนั้น เขาไม่ได้มีเจตนาทำนองนี้เลยจริง ๆ

เขาไม่ให้ความสนใจกับผู้หญิงคนนั้นด้วยซ้ำ แล้วเขาจะมีความคิดอยากตบหน้าหล่อนได้อย่างไร?

ฟางจั๋วหรานตรวจดูกระเป๋า ค่อนข้างพอใจกับมันมากทีเดียว ในขณะที่เขากำลังจะตัดสินใจซื้อ ผู้หญิงคนนั้นก็หันมาตะโกนใส่เสี่ยวเหม่ยอย่างเจ้ากี้เจ้าการ “พนักงาน ฉันจะซื้อกระเป๋าใบนี้!”

เสี่ยวเหม่ยรีบผละไปให้บริการหล่อนอย่างไม่รอช้า

พอเห็นว่าอีกฝ่ายตัดสินใจซื้อกระเป๋าใบนั้นแน่แล้ว ฟางจั๋วหรานก็เรียกหล่อนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พนักงาน ผมขอซื้อกระเป๋าใบนี้หน่อยครับ”

พนักงานเก่าเหล่านั้นคิดว่ารอบนี้เสี่ยวเหม่ยคงเปลืองแรงโดยเปล่าประโยชน์แน่ ก็ตั้งใจว่าจะยืนดูหล่อนด้วยความขบขัน แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจมากจนดวงตาเบิกกว้าง

ชายจากทางเหนือคนนี้มีปัญญาซื้อกระเป๋า LV ที่มีมูลค่ามากกว่าสองหมื่นหยวนจริง ๆ เหรอเนี่ย?

พวกเราได้ยินผิดไปหรือเปล่านะ

ไม่ใช่แค่พนักงานขายคนอื่น ๆ ที่คิดอย่างนั้น แม้แต่เสี่ยวเหม่ยยังคิดว่าตัวเองคงหูฝาดไป

หล่อนถามด้วยความงุนงง “คุณผู้ชาย ว่าอย่างไรนะคะ?”

พนักงานขายอีกคนที่มีไหวพริบรีบวิ่งเข้าไปประกบฟางจั๋วหราน ก่อนจะต้อนรับขับสู้เขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

พนักงานขายคนนี้กระตือรือร้นเป็นพิเศษ “คุณผู้ชาย ดิฉันยินดีให้บริการคุณค่ะ”

ตอนนี้ไม่หลงเหลือร่องรอยดูหมิ่นบนใบหน้าของหล่อนอีกต่อไป

พอเห็นว่าตัวเองถูกปล้นลูกค้าซึ่ง ๆ หน้า เสี่ยวเหม่ยก็แทบอยากจะร้องไห้

แต่ฟางจั๋วหรานกลับปฏิเสธพนักงานขายอีกคนอย่างเย็นชา ใช้สายตามองไปทางเสี่ยวเหม่ย “ขอบคุณครับ แต่ไม่จำเป็น ผมอยากให้ผู้หญิงคนนั้นให้บริการผมมากกว่า”

พนักงานขายคนนั้นถึงกับเสียหน้า

เสี่ยวเหม่ยดีใจมาก แทบจะวิ่งตัวลอยเข้าไปให้บริการฟางจั๋วหราน

พอเห็นว่าฟางจั๋วหรานหยิบเงินจำนวนมากกว่าสองหมื่นหยวนออกมาจากกระเป๋าของตัวเองจริง ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจที่ตัวเองพ่ายแพ้

สามีของหล่อนเป็นเจ้าของโรงงานตัดเสื้อเล็ก ๆ ในฮ่องกง สภาพทางการเงินของครอบครัวค่อนข้างดี

แต่ยังมีผู้สูงอายุที่ต้องดูแล ต้องผ่อนบ้าน แถมต้องหาเงินมารักษาลูกสาวที่ป่วย เป็นภาระที่หนักหน่วงพอสมควร

ถ้าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดของหล่อน หล่อนคงไม่เต็มใจควักเงินมากกว่าหนึ่งหมื่นหยวนเพื่อซื้อกระเป๋า LV เป็นแน่

สามีของผู้หญิงคนนั้นสังเกตเห็นว่าสีหน้าของภรรยาเริ่มไม่สู้ดี จึงโน้มตัวไปกระซิบเบา ๆ “ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเลย แค่กระเป๋าใบเดียวที่มีราคาสองหมื่นกว่าหยวน รอให้ผมเปิดโรงงานตัดเสื้อในเจียงเฉิงได้เมื่อไหร่ ผมคงทำกำไรได้มหาศาล ถึงเวลานั้น อย่าว่าแต่กระเป๋าราคาสองหมื่นหยวนเลย ต่อให้กระเป๋ารุ่นลิมิเต็ดที่ราคาสูงกว่าสองแสน ผมก็ซื้อให้คุณได้!”

อารมณ์ของหญิงสาวค่อย ๆ ดีขึ้นทันตาเห็น

หล่อนยังคงพูดอย่างเอือมระอา “ถ้าคุณมีเงินมากกว่าสองแสนหยวนจริง ๆ เอาเงินส่วนนั้นไปปิดหนี้จำนองล่วงหน้ายังดีกว่า”

ที่หล่อนซื้อของฟุ่มเฟือยพวกนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

หล่อนอยู่ในสมาคมภริยาชนชั้นนายทุน ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวว่ารสนิยมการแต่งตัวและรสนิยมการบริโภคของตัวเองจะไม่เข้าพวกกับคนอื่น ๆ ในแวดวงเดียวกัน ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการรักษาหน้าสามีจากสมาคมภริยา อย่าหวังเลยว่าหล่อนจะยอมจ่ายเงินซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยพวกนี้

ทั้งสองเดินออกจากร้านพร้อมกับอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน

ฟางจั๋วหรานรับกระเป๋าที่เสี่ยวเหม่ยทำการห่อให้เขาเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะขอบคุณหล่อนด้วยความสุภาพ

เสี่ยวเหม่ยเองก็ก้มศีรษะลงต่ำเพื่อโค้งคำนับเขา “ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ”

หล่อนวิ่งเหยาะ ๆ เปิดประตูร้านให้เขาทันที แล้วโค้งคำนับอีกครั้งพร้อมกับพูดจาสุภาพอ่อนหวาน “โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ”

พนักงานขายคนที่ถูกฟางจั๋วหรานปฏิเสธรับบริการจ้องมองแผ่นหลังอันสูงโปร่งของเขาจนหายลับไปจากสายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

ระหว่างนั้นก็อดค่อนแคะไม่ได้ ‘รวยอะไรอย่างนี้!’

แต่แล้วอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาในความคิด ‘การมีเงินนี่มันเยี่ยมไปเลย!’

แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพลาดลูกค้าคุณภาพสูงแบบนั้นไปแล้ว ก็ให้รู้สึกเสียดายไม่น้อย

ฟางจั๋วหรานถือถุงใบน้อยใหญ่ซึ่งบรรจุข้าวของที่เขาซื้อมาระหว่างทาง กำลังจะโบกเรียกแท็กซี่เพื่อกลับไปยังโรงแรมที่ตัวเองพักอยู่

รถแท็กซี่คันหนึ่งขับเข้ามาจอดอยู่ตรงหน้าเขา แต่แล้วผู้หญิงที่ฉวยกระเป๋าตัดหน้าเขากับสามีของหล่อนกลับวิ่งหน้าตาตื่นตรงมาพร้อมกับเด็กน้อยที่หมดสติในอ้อมแขน

ผู้หญิงคนนั้นยังคงไม่ไว้หน้าใครเช่นเคย ผลักฟางจั๋วหรานออกไปด้านข้าง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้อย่างวิตกกังวล “สามี รีบขึ้นรถเถอะ!”

ขณะที่ชายคนนั้นเดินผ่านหน้าฟางจั๋วหรานไป ฟางจั๋วหรานก็เหลือบมองไปที่เด็กน้อยในอ้อมแขนของเขาด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ

ใบหน้าของเด็กซีดเผือด เปลือกตาปิดสนิท ไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าใด ๆ

เขาโพล่งขึ้นเสียงทุ้ม “เด็กอยู่ในสภาวะวิกฤต ต้องได้รับการปฐมพยาบาลทันที แล้วนำตัวส่งโรงพยาบาล”

สองสามีภรรยายืนนิ่ง มองฟางจั๋วหรานขั้นลงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความประหลาดใจ “ทำไมคุณถึงแน่ใจขนาดนั้น? คุณเป็นหมอรึไง?”

ผู้หญิงคนนั้นไม่คิดจะมองฟางจั๋วหรานในแง่ดี เพราะเข้าใจว่าเขาคงโกรธที่ตัวเองแย่งกระเป๋าแบรนด์เนมไป เลยจงใจทำให้หล่อนกลัว

ชายหนุ่มคนนี้นอกจากจะสง่างามแล้วยังสูงส่งเหมือนเทพบุตร ทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่มนุษย์ที่โง่เขลา ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้กลัวรังสีอันน้อยนิดจากอีกฝ่าย?

ฟางจั๋วหรานพยักหน้า ทำท่าทางบอกให้ชายคนนั้นวางร่างเด็กน้อยลงกับพื้น

จากนั้นเขาก็วางของในมือลง คุกเข่าข้างหนึ่ง แล้วทำการ CPR ให้เด็กอย่างไม่รอช้า

เด็กน้อยขาดอากาศหายใจอย่างกะทันหัน ถ้าไม่รีบทำการ CPR โดยเร็วสมองอาจขาดออกซิเจน และถ้าล่าช้ากว่านี้แค่สองนาที หล่อนอาจเสี่ยงเป็นโรคสมองพิการได้

ยิ่งถ้าไม่สามารถช่วยให้หล่อนกลับมาหายใจได้ทันเวลา เด็กอาจเสียชีวิตในไม่ช้า

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เด็กหญิงตัวน้อยก็ฟื้นคืนสติ แต่สภาพโดยรวมยังอ่อนแอมาก

ฟางจั๋วหรานสั่งเสียงเรียบ “อย่ามัวชักช้า รีบนำตัวเธอส่งโรงพยาบาลเร็วเข้า”

คนขับแท็กซี่ในฮ่องกงมีมนุษยธรรมมาก พอรู้ว่าต้องพาตัวเด็กไปส่งโรงพยาบาลหลังจากได้รับการปฐมพยาบาลฉุกเฉิน เขาก็ไม่ได้ออกรถหนีไปในทันที

สองสามีภรรยารีบอุ้มลูกสาวขึ้นรถแท็กซี่ด้วยความตื่นตระหนก

หลังจากขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว เหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นนึกถึงบางสิ่งที่สำคัญมากขึ้นมาได้

เธอโผล่ศีรษะออกมาจากกระจกรถ “คุณไม่ไปโรงพยาบาลกับเราหน่อยเหรอ? ถ้าเล่อเล่อหมดสติระหว่างทางอีกจะทำยังไง?”

ฟางจั๋วหรานคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบข้าวของขึ้นมาจากพื้น แล้วก้าวขึ้นแท็กซี่

โชคดีที่ระหว่างทางอาการของเด็กหญิงตัวน้อยไม่กำเริบจนหมดสติไปอีก มาถึงโรงพยาบาลอย่างปลอดภัย

ฟางจั๋วหรานเฝ้าดูทั้งสองอุ้มลูกสาวไปที่แผนกฉุกเฉิน เมื่อรู้ว่าตัวเองหมดหน้าที่แล้วก็จากไปอย่างเงียบ ๆ

กว่าสองสามีภรรยาจะนึกถึงเขา เขาก็ออกห่างจากโรงพยาบาลไปนานแล้ว

ทั้งคู่หันมองหน้ากันด้วยความตกใจ

แพทย์ฉุกเฉินบอกพวกเขาว่า ถ้าเมื่อกี้นี้เด็กหญิงตัวน้อยไม่ได้รับการปฐมพยาบาลอย่างทันท่วงที เด็กคงขาดอากาศหายใจตายไปแล้ว

ผู้หญิงคนนั้นต้องการเชิญฟางจั๋วหรานไปรับประทานอาหารร่วมกันเพื่อแสดงความขอบคุณ แต่เขากลับจากไปอย่างเงียบ ๆ

หล่อนงงงวยอยู่นาน ก่อนจะหันไปพูดกับสามี “คุณคิดว่าทำไมคนสองคนถึงได้มีช่องว่างที่แตกต่างกันขนาดนี้? เขามาจากแผ่นดินใหญ่เหมือนกัน แต่กลับไม่มีนิสัยโลภมาก ไม่ฉวยโอกาส แถมยังวางตัวสุภาพน่านับถือ ดูสาวแผ่นดินใหญ่คนที่คุณกำลังคบอยู่คนนั้นสิ หล่อนหน้าเงินยิ่งกว่าอะไรดี!”

ชายคนนั้นยกแขนขึ้นโอบไหล่หล่อนพลางพูดว่า “เอาน่า คุณอย่าสนใจเลยว่าหล่อนหน้าเงินแค่ไหน รอให้ใช้งานหล่อนเสร็จก่อน ผมค่อยเขี่ยหล่อนทิ้ง”

พอพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็หยุดชะงักไปชั่วครู่ “แต่จะไม่เขี่ยทิ้งซะทีเดียวก็ได้ ทำให้หล่อนเป็นฝ่ายหาเงินเข้ากระเป๋าเราซะเลยสิ เงินยิบย่อยที่เราเคยลงทุนไปกับหล่อนในตอนนี้ วันข้างหน้าอาจได้รับคืนมาหลายพันดอลลาร์”

หญิงสาวหรี่ตามองเขา “คุณจะทำให้หล่อนหาเงินเข้ากระเป๋าเรายังไงล่ะ?”

ชายหนุ่มยิ้มจนหน้าตาบิดเบี้ยว “ถ้าหล่อนสามารถคลอดลูกให้เราได้ หล่อนก็คลอดลูกให้คนอื่นได้เหมือนกัน”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

โลกกลมอะไรอย่างนี้ พี่หมอดันมาเจอกับครอบครัวหนุ่มฮ่องกงคนนั้นที่นังหรงกำลังคบอยู่อีก

ไหหม่า(海馬)