ตอนที่ 468 รังเกียจที่จะทำเรื่องผิวเผิน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 468 รังเกียจที่จะทำเรื่องผิวเผิน

นางฉินผู้เฒ่าชราลงไม่น้อย เมื่อได้ยินเสียงคนคุยกันก็หันหน้ามา เห็นฉินหลิวซีและคนอื่นๆ เดินมาหา ดวงตาเริ่มขุ่นมัวขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออ้าปากก็ดูบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด

ติงหมัวหมัวกับจวี๋เอ๋อร์โค้งคำนับทั้งสองแล้วถอยออกไปอยู่ด้านข้าง

กลิ่นในห้องนั้นไม่ดีนัก เป็นกลิ่นคนแก่ ถ่านในถาดก็เผาไหม้อย่างรุนแรง ประตูหน้าต่างก็ปิดสนิท ทำให้บรรยากาศในห้องยิ่งอึมครึม

“สามารถแง้มหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้ ระบายอากาศในห้องให้ถ่ายเท อารมณ์ก็จะได้สดใส” ฉินหลิวซีกำชับจวี๋เอ๋อร์ ส่วนนางเดินไปนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง ดึงมือฮูหยินผู้เฒ่าออกมาจากผ้าห่มเพื่อจับชีพจร

เมื่อจับชีพจรฉินหลิวซีก็ขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง มองนางฉินผู้เฒ่าพลางเอ่ย “ท่านกังวลมากเกินไป กลัวว่าจะอายุยืนหรือ”

นางฉินผู้เฒ่าหายใจเร็วเล็กน้อย อ้าปากส่งเสียงออกมาจากลำคอ

นางยังไม่ตาย แต่จะโกรธตายก็เพราะคำพูดที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้

ฉินหลิวซีวางมือลง เอ่ย “เปลี่ยนใบสั่งยาเถิด เพิ่มสมุนไพรสำหรับการนอนหลับ กินแล้วจะได้นอนหลับสบาย มิเช่นนั้นหากท่านวิตกกังวลไม่รู้จบจนไม่หลับไม่นอน ไม่ได้พักผ่อนอย่างจริงจังเช่นนี้ ต่อให้ท่านกินยาสมุนไพรไปเท่าไหร่ก็ไร้ประโยชน์”

นางฉินผู้เฒ่าอุทานเบาๆ มีน้ำตาไหลจากหางตาอีกครั้ง เริ่มกังวลเล็กน้อย

“รู้ว่าท่านอยากจะพูดอะไร ไม่พ้นวิตกกังวลเรื่องท่านอาสาม เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว กังวลไปก็ไร้ประโยชน์ อยู่ห่างกันเป็นพันลี้ จะทำอะไรได้ นี่คือเคราะห์กรรมของเขา” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านเป็นห่วงเขา แต่กลับทำร้ายตัวเอง จะไม่เป็นการทำให้ท่านอาสามที่เป็นบุตรชายยิ่งปวดใจหรือ”

นางฉินผู้เฒ่าหลับตา เจ้าออกไป ไม่อยากฟังคำพูดเจ้า

สะใภ้หวังกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าได้ขอให้คาราวานเดินทางเร็วรีบส่งเงินและวัตถุดิบยาไปแล้ว น้องสามและคนอื่นๆ จะต้องเอาชนะอุปสรรคนี้ได้อย่างแน่นอน ท่านอย่ากังวลมากเกินไปเลย”

ฉินหลิวซีรับกระดาษและพู่กันที่จวี๋เอ๋อร์ยื่นให้ เปลี่ยนใบสั่งยาใหม่พลางเอ่ย “ยาครั้งนี้อาจจะขมและดื่มยากกว่าครั้งก่อน ในจวนไม่ขาดผลไม้แช่อิ่ม เมื่อถึงเวลาก็เอามาให้นางกินหวานดับขม”

“เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่”

นางฉินผู้เฒ่าลืมตาขึ้น เหลือบมองฉินหลิวซี เจ้าเด็กคนนี้เกรงว่าจะตั้งใจทรมานนางหรือไม่

เมื่อฉินหลิวซีเขียนใบสั่งยาแล้วก็เดินออกไปโดยไม่เอ่ยอะไรไปมากกว่านั้น ไม่ต้องพูดถึงการแกล้งทำเป็นปรนนิบัติผู้ป่วยหรือเอาใจใส่

นางรังเกียจที่จะทำสิ่งผิวเผินเช่นนี้ด้วยซ้ำ

นางฉินผู้เฒ่าอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้

เมื่อเดินออกมาจากห้อง ฉินหลิวซีเหลือบมองฉินหมิงซินและคนอื่นๆ แล้วเดินจากไปอย่างไม่แยแส

ฉินหมิงซินโกรธจนตาลุกเป็นไฟ แต่เมื่อเห็นสะใภ้หวังที่เป็นหัวหน้าตระกูลในตอนนี้ นางจึงไม่กล้ากล่าวคำไม่ดี มิเช่นนั้นไหนเลยจะมีเสื้อผ้าเครื่องประดับใหม่

สะใภ้หวังเป็นใครกัน เพียงแค่พริบตาเดียวก็มองออกว่าเจ้าเด็กน้อยผู้นี้คิดอะไร อดถอนหายใจไม่ได้

เด็กเช่นนี้ เพียงแค่บุญคุณหรือความช่วยเหลือเล็กน้อยก็เอาอยู่ได้ ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ ได้

ส่วนฉินหลิวซี เห็นอะไรก็รังเกียจ เห็นอะไรก็ไม่สนใจ นางไม่ชอบเสื้อผ้าเครื่องประดับ ก็ไม่รู้ว่านางสนใจเรื่องอะไร

ฉินหลิวซีมาที่ลานของสะใภ้กู้ ในลานเงียบสงบ มีเสียงไอสองสามครั้งดังมาจากเรือนหลัก

นางเดินเข้าไป ห้องโถงบุปผาไม่มีคน ในห้องนอน ฉินหมิงเป่ากำลังเกลี้ยกล่อมให้สะใภ้กู้ดื่มยา

ฉินหลิวซีกระแอมเบาๆ “ท่านอาสะใภ้สามอยู่หรือไม่”

ฉินหมิงเป่าเดินออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นฉินหลิวซีก็ดวงตาเป็นประกาย “พี่หญิงใหญ่”

ฉินหลิวซีเห็นว่าใบหน้าของน้องหญิงซูบผอม ไม่อวบอิ่มเหมือนเมื่อก่อน จึงหยิกแก้มนางเบาๆ “เหตุใดจึงผอมลงเช่นนี้ แทบหยิกแก้มไม่ได้แล้ว”

ไม่เพียงแต่ผอมลง ซ้ำยังใต้ตาคล้ำอีกด้วย

ฉินหมิงเป่าเม้มริมฝีปากพลางยิ้มอย่างเขินอาย ลูบหน้าพลางเอ่ย “ผอมลงหน่อยก็ดี มิเช่นนั้นพี่หญิงรองและคนอื่นๆ มักจะบอกว่าข้าอ้วน โตมาไม่สวย”

“อย่าไปฟังพวกนางพูดไร้สาระ เจ้าพึ่งจะอายุเท่าไหร่เอง อีกนานกว่าจะโต ควรกินก็กิน อย่าอยากผอมเหมือนคนอื่น ท่านแม่เจ้าล่ะ”

“ซีเอ๋อร์หรือ ข้าอยู่ข้างใน” เสียงของสะใภ้กู้ดังออกมาจากห้องนอน

ฉินหลิวซีจูงฉินหมิงเป่าเข้าไป เห็นสะใภ้กู้สวมเสื้อคลุมหนาเอนหลังพิงหัวเตียง มีผ้าเช็ดหน้าวางอยู่บนหน้าผาก สีหน้าซีดมาก

ในห้องยังมีกลิ่นยาจางๆ อีกด้วย

ฉินหลิวซีเดินไปหา กล่าวว่า “ท่านป่วยหรือ”

“เป็นไข้หวัดเล็กน้อย ไอบ้างเป็นบางครั้ง ไม่ใช่เรื่องใหญ่” สะใภ้กู้เผยรอยยิ้ม

ฉินหลิวซีเอื้อมมือไปจับมือของนางมา ใช้สองนิ้วจับชีพจรดูอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง “ลมหนาวพัดมา หัวใจหดหู่ ข้าเห็นใต้ตาของท่านดำคล้ำ นอนไม่หลับทั้งคืนเลยหรือ หรือเป็นเพราะเรื่องท่านอาสาม?”

สะใภ้กู้ขอบตาแดง หันหน้าหนีเล็กน้อย เอ่ย “ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”

“นอกจากพิการแล้วก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิต ท่านไม่ต้องกังวลมากเกินไป พิการก็ยังดีกว่าเสียชีวิตไม่ใช่หรือ”

ฉินหลิวซีไม่ใช่คนที่ปลอบใจเป็นจริงๆ ทันทีที่กล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา สะใภ้กู้ก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป เมื่อเศร้าหมองก็ร้องไห้ออกมาทันที

ฉินหมิงเป่าปีนขึ้นมาบนเตียง เม้มปากเล็กๆ ขอบตาแดง แต่กลับไม่ร้องไห้ มือเล็กๆ ตบสะใภ้กู้เบาๆ

ฉินหลิวซีลำบากใจ หยิบถ้วยยาขึ้นมาดม ถามฉินหมิงเป๋าว่า “ยานี้เป็นใบสั่งยาเมื่อก่อนหน้านี้หรือ ไม่ได้เชิญหมอมาตรวจหรือ”

ฉินหมิงเป่าตอบว่า “ข้าอยากจะไปเชิญหมอมา แต่ท่านป้าสะใภ้รองบอกว่าในจวนวุ่นวายเป็นอย่างมาก ซ้ำยังบอกว่ามีท่านอยู่ไม่จำเป็นต้องเปลืองเงินไปเชิญหมอมา แต่ท่านไม่อยู่ จึงทำได้เพียงต้มตามใบสั่งยาเมื่อก่อนหน้านี้ไปก่อน”

“โง่หรืออย่างไร ยาไม่ถูกโรค ดื่มไปก็ไร้ประโยชน์” ฉินหลิวซีเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง หยิบกระดาษกับพู่กันขึ้นมาเขียนใบสั่งยาใหม่ เอ่ย “อย่าไปฟังท่านป้าสะใภ้รอง ข้าไม่อยู่ หากจะเชิญหมอ เจ้าก็ไปหาพ่อบ้านหลี่ หรือไปหาพี่หญิงฉีหวง ไข้หวัดเล็กน้อยเช่นนี้นางสามารถเขียนใบสั่งยาได้”

“อ้อ”

ขณะที่สองพี่น้องกำลังถามตอบกัน สะใภ้กู้ก็รู้สึกแย่เกินกว่าจะร้องไห้ต่อ เช็ดน้ำตา เอ่ยขอโทษฉินหลิวซีว่า “ขายหน้าซีเอ๋อร์อีกแล้ว”

“ร้องไห้ออกมาดีกว่ากลั้นเอาไว้ ต่อไปนี้ต้องดูแลตัวเองดีๆ อย่าทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ สองพี่น้องผิงอันยังอายุไม่ถึงหนึ่งขวบ เป่าเอ๋อร์ก็เพียงแค่ห้าขวบ แม้ว่าพวกเขาจะยังเด็กแต่ก็ยังต้องกังวลเพราะท่าน” น้ำเสียงของฉินหลิวซีรุนแรงเล็กน้อย

สะใภ้กู้อายจนหน้าแดง

ฉินหมิงเป่าทนไม่ไหว เอ่ยเสียงเบาว่า “พี่หญิงใหญ่ อย่าว่าท่านแม่เลย ข้าโตแล้ว ทั้งยังเป็นบุตรสาวคนโตในเรือนนี้ สามารถดูแลน้องชายกับท่านแม่ได้แล้ว”

เมื่อสะใภ้กู้ได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งปวดใจ และละอายใจกว่าเดิม

“หยุดเลย เจ้าตัวแค่นี้นอนไม่พอกินไม่อิ่ม ระวังจะไม่โต กลายเป็นคนแคระ” ฉินหลิวซีดีดหน้าผากนางเบาๆ

ฉินหมิงเป่าอุทาน ร้องห้ามฉินหลิวซี

สะใภ้กู้หัวเราะ “พี่หญิงใหญ่เจ้าหยอกเจ้าเฉยๆ แต่นางพูดถูกแล้ว เจ้าแค่สนใจกินให้อร่อยนอนหลับให้สบาย เล่นกับน้องชายก็พอแล้ว เรื่องอื่นเจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไร”

ฉินหมิงเป่าฉีกยิ้ม

จากนั้นสะใภ้กู้ก็มองไปยังฉินหลิวซี เอ่ย “อาสะใภ้สามแค่กังวลเรื่องท่านอาสามของเจ้า ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาเป็นอย่างไร ที่นั่นก็แห้งแล้ง ไม่มีคน ไม่รู้ว่าช่วยรักษาได้ทันเวลาหรือไม่”

“โหงวเฮ้งของท่าน ตำแหน่งสมรสแสดงให้เห็นว่าสามีภรรยาต้องแยกจากกัน สามีได้รับบาดเจ็บจนพิการเท่านั้น ไม่มีเรื่องอื่นอีก วางใจได้ ไม่ถึงตาย” เมื่อฉินหลิวซีเอ่ย้ออกไปก็รู้สึกว่าพูดตรงเกินไป จึงกล่าวเสริมว่า “กล่าวได้ว่าเขาจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต”

เฮ้อ งานปลอบใจคนเช่นนี้ไม่ใช่ทางของนางจริงๆ มันไม่ง่ายเหมือนกับการจับผีไล่วิญญาณเอาเสียเลย!