ภาค-2-ตำนานเฟิงอี้ ตอนที่ 10 ตัวหมากวิจิตร (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

เซี่ยจินอี้รับรู้ได้ถึงความจริงจังในน้ำเสียงของชื่อจี้ คำพูดเหล่านี้ไม่มีเจตนาโอ้อวดแม้แต่น้อย ทำให้เขาตระหนักได้ทันควันว่าตนพบกับปีศาจน้อยที่สังหารคนได้โดยไม่กะพริบตาเข้าแล้วจริงๆ เขาฝืนยิ้มออกมาก่อนเอ่ยไปว่า ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ จะอย่างไรผู้แซ่เซี่ยก็มิอาจเทียบพี่ชายน้อยได้จริงๆ แม้ผู้แซ่เซี่ยจะขึ้นชื่อเรื่องความเสเพลในยุทธภพ แต่เรื่องสังหารผู้คนกลับกระทำไม่มาก อีกทั้งวรยุทธ์ก็ไม่สูง เรื่องการสังหารผู้คนเป็นเรื่องวุ่นวายจริงๆ ไม่ทราบว่าข้าต้องทำอย่างไรพี่ชายน้อยจึงจะยอมปล่อยข้าไปหรือ

ชื่อจี้คิดครู่หนึ่งก่อนตอบ นี่ออกจะยากอยู่บ้าง แม้ข้าไม่มีทรัพย์สินเงินทองแต่ยามคิดใช้จ่ายก็ไม่ขาดแคลนเงินทอง แม้ข้าจะมีวรยุทธ์ไม่สูงแต่ก็นับว่าเพียงพอแล้ว หากกล่าวถึงเกียรติยศความมั่งคั่ง แม้จะเป็นสิ่งที่ทุกคนโปรดปรานแต่จะอย่างไรข้าก็ยังเด็ก อีกสิบปีให้หลังค่อยต่อสู้แย่งชิงสิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่สาย

เมื่อกล่าวถึงประโยคหลัง น้ำเสียงก็เริ่มเย็นชา จากนั้นชื่อจี้ก็หยิบมีดออกมาจากสาบเสื้อ ทำท่าทางเชือดเฉือนบริเวณลำคอของเซี่ยจินอี้พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า เอาละ ท่านกล่าวมาเถิด ท่านมีประโยชน์อะไรให้ข้าบ้าง

เซี่ยจินอี้รีบร้อนตอบ พี่ชายน้อยอย่าได้ร้อนใจไป ผู้แซ่เซี่ยมีความคิดบางอย่างแล้ว ดูภายนอกพี่ชายน้อยคงอายุสิบห้าสิบหกกระมัง หากเป็นลูกหลานตระกูลใหญ่ก็ถึงวัยแต่งงานแล้ว ข้าว่าพี่ชายน้อยมีบุคลิกไม่ธรรมดา แม้ไม่ได้เกิดในตระกูลใหญ่แต่ก็ต้องแต่งกับสตรีตระกูลใหญ่ที่มีความสามารถครบครันได้แน่ มิเช่นนั้นก็ต้องเป็นไข่มุกงามโดดเด่น ผู้แซ่เซี่ยไม่มีความสามารถอื่นใด แต่หากกล่าวถึงการเกี้ยวพาราสตรีนับว่ายอดเยี่ยมยิ่ง คงไม่มีผู้ใดรู้เรื่องสตรีงามโดดเด่นในลำน้ำเหนือใต้อันกว้างใหญ่ไปมากกว่าข้าผู้นี้แล้ว หากพี่ชายน้อยต้องการ มิสู้ให้ผู้แซ่เซี่ยคิดวางแผนให้ท่านได้ตบแต่งกับแม่นางผู้งดงามเป็นอย่างไร

ชื่อจี้มองเซี่ยจินอี้พักใหญ่ จากนั้นจึงส่งเสียงหัวเราะออกมา เห็นท่านถูกคุณหนูเจียงไล่ล่าสังหารจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปทั่ว ดูไม่ออกเลยว่าท่านมีความสามารถเช่นนี้ด้วย เอาเถิด เช่นนั้นลองกล่าวความคิดท่านให้ข้าฟังเสียหน่อยเป็นอย่างไร

เซี่ยจินอี้ผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่ง เขาสัมผัสได้ว่าไอสังหารของชื่อจี้สลายไปแล้วจึงกล่าวอย่างแย้มยิ้ม พี่ชายน้อย ท่านอย่าได้ดูถูกข้าเป็นอันขาด หากจะกล่าวไป คุณหนูใหญ่เจียงนับว่าไม่เลวนัก แต่จะอย่างไรก็ไม่อาจแต่งเป็นภรรยาได้เด็ดขาด ข้าเพียงแอบขโมยเอี๊ยมนางมา นางก็ถึงกับไล่สังหารข้าไปทั่วแล้ว

ชื่อจี้ได้ยินเช่นนั้นพลันอ้าปากกว้าง มองไปยังเซี่ยจินอี้แล้วกล่าวว่า ท่านขโมยสะ…สิ่งนั้นของนาง

เซี่ยจินอี้หัวเราะ มีอะไรแปลกเล่า บิดา ไม่สิ คุณชายเช่นข้าเห็นแล้วขัดตานัก แม่นางผู้หนึ่งกลับยั่วยวนชายหนุ่มในสมาพันธ์กวนจงให้ตามก้นคอยเกี้ยวนางได้ ตัวข้าเสเพลต่อนางอย่างผ่าเผย นางอัปลักษณ์น้อยนั่นฟังคำพูดไร้สาระของข้าทั้งวี่ทั้งวันจนสุขล้นไปหมด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องขยับไปขั้นต่อไปจึงจะเปลี่ยนสีหน้าเย็นชาของนางได้ ไม่คิดอาศัยฐานะลูกศิษย์แห่งสำนักเฟิงอี้อีก พี่ชายน้อย ข้าจะบอกท่านให้ สตรีจากสำนักเฟิงอี้มิอาจแต่งงาน ยามปกติแต่ละนางทำตัวเป็นหยกบริสุทธิ์ อาศัยรูปโฉมงดงามมาล่อลวงบุรุษ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าสตรีนางหนึ่งจะไม่เผยความต้องการเป็นนัยแม้เพียงน้อย บุรุษมากมายตามเกี้ยวอย่างไม่ย่อท้อเพียงนั้น หากท่านได้นางมาจริงๆ จะต้องคล้อยตาม หากท่านไม่ทำตามเจตนาของนาง ไม่ทันไรนางก็แตกหักกับท่านแล้ว ข้าจะบอกท่านให้ แต่งงานกับหญิงชาวบ้านที่ไม่รู้หนังสือยังดีกว่าแต่งกับศิษย์สำนักเฟิงอี้เหล่านั้นเสียอีก

ชื่อจี้มองเซี่ยจินอี้ที่พูดจาด้วยท่าทีฉะฉานอย่างตะลึงพรึงเพริด ฟังท่านพูดเช่นนี้แล้วช่างน่าหวาดกลัวนัก ท่านเคยพบเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ

เซี่ยจินอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน ไม่นานก็พูดขึ้นว่า ไม่ มิใช่ ข้าเป็นเพียงชาวยุทธ์ผู้หนึ่งเท่านั้น ศิษย์ของสำนักเฟิงอี้ล้วนตบแต่งให้เพียงตระกูลขุนนางไม่ใช่หรือ ต่อให้คิดแต่งกับตระกูลชาวยุทธ์จริงๆ ไหนเลยจะมาผูกสัมพันธ์กับข้าได้

ชื่อจี้มองไปยังสีหน้ากระอักกระอ่วนของเซี่ยจินอี้ก่อนอื่นเอ่ยถาม ท่านไม่กลัวว่าข้าจะมีความสัมพันธ์อันใดกับสำนักเฟิงอี้หรือ

เซี่ยจินอี้หลั่งเหงื่อเย็นออกมาโดยพลัน เขากลอกตาครั้งหนึ่งเพื่อสงบอารมณ์ให้เป็นปกติ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร แม้สำนักเฟิงอี้จะนิยมควบคุมบุรุษ ทว่าพี่ชายน้อยมีลักษณะไม่ธรรมดาเช่นนี้ไม่สมควรเป็นคนหลงใหลในรูปลักษณ์ความงามกระมัง เขาใจเต้นตึกตัก สำนักเฟิงอี้คงไม่ยื่นมือเข้ามาวุ่นวายกับเด็กที่ยังไม่โตเต็มที่กระมัง

ชื่อจี้แย้มยิ้มบางเบา ในเมื่อท่านไม่ชอบสำนักเฟิงอี้แล้วเหตุใดต้องไปพึ่งพารัชทายาทด้วยเล่า ผู้ใดไม่ทราบบ้างว่ารัชทายาทอยู่ฝ่ายเดียวกับสำนักเฟิงอี้ ยงอ๋องต่างหากจึงจะไม่ถูกกับสำนักเฟิงอี้ มิใช่หรือ

เซี่ยจินอี้มีสีหน้าขมขื่น พี่ชายน้อย โบราณว่าอาหารและอาภรณ์เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตมนุษย์ ท่านว่าข้าทั้งมิอาจปลูกผักทำนา ทั้งมิอาจสังหารผู้คน แม้คิดทำงานเป็นองครักษ์หรือผู้คุ้มกันก็ยังขัดกับนิสัยและรูปลักษณ์ของข้าเพราะผู้อื่นเห็นข้าล้วนรู้สึกขัดตาทุกคน หากคิดผันตัวเป็นโจร พูดให้ดูแย่เสียหน่อยก็คือสายตรวจของต้ายงต่อกรได้ยากยิ่ง วรยุทธ์ของข้าไม่แข็งแกร่ง เกรงว่าไม่กี่ปีก็คงไปนอนกินข้าวในคุกแล้วกระมัง หากจะเข้าไปพึ่งพิงยงอ๋อง ผู้แซ่เซี่ยเกรงว่าคงไม่มีวาสนาเช่นนั้น ยงอ๋องต้องการผู้มีความสามารถ เรื่องนี้เกรงว่าข้าคงไม่เข้าเกณฑ์ ดังนั้นทางฝ่ายรัชทายาทจึงสบายกว่า ทว่าความจริงข้าต้องการเข้ากับฉีอ๋องที่สุด ได้ยินว่าฉีอ๋องชอบเรื่องโลกีย์เป็นที่สุด มิแน่ว่าข้าอาจได้รับความโปรดปรานจากฉีอ๋องก็เป็นได้ แต่เมื่อมาถึงฉางอันข้าก็เพิ่งได้ยินว่าแม้ฉีอ๋องจะชอบเที่ยวหอนางโลม แต่คนข้างกายที่เก็บไว้ใช้งานล้วนเป็นนักรบกล้าที่ผ่านสนามรบนองเลือดมาแล้วทั้งสิ้น คนเช่นนี้ข้าคงอยู่ด้วยไม่ได้กระมัง

ชื่อจี้หยุดคิดครู่หนึ่ง ที่ท่านกล่าวก็ถูก คนในยุทธภพนิยมวิชาแปลกๆ สำนักคงต้งของพวกท่านเป็นสำนักที่นิยมฝึกวิชาพิสดารเป็นสำคัญ หากท่านไปอยู่ในสนามรบ เกรงว่าคงไม่อาจเป็นขุนพลธรรมดาได้ อีกอย่างก็มิใช่ว่าทุกคนจะชอบเป็นทหาร ท่านมิค่อยให้ความเคารพผู้อื่นเช่นนี้ เกรงว่าหากไปอยู่ในกองทัพ ผ่านไปไม่กี่วันคงถูกลงโทษตามกฎทหารแล้ว

เซี่ยจินอี้กล่าวอยากเห็นด้วย ใช่แล้ว แม้ข้าจะไม่มีความสามารถอันใด แต่ยังมีความรู้จักตนเองอยู่ หากข้าเข้าไปทำงานที่จวนรัชทายาทคงอยู่ได้นานหลายปี คงดีกว่าเร่ร่อนอยู่ในยุทธภพกระมัง

ชื่อจี้มองเขา สุดท้ายจึงยิ้มอย่างผ่อนคลาย แม้ข้าคิดว่าการปล่อยท่านไปไม่มีดีอันใด แต่ก็ไม่อยากสังหารท่านจริงๆ เอาละ ข้าคิดว่าท่านไปพบนายท่านของข้าได้ แต่จะขอเตือนท่านสักประโยค แม้ปกตินายท่านจะเป็นคนใจดีมีเมตตา แต่หากเอาจริงขึ้นมา สิ่งที่ท่านต้องการที่สุดคงเป็นการตายให้สบายเสียหน่อย

เซี่ยจินอี้แย้มยิ้มออกมาโดยพลัน ขอบคุณพี่ชายน้อยที่กล่าวเตือน ผู้แซ่เซี่ยเป็นผู้รู้กาลเทศะมาตลอด

ตอนนี้เอง ข้าที่อยู่ในห้องอีกห้องหนึ่งก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ คำพูดของเซี่ยจินอี้ที่ข้าได้ยินผ่านท่อทองแดงทำให้ข้ามีความสุขยิ่งนัก ขณะเดียวกันเสี่ยวซุ่นจื่อก็แย้มยิ้มออกมาเช่นกัน ข้าจึงถามเขาไปว่า ทำไม เจ้าก็คิดว่าเขาน่าสนใจหรือ

เสี่ยวซุ่นจื่อกลั้นยิ้มก่อนตอบ คุณชาย บ่าวขอกล่าววาจาโอหังเสียหน่อยเถิด เขาคนนี้เหมือนท่านยิ่งนัก หากมิใช่ว่าคุณชายเป็นอัจฉริยะมากความสามารถเพียงนี้ ข้าคงคิดว่าเขาเหมือนท่านจริงๆ

เดิมทีข้ารู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดให้ดีอีกครั้งก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ คิดดูแล้วก็เป็นตามนั้นจริงๆ ข้ารู้สึกสนใจเซี่ยจินอี้มากยิ่งขึ้น ทั้งยังเชื่อมั่นมากขึ้นด้วยว่าแผนการของข้าจะสำเร็จ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เซี่ยจินอี้ก็ถูกชื่อจี้คุมตัวเข้ามา ชื่อจี้แก้มัดให้เขาแล้วทำให้เขาเดินเองได้ ดีที่เขาฉลาดไม่คิดต่อต้าน มิเช่นนั้นเกรงว่าเขาคงเดินมาไม่ถึงเบื้องหน้าข้าแน่ เขาต้องทนทรมานมาสิบกว่าชั่วยาม ดังนั้นไม่เพียงแต่แขนขาของเขาที่ส่งเสียงลั่น กระทั่งอาภรณ์ก็ยังยับย่นไม่เรียบร้อย ใบหน้าหล่อเหลาก็ยังเต็มไปด้วยรอยเปื้อน

เขาเดินเข้ามาอย่างยากลำบากโดยมีชื่อจี้ผลักเบาๆ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นเห็นชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือและบ่าวหน้าตาหมดจดที่ยืนอยู่ด้านหลังก็รีบคุกเข่าลงอย่างโอนอ่อนทันควัน จากนั้นจึงกล่าวเสียงต่ำว่า ผู้น้อยคารวะท่านซือหม่า

ข้ามองเขาอย่างเหนือคาดอยู่บ้าง เขาเคยพบหน้าข้าเพียงไกลๆ ครั้งหนึ่ง แต่กลับจดจำข้าได้ นี่ทำให้ข้ารู้สึกแปลกใจและยินดี ข้ากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า คุณชายเซี่ย เจ้าเป็นคนของสำนักคงต้ง ดูแล้วคงมิได้ทำผิดยิ่งใหญ่อันใด เหตุใดจึงถูกขับออกจากสำนักเล่า

เซี่ยจินอี้เงยหน้าขึ้นมองข้า กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ใต้เท้า ไม่ทราบว่าผู้น้อยมีส่วนใดใช้งานได้หรือ หากไม่เกินความสามารถผู้น้อย ใต้เท้าค่อยมาสอบสวนผู้น้อยอีกครั้งก็ยังไม่สาย แต่หากผู้น้อยไม่สามารถ เช่นนั้นผู้น้อยก็มิอยากสนทนาเรื่องในอดีตกับผู้อื่น

ข้ามองเขาอย่างจริงจังยิ่งขึ้น กล่าวไปเรียบๆ ว่า ข้าต้องการหมากตัวหนึ่ง ทางที่ดีหมากตัวนี้ต้องมีความคิดเป็นของตนเอง พูดอีกอย่างก็คือข้าต้องการหมากที่ฉลาดเฉลียวและละเอียดรอบคอบ เจ้านับว่าเหมาะสมมาก

เซี่ยจินอี้เผยรอยยิ้มเจิดจ้าออกมา เช่นนั้นข้าก็ไม่ต้องตายแล้วใช่หรือไม่

ข้าเองก็ยิ้มตอบ หากเจ้าฉลาดมากพอ ไม่เพียงแต่จะไม่ตาย หลังจากเรื่องราวเสร็จสิ้นแล้วข้ายังจะมอบทางถอยให้เจ้าอีกด้วย

พวกเราสองคนสบตากันด้วยรอยยิ้มพราย ขณะนั้นเองมีเสียงหนึ่งลอยแว่วเข้าหูข้า เป็นเสียงของเสี่ยวซุ่นจื่อที่กล่าวขึ้นว่า พวกท่านสองคนเหมือนกันจริงๆ

ข้าอดกลอกตาใส่เสี่ยวซุ่นจื่อไม่ได้ แม้การส่งเสียงบอกข้าโดยตรงเช่นนี้จะมีประโยชน์ แต่ไม่ต้องใช้รังแกข้าเช่นนี้ก็ได้กระมัง

ตอนต่อไป