บทที่ 341 โง่มาก

บทที่ 341 โง่มาก

ฮันเอินจีในตอนนี้เงียบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอมองตรงไปข้างหน้าและเดินออกไป

ฮันเจ๋อหยางตกตะลึง “น้องสาว เธอควรพูดอะไรสักอย่างสิ”

น้ำเสียงของเขาอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว

พวกเขาสองคนกำลังเดินอยู่บนถนนในปลายฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งอากาศเริ่มเย็นแล้ว

พอนึกถึงซูโย่วอี๋ ฮันเจ๋อหยางจึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรออก โชคดีที่โทรศัพท์เชื่อมต่อหลังจากเสียงสัญญาณดังขึ้นเพียงสองครั้ง

แต่ซุ่ยซุ่ยเป็นคนรับสาย

“[ฮัลโหล ลุงรอง แม่อาบน้ำอยู่ครับ มีเรื่องอะไรรึเปล่า?]”

เธอกลับถึงบ้านแล้ว

ดีแล้วล่ะ

ฮันเจ๋อหยางถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากมีอะไรเกิดขึ้นในงานเลี้ยงคืนนี้ เขาจะต้องโทษตัวเองจนตายแน่ ๆ

“โอเค หลานเข้านอนเร็ว ๆ ล่ะ”

ฮันเอินจีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นั้นได้ยินบทสนทนาอย่างชัดเจน

เธอขมวดคิ้ว “พี่โทรหาใครน่ะ?”

ฮันเจ๋อหยางเกือบจะโพล่งออกมาแต่ก็พยายามกลั้นไว้

ฮันเอินจีมองไปที่บันทึกการโทรอย่างรวดเร็ว ซูโย่วอี๋!

เมื่อรวมกับชื่อของเด็กในโทรศัพท์แล้ว แม่ ลุงรอง…

“เธอแต่งงานมีลูกแล้วงั้นเหรอ?”

ฮันเจ๋อหยางพึมพำอย่างคลุมเครือ “น้องสาว เธออย่าพูดเรื่องนี้กับใครเลยนะ เธอไม่ได้ประโยชน์อะไรหรอก”

เพราะพี่ใหญ่คงเป็นคนแรกที่ไม่ยอมปล่อยเธอไป

ฮันเอินจีก้มหน้าลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เป็นเวลานานกว่าเธอจะพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน “ฉันคิดว่าหลังจากได้ตำแหน่งลูกสาวของตระกูลฮันกลับคืนมา เธอจะแต่งงานกับลู่เฉินซะอีก แต่ฉันไม่คาดคิดว่าเธอจะแต่งงานกับคนที่ไม่มีใครรู้จัก”

“สายตาสั้นและโง่จริง ๆ”

หากเป็นเธอ ฮันเอินจีจะไม่ทำธุรกิจที่ขาดทุนแบบนั้น

ฮันเจ๋อหยางไม่ชอบท่าทีเหนือกว่าของเธอ “น้องสาว เธอควรดูแลตัวเองก่อนนะ”

อีกฝ่ายเกือบจะถูกคนอื่นทำลายชีวิต แล้วยังมีเวลาเยาะเย้ยคนอื่นอีก

“พี่รอง พี่เองก็อยู่ในวงการบันเทิงเหมือนกัน ถ้าไม่มีตระกูล พี่จะไปได้ดีในวงการได้ยังไง? ถ้าพี่ไม่ได้พึ่งพาฐานะของทางบ้านเพื่อเพิ่มชื่อเสียง”

“พี่เห็นแต่ว่าฉันตกต่ำ แต่พี่ไม่เห็นว่าก่อนหน้านั้นฉันเคยเจออะไรมาบ้าง”

“ถ้าฉันเป็นคนธรรมดาตั้งแต่แรก ฉันคงไม่ทรมานมากขนาดนี้ ฐานะคุณหนูตระกูลฮันไม่ใช่ร่มพักพิง แต่เป็นกุญแจมือ ซึ่งทำให้คนเหล่านั้นอยากเอาชนะฉัน”

“ไม่ช้าก็เร็ว ฉันก็ต้องถูกกลืนกิน ดังนั้นคงดีกว่าหากได้พบคนที่ถูกใจ จริงไหม?”

ฮันเจ๋อหยางตกตะลึง “เธอพูดเรื่องไร้ยางอายแบบนี้ออกมาได้ยังไง?”

ตอนที่มีการเปิดเผยว่าซูหยินเป็นเมียน้อยของฮัวจิง ฮันเอินจีก็ดูถูกเธอทั้งในที่สาธารณะและลับหลัง

แต่เมื่อถึงคราวของตัวเอง เธอกลับสูญเสียความภาคภูมิใจในตนเองไปอย่างง่ายดาย

ฮันเอินจีลูบมือ “พี่ไม่ได้เดือดร้อน ดังนั้นพี่ไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์ฉัน”

“หรือไม่งั้นพี่ก็พาฉันกลับไปที่ตระกูลฮันสิ ตราบใดที่ฉันยังมาจากตระกูลฮัน ก็จะไม่มีใครกล้ามารังแกฉัน”

ฮันเจ๋อเหยียนพูดไม่ออก ฉินสือพูดถูก ตระกูลฮันไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเขา

เขาจับแขนของเธอแน่น “น้องสาว อย่าทำร้ายตัวเองอีก เธอไม่ได้ต้องการเงินเหรอ เดี๋ยวพี่จะให้เธอเอง”

ฮันเอินจีไม่พอใจกับคำพูดของเขามาก เธอกำลังจะผลักมือฮันเจ๋อหยางออกไป แต่กลับถูกแสงตกกระทบส่องสว่างกระทบดวงตา

แหวน!

“พี่รอง พี่จะแต่งงานเหรอ?”

เมื่อได้ยินอย่างนี้ ฮันเจ๋อหยางก็อดฉีกยิ้มไม่ได้ “ใช่ ไว้ฉันจะเชิญเธอไปงานแต่งงานนะ”

“กับใคร?”

ฮันเจ๋อหยางถูแหวนอย่างทะนุถนอม “จะเป็นใครไปได้ ก็เสิ่นเฉียวน่ะสิ ฉันเคยบอกไปแล้วนี่ว่าชีวิตนี้ฉันจะแต่งงานกับเธอเท่านั้น”

เขาและเสิ่นเฉียวตัดสินใจแต่งงานกันอย่างรวดเร็ว แม้ไม่มีพิธีหมั้น แต่ฮันเจ๋อหยาง ยังคงซื้อแหวนหมั้นและสวมมันในทุก ๆ วันเพราะกลัวคนอื่นจะไม่รู้

ฮันเอินจีเม้มริมฝีปาก “แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าทำไมไป๋เสิ่นเฉียวถึงเห็นด้วย แต่ใครก็ตามที่มีตาก็รู้ว่าเธอไม่ชอบพี่ ระวังถูกหลอกล่ะ”

“ฉันจะยอมปล่อยให้เธอหลอก”

ฮันเจ๋อหยางหัวเราะอย่างไม่ถือสา “มา ฉันจะพาเธอกลับบ้าน”

คนขับรถขับรถมาจอด ฮันเจ๋อหยางบอกที่อยู่อย่างช่ำชอง

“ฉันไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว” ฮันเอินจีบอกที่อยู่ของเธอ

ฮันเจ๋อหยางพูดอย่างประหลาดใจ “เขตชุนเหอน่ะเหรอ?”

ชุมชนนั้นถือได้ว่าเป็นชุมชนระดับสูงเล็กน้อย แต่ด้วยนิสัยจู้จี้จุกจิกของฮันเอินจี เธอจะย้ายไปที่นั่นได้อย่างไร?

ฮันเอินจีลงที่ประตูชุมชนชุนเหอ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทักทายเธออย่างสุภาพ

เห็นได้ชัดว่าเธออยู่ที่นี่มานานแล้ว

ฮันเอินจีโบกมือแล้วเข้าไปในชุมชน

ฮันเจ๋อหยางก็ขึ้นรถไป “กลับบ้าน”

คนขับชำเลืองมองฮันเจ๋อหยางทางกระจกหลังหลายครั้ง “คุณชายรอง ผมมีเรื่องอยากจะพูดมานานแล้ว”

“พูดมาสิ”

“ถ้าคุณยังปล่อยให้คุณฮันอยู่ใกล้ ๆ ผมเป็นห่วงว่าวันหนึ่ง… เธอจะทำร้ายคุณ”

ฮันเจ๋อหยางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าพูดแบบนี้ เขาไม่พอใจอย่างมาก “ลุงหลิว คุณขับรถอยู่ที่บ้านของผมมานานกว่า 20 ปี ดูผมกับเอินจีเติบโตมาด้วยกัน คุณพูดอย่างนั้นได้ยังไง?”

“หรือคุณเป็นคนที่ประจบประแจงคนสูงกว่าและเหยียบย่ำคนต่ำกว่า”

หัวใจของคนขับรัดแน่น ความสัมพันธ์ระหว่างคนที่สองนายน้อยและคุณฮันนั้นไม่ธรรมดา เขาไม่ควรพูดแบบนั้นเลยจริง ๆ

ทำให้คนฟังรังเกียจเปล่า ๆ

“ขออภัยครับ คุณชายรอง”

ใบหน้าฮันเจ๋อหยางเย็นชา เขาไม่ตอบอะไรและไม่พูดอะไรอีกจนกระทั่งกลับถึงบ้าน

วันปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว คู่สามีภรรยาฮันได้เชิญครอบครัวของซูหยินกลับมาฉลองวันปีใหม่ด้วยกัน

ทุกคนรู้สึกว่าการกินอาหารธรรมดานั้นน่าเบื่อ ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมเนื้อวัว ไก่ กุ้ง และอาหารมังสวิรัติ และเตรียมทำเกี๊ยวด้วยกัน

คนรับใช้นำแป้งกับไส้มาวางที่โต๊ะยาว คุณนายฮันยิ้มพลางกล่าวว่า “คุณชอบรสไหนก็เลือกเอาเลย ถ้าไม่ห่อจะไม่มีส่วนของตัวเองนะ”

จิวจิวกระพริบตาปริบ ๆ “คุณยายคะ หนูอยากกินเกี๊ยวกุ้ง”

“แล้วซุ่ยซุ่ยชอบกินอะไรเหรอ? เธอยังเด็กเลยห่อไม่ได้สินะ เดี๋ยวฉันจะช่วยห่อให้เอง”

ใบหน้าของซุ่ยซุ่ยจริงจัง “ฉันเป็นพี่ชาย”

จิวจิวกระพริบตาปริบ ๆ บนหัวเธอมีกิ๊บรูปผีเสื้อติดอยู่ เมื่อทำใบหน้ากลมพองลม ก็ทำให้ดูน่ารักยิ่งขึ้น “แต่ฉันเกิดก่อนเธอนะ”

เธอทำหน้ามุ่ยและมองไปที่ซูหยิน “แม่คะ ซุ่ยซุ่ยโง่มาก เขาไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำ”

“เธอต้องเรียกฉันว่าพี่สาวสิ”

ซุ่ยซุ่ยย่นจมูก “ฉันสูงกว่า เพราะงั้นฉันเป็นพี่ชาย”

จิวจิวไม่ชอบให้ใครมาบอกว่าเธอเตี้ย “ฮึ่ม ซุ่ยซุ่ยนิสัยไม่ดี ฉันไม่อยากห่อกี๊ยวให้แล้ว”

“แม่กับพ่อไม่อนุญาตให้ช่วย คุณปู่กับคุณย่าก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ช่วย”

“คุณตากับคุณยายเองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ช่วย”

เมื่อเธอมองซูโย่วอี๋ จิวจิวก็ลังเล แม่ซูเป็นแม่ของซุ่ยซุ่ย ดังนั้นเธอควรจะช่วยเขาได้

ซูโย่วอี๋รู้ว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ กำลังคิดอะไรอยู่จึงบีบแก้มของเธอ “จิวจิวที่รัก ฉันก็จะไม่ช่วยเหมือนกัน”

จิวจิวมองไปที่ซุ่ยซุ่ยด้วยท่าทางเหนือกว่า แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายถือแป้งไว้และพร้อมที่จะห่อมันแล้ว

เธอเลยรีบไปทำบ้าง

แต่ทั้งสองยังเป็นเด็กอยู่ จะทำเกี๊ยวกันได้อย่างไร

พวกเธอแค่ปล่อยให้พวกเขาเล่นสนุกกัน

ยังดีที่จิวจิวเป็นเด็กฉลาด ถึงมันจะน่าเกลียด แต่ในที่สุดพวกเกี๊ยวก็ถูกห่ออย่างสมบูรณ์

ส่วนเกี๊ยวของซุ่ยซุ่ยมีทั้งแป้งขาดหรือไม่ก็ไส้ทะลัก

จิวจิวหัวเราะคิกคัก “น้องซุ่ยซุ่ย เธอโง่มาก”

กู่อวี๋เฉิงส่ายหัวเบา ๆ ให้ จิวจิวจึงแลบลิ้นและหยุดหัวเราะซุ่ยซุ่ย

ซุ่ยซุ่ยวางแป้งลงบนโต๊ะ ลุกจากเก้าอี้แล้วจากไป

ซูหยินจึงพูดว่า “จิวจิว อย่าหยาบคายสิ ซุ่ยซุ่ยอายุน้อยกว่าลูก เป็นเรื่องปกติที่จะไม่รู้วิธีห่อ ถ้าลูกบอกว่าเขาโง่ ซุ่ยซุ่ยต้องเสียใจมากแน่”

จิวจิวมองคุณปู่และคุณย่าก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอายที่ถูกบ่นในที่สาธารณะ เธอจึงร้องไห้และพูดว่า “ฮึ่ม น้องซุ่ยซุ่ยขี้เหนียวนี่”

“ไม่อยากเล่นกับเขาแล้ว”

“น้องซุ่ยซุ่ยโง่ที่สุด”

หลังจากล้างมือ ซุ่ยซุ่ยก็ออกมาและทันได้ยินคำพูดของจิวจิวพอดี

เขากลับไปที่ห้องเงียบ ๆ และนำตะกร้าของเล่นอย่าง จิ๊กซอว์ เก้าห่วง เกมไม้รูปกากบาท ฯลฯ มาที่ห้องนั่งเล่นเงียบ ๆ โดยมีจิวจิวมองเขาเป็นระยะ ๆ ซูโย่วอี๋ที่เห็นก็คิดว่ามันน่ารักมาก “เธออยากเล่นกับซุ่ยซุ่ยไหมจ๊ะ?”

เด็ก ๆ มักอารมณ์แปรปรวน ความสนใจของพวกเขาเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว

จิวจิวไม่ต้องคิดนาน แต่เมื่อเธอนึกถึงสิ่งที่เพิ่งพูดไป เธอก็อายเกินกว่าจะไปเล่นกับเขา ซูโย่วอี๋ลูบเปียที่ถักอย่างสวยงามของเด็กหญิงเบา ๆ “ซุ่ยซุ่ยเล่นคนเดียวคงเบื่อแย่ เธอไปเล่นกับเขาได้ไหมจ๊ะ?”

จิวจิวพยักหน้า “แม่ซู ถ้างั้นหนูจะไปเล่นกับซุ่ยซุ่ยค่ะ”

ซุ่ยซุ่ย “…”

จิวจิวเอามือของเธอเก็บไว้ด้านหลังพลางมองดูเขาเล่นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นั่งยอง ๆ ข้าง ๆ และหยิบชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ออกมา เมื่อเห็นว่าซุ่ยซุ่ยไม่โกรธ เธอจึงกล้าหาญมากขึ้น

แล้วเริ่มต่อของเล่น

เพียงแต่ครั้งนี้ซุ่ยซุ่ยพูดคุยด้วย

“ไม่ใช่”

“ชิ้นนี้มาจากตรงนี้”

จิวจิวถูกซุ่ยซุ่ยปรามจนแทบไม่ได้ต่อสักชิ้น

สายตาของซุ่ยซุ่ยราวกับจะบอกเธอว่าโง่

จิวจิวโยนจิ๊กซอว์ทิ้งและหยิบของเล่นอื่น ๆ มา แต่เธอไม่สามารถไขเก้าห่วงได้ นับประสาอะไรกับเกมไม้รูปกากบาท…

ขณะเล่นกับมัน ดวงตาของจิวจิวก็เต็มไปด้วยน้ำตา

“น้องซุ่ยซุ่ย เธอจงใจทำอย่างนั้นเหรอ? ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะเล่นได้”

ซุ่ยซุ่ยไม่เงยหน้าขึ้นมอง เด็กชายขยับมืออย่างรวดเร็วและภาพจิ๊กซอร์ก็เสร็จสมบูรณ์

จากนั้นเขาหยิบเก้าห่วงขึ้นมาโดยไม่หยุดพัก

ก่อนแก้มันได้ในสามนาที

ต่อด้วยเกมไม้รูปกากบาท…

จิวจิวตกใจมากจนน้ำตาร่วงแหมะ ๆ ก่อนจะพูดเสียงสะอื้น “น้องซุ่ยซุ่ย ฉันจะไม่พูดว่าเธอโง่แล้ว”

“เธอฉลาดกว่าเพื่อนของฉันอีก”

ซุ่ยซุ่ยมองไปที่จมูกของเด็กหญิงที่แดงจากการร้องไห้

ผู้หญิงนี่เป็นตัวปัญหาจริง ๆ

เอะอะก็ร้องไห้ทุกที

เขาหยิบกระดาษทิชชู่ออกมาแล้วยื่นให้ “อย่าร้องไห้ เธอไม่ได้โง่ แค่ทุกคนมีดีคนละอย่าง”

“ฉันเล่นของเล่นพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เลยง่าย”

จิวจิวปาดน้ำตา “ถ้างั้น ถ้าฉันให้ตุ๊กตาเธอไป เธอก็ไม่รู้วิธีเล่นกับมันใช่ไหม?”

“เธอไม่รู้วิธีทาลิปสติกกับมัดผมใช่ไหม?”

ซุ่ยซุ่ยพยักหน้า “ ใช่”

เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องทำอย่างไร

ฝั่งจิวจิวหัวเราะทั้งน้ำตา

ผู้ใหญ่ดูแล้วก็นั่งขำ

ซูหยินถอนหายใจ “โย่วอี๋ เธอสอนซุ่ยซุ่ยได้ดีมาก ทั้งฉลาด สุขุม แถมง้อผู้หญิงเก่งอีก”

แม้ว่าซูโย่วอี๋จะภูมิใจ แต่เธอก็ไม่มีความสุขมากนัก “ฉันคิดว่าเขานิ่งเกินไป และเขาก็ดูจะสูญเสียความสดใส ไม่สมกับวัยเอาซะเลย”

จิวจิวมักกอดพ่อแม่ของเธอและทำท่าทางออดอ้อน

ส่วนซุ่ยซุ่ยมีใบหน้าที่เรียบเฉยตลอดทั้งวัน เหมือนผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ และส่วนใหญ่เขายังเป็นคนดูแลซูโย่วอี๋อีก

คู่สามีภรรยาฮันยิ้ม “แต่แม่ชอบทั้งคู่มากเลยนะ”

“ซุ่ยซุ่ยกับจิวจิวคือเด็กน้อยของเรา”

จิวจิวโผเข้าหาอ้อมกอดของคุณนายฮัน “จิวจิวเป็นเด็กตัวใหญ่ ส่วนซุ่ยซุ่ยเป็นเด็กตัวเล็ก”

ทุกคนหัวเราะลั่น

ตอนนี้เกี๊ยวเกือบจะพร้อมแล้ว คนรับใช้นำมันมาวางลงบนจานและนึ่งให้สุก

จิวจิวนั่งลงที่ที่นั่งประจำของซุ่ยซุ่ย หยิบแป้งขึ้นมาแล้วห่ออย่างระมัดระวัง

เธอจริงจังยิ่งกว่าตอนที่ห่อของตัวเอง

แต่มันน่าเกลียดเกินไป

หลังจากห่อเกี๊ยวห้าอัน ในที่สุดเธอก็เอาเกี๊ยวเข้าไปที่ครัวอย่างตื่นเต้น

คนใช้ตกใจเมื่อเห็นเด็กหญิง “คุณหนู ในนี้อันตรายนะคะ ออกไปเถอะค่ะ”

จิวจิวถือเกี๊ยวในมือ “พวกคุณช่วยทำพวกนี้ให้กับซุ่ยซุ่ยได้ไหมคะ เขาชอบกินมากเลย”