ตอนที่ 467 ข้าอกตัญญู แต่เจ้ากล้าพูดออกมาหรือ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 467 ข้าอกตัญญู แต่เจ้ากล้าพูดออกมาหรือ

ฉินหลิวซีไม่ได้อยู่ที่อวี๋หังต่อ และเดินทางกลับไปด้วยเส้นทางหยินเช่นเดิม ก่อนจากไป นางเรียกไถชิงมาถามว่าไถชิงวางแผนอย่างไร

“การไปเกิดใหม่ก็ต้องเข้าแถว หากท่านอยากไปข้าจะขอให้ยมทูตที่รู้จักพาท่านไปด้วย แต่หากท่านอยากอยู่เที่ยวเล่นที่อวี๋หังต่อ เช่นนั้นก็ได้ เที่ยวเล่นเสร็จเมื่อไหร่แล้วค่อยไปเกิดใหม่”

ไถชิงถามว่า “ยังมีทางเลือกอื่นอีกหรือไม่”

“ในยมโลกยังขาดแรงงานจำนวนมาก หากท่านไม่อยากไปจริงๆ ก็สามารถไปสอบเข้ารับตำแหน่ง เช่นเดียวกันกับการสอบราชสำนักในตอนนี้ เป็นผีทำงานจิปาถะในยมโลกก็ดี หรือจะควบคุมเรืออยู่ที่แม่น้ำวั่งชวน[1]ก็ได้ หรือจะช่วยท่านยายเมิ่งปั๋ว[2]ต้มยาก็ได้เช่นกัน ล้วนเป็นเส้นทางทำมาหากิน หากทำจนไม่อยากทำแล้วก็ไปเกิดใหม่ ก็จะมีบุญกุศลในยมโลกอยู่บ้าง ชาติหน้าก็จะดีขึ้นมาหน่อย”

ไถชิงเงียบไป นางมองไปยังทิศทางหนึ่ง ฉินหลิวซีเหลือบมอง นั่นคือทิศทางของทะเลสาบลวี่หู

“ข้ายังไม่ไปตอนนี้ ข้าตายเร็วเกินไป ตายที่หย่งโจว ยังไม่เคยได้ไปที่ไหน ต้าเฟิงมีแม่น้ำและภูเขาที่งดงาม ข้าอยากจะท่องเที่ยวให้มาก ดูแม่น้ำและภูเขา” ไถชิงตัดสินใจ “ดูจนเบื่อแล้วค่อยไปเกิดใหม่ก็ยังไม่สาย”

ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว “ท่านคิดดีแล้วหรือ ท่านเองก็นับว่าเป็นผีใหม่ วิญญาณเร่ร่อนที่หลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้มีมากมาย ซ้ำยังมีผีร้าย หากท่านไม่ทันระวังตกไปอยู่ในมือของผีเหล่านี้ เกรงว่าจะเกิดปัญหา”

ไถชิงยิ้ม “พวกเขาเป็นผีร้าย ข้าเองก็ตายมาร้อยปีแล้ว ข้าก็สามารถเป็นผีที่ฝึกบำเพ็ญได้ หากผีตนอื่นไม่มารุกรานข้า ข้าก็จะไม่ไปรุกรานใคร แต่หากมารุกรานข้าก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ไม่ว่าจุดจบจะเป็นอย่างไรก็ล้วนเป็นชะตาชีวิตของข้า”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ฉินหลิวซีก็ไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงแต่บอกนางว่าผีก็มีวิถีของผี หากฝึกบำเพ็ญในสถานที่ที่รวบรวมหยินและสถานที่ที่มีพลังชั่วร้ายแข็งแกร่งจะช่วยเสริมพลังผีได้ง่ายขึ้น

“ไถชิง แม้ว่าท่านจะปกป้องตัวเอง แต่หากท่านกลืนกินวิญญาณผี บาปบุญคุณโทษย่อมจะถูกบันทึกไว้เสมอ หากไม่ถึงขั้นจนตรอก อย่าเดินเส้นทางนั้นเด็ดขาด และแน่นอนว่าการช่วยคนก็เป็นบุญกุศลเช่นกัน” ฉินหลิวซีเอ่ย “ในฐานะผี โปรดยึดมั่นในขอบเขตของท่าน”

ไถชิงพยักหน้า “ข้ารู้ ขอบใจท่านมาก”

ฉินหลิวซีโบกมือ “ไปเถิด”

ไถชิงโค้งคำนับนางแล้วหายตัวไป

ฉินหลิวซีหันกลับมาหยิบสัมภาระน้อยใหญ่ แล้วออกเดินทางกลับพร้อมกับอาจารย์และลูกศิษย์

เส้นทางกลับมาจากอวี๋หัง จุดหมายปลายทางก็คือร้านเฟยฉางเต๋า ขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เฉินผีและคนอื่นๆ ยังคงอยู่เฝ้าร้าน เมื่อเห็นฉินหลิวซีและคนอื่นๆ กลับมาก็ดีใจเป็นอย่างมาก

ฉินหลิวซีให้วั่นเช่อไปเช่ารถเพื่อส่งเจ้าสำนักศึกษาถังกลับไปที่สำนักศึกษา ก่อนไปยังได้เขียนใบสั่งยาสำหรับบำรุงร่างกาย และมอบยาหย่างหรงให้เขาหนึ่งขวด

“อย่างไรเสียก็ได้เดินทางผ่านเส้นทางหยินมา หากมีเวลาว่างก็อยู่กลางแสงแดดให้มากๆ เพื่อกำจัดพลังหยิน” ฉินหลิวซีกำชับ

เจ้าสำนักศึกษาถังพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เอ่ย “ประสบการณ์เช่นนี้ ไม่อาจลืมเลือนไปตลอดชีวิตเลยจริงๆ”

“ขงจื้อไม่สอนเรื่องอำนาจลี้ลับ ท่านอย่าได้เอาไปพูดกับลูกศิษย์เป็นอันขาด” ฉินหลิวซีกำชับอีกว่า “มิเช่นนั้นพวกเขาจะฟ้องว่าท่านสอนให้ลูกศิษย์หลงผิด จะทำให้ตระกูลถังต้องขายหน้า”

เจ้าสำนักศึกษาถังลำบากใจ เอ่ย “ข้าจะไม่คุยโม้ แต่หากเขียนหนังสือสักเล่มคงได้กระมัง” เขานึกถึงเรื่องตระกูลติงขึ้นมา เอ่ย “กบในกะลาอย่างคนตระกูลติงผู้นั้นเจ้าอย่าได้ไปใส่ใจ กลับไปอาจารย์จะหาคนระบายความโกรธให้เจ้า”

“ไม่ได้คู่ควรให้ข้าต้องใส่ใจ” ฉินหลิวซีเอ่ย “วางใจเถิด ตอนนี้พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอาย รวมถึงผู้ว่าการติงผู้นั้นด้วย คิดว่าปีนี้เขาคงจะคิดถึงผู้ที่เคยเป็นอาจารย์ของเขา และมีเวลาว่างไปเยี่ยมอาจารย์แม่ของเขาได้แล้ว”

เจ้าสำนักศึกษาถังเลิกคิ้ว ข่าวเช่นนี้ เขาคงต้องไปขอให้ใครสักคนช่วยสืบให้

เป็นดั่งที่ฉินหลิวซีคาดไว้ เมื่อข่าวลือว่าตระกูลติงไร้มนุษยธรรมเผยแพร่ออกไป ตระกูลติงก็ได้ความอับอายขายหน้าเป็นอย่างมาก ซ้ำยังไปเยี่ยมตระกูลฉินอย่างยิ่งใหญ่ เอ่ยให้ดูดีก็คือไปเยี่ยมเยียนผู้ป่วย แต่กลับไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในจวนด้วยซ้ำ เพราะสะใภ้หวังเอ่ยว่า ฮูหยินผู้เฒ่าในจวนป่วยหนัก ในจวนก็มีเพียงแค่สตรีและเด็ก ล้วนคอยอยู่ปรนนิบัติ ซ้ำยังเป็นตระกูลขุนนางต้องโทษ ควรจะรู้จักถ่อมตัวไม่ให้เดือดร้อนใคร

สิ่งนี้ทำให้ตระกูลติงถูกมองเป็นตัวตลก

ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ตั้งแต่ไปที่ตระกูลฉินแล้วทำให้นางฉินผู้เฒ่าโกรธจนล้มป่วย ตระกูลติงก็เริ่มประสบกับโชคร้าย คนในตระกูลป่วยติดต่อกันและมีโชคไม่ดี กิจการก็เผชิญกับปัญหาน้อยใหญ่

เมื่อฉินหลิวซีกลับมาที่จวน ก็ได้รู้จากปากสะใภ้หวังว่าเหตุใดตระกูลติงถึงอยากได้ร้านของพวกเขา กลับเป็นเพราะว่าเดิมทีนายหญิงสามติงผู้นั้นก่อนหน้านี้ถูกหลอกให้ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูง เมื่อสูญเสียเงินเหล่านั้น ซ้ำยังเป็นการใช้เงินกองกลางไปปล่อยกู้ เพื่อที่จะเติมเต็มหลุมนี้ จึงได้มีความคิดเกี่ยวกับร้านผลไม้แช่อิ่มขึ้นมา

“นี่คือสิ่งที่ฮูหยินอวี๋เป็นคนบอกเอง หลังจากที่รู้ว่าตระกูลติงมาทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนล้มป่วย ใต้เท้าอวี๋และคนอื่นๆ ก็รู้สึกผิดและโกรธเป็นอย่างมากที่ไม่สามารถช่วยอะไรพวกเราได้ จึงได้ไปสืบข่าวแล้วมาบอกพวกเรา” สะใภ้หวังเอ่ย “ใต้เท้าอวี๋ยังไปที่เมืองฝู่อีกด้วย บอกว่าต้องการไปเยี่ยมผู้ตรวจการเซียวราวกับว่าต้องการหาเส้นทางอื่นกับผู้ว่าการติง”

ฉินหลิวซี “ลำบากเขาแล้ว”

สะใภ้หวังเอ่ย “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใต้เท้าอวี๋ ในสายตาของผู้อื่นตระกูลเรานั้นนับว่าเป็นขุนนางต้องโทษ การที่เขาปกป้องเราเช่นนี้จะทำให้เขาเดือดร้อนด้วยหรือไม่”

“ไม่เป็นอะไรหรอก โลกนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ยุติธรรมเสมอไป เรื่องการทรยศต่อผู้มีพระคุณ ไม่ต้องสนเรื่องผิดถูก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครยอมรับ คนเราสามารถลืมบุญคุณได้ แต่หากยังเนรคุณอีกเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากสุนัข” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างเกียจคร้าน

สะใภ้หวังโกรธ

“ตระกูลติงยังคงต้องประสบโชคร้าย ผู้ว่าการติงก็คงจัดการได้ไม่ดีอย่างแน่นอน ข้าเดาว่าหลังจากมีการแต่งตั้งตำแหน่งไม่กี่วัน เขาจะต้องรีบร้อนกลับมาฉลองตรุษจีนที่เมืองหลี และมาเยี่ยมที่จวนในทันที” ฉินหลิวซีเอ่ย “เมื่อถึงเวลานั้นจึงจะเหมาะสมสำหรับแสดงละคร คิดว่าจะต้องครึกครื้นอย่างแน่นอน”

เมื่อสะใภ้หวังคิดถึงภาพนั้น ในใจก็รู้สึกมีความสุข

“ข้าจะไปดูฮูหยินผู้เฒ่า”

“ข้าไปกับท่านด้วย”

ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปยังเรือนของนางฉินผู้เฒ่า

ทันทีที่เข้าไปในห้อง ฉินหลิวซีก็มีความสุข เพราะเห็นสะใภ้เซี่ยกับบรรดาเด็กสาวหลายคนดูท่าทางท้อแท้และน่าสงสาร

ดูเหมือนว่าการปรนนิบัติคนป่วยจะไม่ง่ายเลย นี่เพียงแค่ไม่กี่วันก็หน้าซีดกันหมดแล้ว

ก็จริง การดูแลผู้ป่วยไหนเลยจะง่ายเช่นนั้น พวกนางถูกปรนนิบัติรับใช้จนเคยตัว ตอนนี้ต้องมารับใช้คนชราบ้าง ไม่เท่ากับเอาชีวิตคุณหนูผู้อ่อนแอเหล่านี้หรอกหรือ

โดยเฉพาะสองพี่น้องฉินหมิงจู ท่าทางอิดโรย ราวกับมะเขือม่วงเหี่ยว

เมื่อสองพี่น้องเห็นฉินหลิวซีที่ดูสว่างสดใส ใบหน้าของพวกเขาก็บูดบึ้งด้วยความอิจฉา อดเอ่ยไม่ได้ว่า “พี่หญิงใหญ่ช่างงานยุ่งจริงๆ ท่านย่าป่วยเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่มาดูแล ไม่แม้แต่จะมาคารวะเช้าเย็นด้วยซ้ำ”

“เจ้าก็บอกมาเถอะว่าข้าอกตัญญู” ฉินหลิวซีเหลือบมองแล้วจึงเอ่ย “ข้าอกตัญญูแล้วอย่างไร เจ้ากล้าเอ่ยออกมาหรือ”

ฉินหมิงซินสำลัก หน้าแดงด้วยความโกรธ

หยิ่งผยองเกินไปแล้ว!

“ชีวิตท่านย่าของเจ้าเป็นเจ้าที่ดึงกลับคืนมา หากเช่นนี้ยังถูกมองว่าอกตัญญู ใต้หล้านี้ก็คงไม่มีคนกตัญญูแล้ว” สะใภ้หวังเอ่ยด้วยความโกรธ “จะไปถือสาน้องสาวที่ไม่รู้ความทำไม รีบไปจับชีพจรให้ท่านย่าของเจ้าเร็ว ต้องเปลี่ยนใบสั่งยาหรือไม่”

ดวงตาของฉินหมิงซินเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที อยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่สะใภ้หวังส่งสายตามองไป ก่อนจะเอ่ยกับสะใภ้เซี่ยว่า “น้องสะใภ้รอง เดิมทีคิดว่าจะเอาผ้าที่ซีเอ๋อร์ให้มาตัดเสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับทุกคน จะได้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุข แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าอย่าทำให้นางกังวลใจจะดีกว่า!”

ทันทีที่เอ่ยคำเหล่านี้ออกมา ฉินหมิงซินก็จุกที่คอทันที ไม่กล้าเอ่ยอะไรสักคำ

[1] วั่งชวน สายธารแห่งการสิ้นภพและลืมชาติ คนจีนเชื่อกันว่าเส้นทางสู่นรกภูมิจะผ่านแม่น้ำแห่งการ “ลืมสิ้น”

[2] ท่านยายเมิ่งปั๋ว กับน้ำเบญจรส น้ำแกงยายเมิ่งมีครบห้ารสชาติของชีวิตบนโลกมนุษย์ หวาน เปรี้ยว ขม เผ็ด เค็ม ห้ารสนี้เป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของชีวิตหลังจากที่ไปเกิดใหม่