ตอนที่ 469 หากไม่พอใจ หรือพวกเราจะกบฏ?

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 469 หากไม่พอใจ หรือพวกเราจะกบฏ?

เมื่อใกล้ถึงวันตรุษจีน ฉินหลิวซีก็มีเรื่องต่างๆ มากมาย กลั่นยาปรุงยา สอนลูกศิษย์ แล้วยังต้องคำนวณบัญชีร้านเฟยฉางเต๋ากับฉีหวง แบ่งกำไรออกเป็นสามส่วน หนึ่งส่วนเก็บเข้าในคลังส่วนตัวของตัวเอง หนึ่งส่วนมอบให้คลังของบ้านใหญ่ อีกหนึ่งส่วนถูกส่งไปที่อารามชิงผิง

เมื่อชิงหย่วนได้รับตั๋วเงินราวๆ สองหมื่นตำลึงก็ยิ้มไม่หุบ นำตั๋วเงินไปวางบูชาหน้าเจ้าลัทธิเต๋าอย่างมีความสุข จุดธูปบูชา ปากเอ่ยพึมพำว่า “เจ้าอาวาสน้อยของพวกเราก้าวหน้าไม่น้อย มีความโดดเด่น วิหารหลักของท่านนี้จะต้องเพิ่มสัตว์มงคลคอยเฝ้าดูแล จากนั้นก็ค่อยท่าสีใหม่ เปลี่ยนกระถางธูปเป็นกระถางทองแดง จะต้องดูสง่างามอย่างแน่นอน”

อู๋เหวยยืนคำนับอยู่ข้างเขา บังเอิญเงยหน้าขึ้นมอง ดูเหมือนว่ามุมปากของเจ้าลัทธิเต๋าจะยกขึ้นเล็กน้อย ธูปก็ไหม้เร็วขึ้น

ถูกค่าน้ำมันตะเกียงทำให้ยิ้มได้กระมัง

หลังจากชิงหย่วนจุดธูปบูชาแล้ว คิดคำนวณอย่างละเอียดรอบคอบ จากนั้นก็ไปคุยกับนักพรตเฒ่าชื่อหยวนและฉินหลิวซี

“ตอนนี้อีกประมาณสิบวันก็จะตรุษจีนแล้ว ช่วงนี้อากาศหนาว พื้นที่ไร่นาของชาวนาก็ไม่มีอะไรให้ทำ ส่วนใหญ่ล้วนอยู่บ้านเฉยๆ ลูกศิษย์คิดว่าอย่างไรเสียก็จะสร้างหอเก็บพระคัมภีร์ แล้วก็จะขยายลานเต๋าเพื่อรองรับผู้ศรัทธาและฆราวาส ซ้ำยังต้องมีห้องพักเต๋าสองชั้น เพื่อให้สหายเต๋าท่านอื่นมาจำวัดที่อาราม” ชิงหย่วนเปิดสมุดเล็กๆ ของตัวเอง ดูบันทึกในนั้นแล้วเอ่ย “หากรอให้ฉลองตรุษจีนแล้วค่อยสร้าง จะมีผู้ศรัทธาจำนวนมากมาจุดธูปบูชาทำให้ไม่สะดวก ไม่สู้อาศัยช่วงที่ชาวนากำลังว่างงานอยู่ตอนนี้ ปิดอารามซ่อมแซมชั่วคราว หาช่างมาทำที่กำบังดีหรือไม่”

ฉินหลิวซีสนใจเพียงแค่เรื่องเงิน ไม่ได้สนในรายละเอียดอย่างอื่น คว้าเมล็ดสนจำนวนหนึ่งไว้ในมือแล้วเคี้ยวพลางเอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “เจ้าทำตามที่เห็นสมควรเถิด”

แม้ว่าชิงหย่วนจะเป็นนักพรตเต๋า แต่ก็เทียบเท่ากับพ่อบ้านใหญ่ของตระกูลที่ดูแลจัดการเรื่องเงิน รายละเอียดเช่นนี้ต้องยกให้เขาเป็นคนจัดการ

เมื่อนักพรตเฒ่าชื่อหยวนเห็นว่าศิษย์ไม่รักดีผู้นี้ท่าทางไม่ได้ใส่ใจนัก จึงเอ่ยกับชิงหย่วนว่า “แล้วแต่เจ้า ด้านหลังภูเขายังมีวัสดุไม้เหลืออยู่บ้าง เอาออกมาให้หมด หากไม่พอก็ไปหาเพิ่มจากในหมู่บ้านบริเวณรอบๆ จริงที่ว่าชาวนาว่างในช่วงตรุษจีน ต้องให้ค่าแรงเพียงพอและมีอาหารให้ด้วย การทำงานในฤดูเช่นนี้หนาวอยู่พอสมควร”

“ขอรับ เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้” ชิงหย่วนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อเดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมา เขามองฉินหลิวซีพลางเอ่ยว่า “ครั้งนี้มีสถานที่ที่ต้องปรับปรุงหลายแห่ง ทั้งยังสร้างอาคารใหม่ จะต้องสร้างให้งดงาม แม้ว่าจะมีเงินไม่น้อย แต่อารามเต๋าของพวกเราก็ต้องเก็บเสบียงอาหารไว้ทำการกุศลในปีหน้าด้วย ใช้ไปใช้มาก็จะไม่พอใช้ ต้องรบกวนให้ศิษย์พี่หาเงินค่าตะเกียงน้ำมันเพิ่มด้วย”

แค่ก แค่ก

เมล็ดสนเม็ดหนึ่งไปติดทางเดินหายใจของฉินหลิวซี ทำให้นางสำลักพลางจ้องชิงหย่วน “เจ้ากำลังถือตั๋วเงินสองหมื่นกว่าตำลึงอยู่ในมือ แล้วยังมาบอกข้าว่าเงินไม่พอใช้ หรือว่าเจ้าจะเปลี่ยนถ้วยจานทั้งหมดในอารามของพวกเราเป็นทองให้ได้ พูดเช่นนี้ไม่ละอายใจบ้างหรือ”

ชิงหย่วนถอนหายใจ เอ่ย “ศิษย์พี่ ท่านไม่ได้เป็นผู้ดูแลย่อมไม่รู้ว่าข้าวของเครื่องใช้มีราคาแพงแค่ไหน ปลายเดือนสามปีหน้าเป็นวันครบรอบพระชนมายุห้าสิบพรรษาของฮ่องเต้ ตอนนี้พ่อค้าทำกิจการและชนชั้นสูงคนสำคัญจำนวนไม่น้อยกำลังส่งให้คนไปหาของขวัญฉลองวันพระราชสมภพ ทำให้ข้าวของมากมายราคาแพงขึ้นไม่น้อย นอกจากนี้ข้ายังได้ยินข่าวว่าหลังจากฉลองพระชนมายุห้าสิบพรรษา อาจจะมีการคัดเลือกพระสนม ในปีหน้านี้ก็จะมีการสอบฤดูใบไม้ผลิด้วยไม่ใช่หรือ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็มากองรวมกันในปีหน้า ข้าวของย่อมมีราคาแพง”

ฉินหลิวซีสีหน้ามืดครึ้ม

วันพระราชสมภพของฮ่องเต้เกี่ยวอะไรกับคนในเสวียนเหมินอย่างนางด้วย เมื่อเขาจัดงานฉลองวันพระราชสมภพก็ทำเอาข้าวของขึ้นราคา ส่วนนางก็ถูกบังคับให้ทำกิจการต่อไป?

นักพรตเฒ่าชื่อหยวนขมวดคิ้ว “หากเป็นเช่นนี้ แค่วันฉลองพระราชสมภพกับคัดเลือกพระสนม เกรงว่าจะทำให้ขุนนางมากมายขูดเลือดขูดเนื้อราษฎร และในปีหน้าราษฎรอาจจะต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก”

สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องใช้เงิน และเงินนั้นมาจากที่ไหน ก็ขูดเลือดขูดเนื้อราษฎรมาอย่างไรล่ะ

ราษฎรอาจไม่มีเงิน แต่มีบางครอบครัวที่อาจมีมรดกตกทอดมาบ้าง โดยเฉพาะของมงคลบางอย่าง เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ คนบางคนสามารถทำได้ทุกวิถีทาง

อย่างไรเสียก็ใช่ว่าเรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้น

ฉินหลิวซีสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

ความไม่พอใจนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งขึ้นไปบนภูเขาขุดหาไหสุรา เห็นเงาสีแดงทำลับๆ ล่อๆ แล้วก็หายไป

“หากเจ้ากล้าไป ข้าจะเผาขนของเจ้าจนไม่เหลือ!” ฉินหลิวซีน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

ขณะที่เฟิงซิวกำลังจะกระโดดหนีไป ขาหลังของเขาก็ค้างอยู่กลางอากาศ เหยียบบนหิมะเบาๆ หันกลับมา “ดูสิว่านี่คือใคร นายท่านน้อยของพวกเราไม่ใช่หรือ มาออกกำลังกายหรือขอรับ”

ฉินหลิวซีมองไปยังใต้ต้นไม้ที่ตัวเองฝังสุราไว้ ร่องรอยของการขุดยังไม่ได้ถูกกลบ จึงยิ้มอย่างเย็นชาพลางเอ่ย “เอาออกมาแต่โดยดี มิเช่นนั้นวันนี้ข้าจะลองย่างขาจิ้งจอกดูว่ารสชาติเป็นอย่างไร”

“อย่าเลย พวกเราก็นับว่ารู้จักกัน ก็แค่สุราไหเดียวเองไม่ใช่หรือ” เฟิงซิวเอาไหสุราที่พึ่งขุดขึ้นมาออกมาให้ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ากำลังคิดจะกลับไปดื่มกับท่านสักสองจอก คิดไม่ถึงว่าท่านจะมา อย่าโกรธเลย สิ่งนี้เขาเรียกว่ามีวาสนาต่อกัน!”

ฉินหลิวซีหรี่ตามองเขา พับตุ๊กตากระดาษแล้วสั่งให้ไปทำงาน ขุดไหสุราที่ฝังดินไว้ ทั้งหมดสิบไห เหลือเพียงห้าไห นางมองไปยังเฟิงซิวด้วยสายตาคมกริบราวกับมีด

เจ้ามันจิ้งจอกเจ้าเล่ห์!

เฟิงซิวยกอุ้งเท้าขึ้นสาบานทันที “ข้าขุดไปแค่สองไห เตรียมว่าจะดื่มไหนี้ด้วยกันกับท่าน หากข้าโกหกแม้แต่คำเดียว ขอให้ชั่วชีวิตนี้เป็นหมัน!”

ฉินหลิวซี “…”

สมแล้วที่เป็นเจ้า!

คำสาบานนี้ทำเอาตัวเองสูญเสียได้จริงๆ!

ฉินหลิวซีจ้องมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ให้ตุ๊กตากระดาษขุดไหสุราขึ้นมา แล้วเดินไปที่ศาลาอย่างช้าๆ

เฟิงซิวเดินตามไปนั่งอยู่ในศาลากับนาง เสกจอกสุราสองใบกับเหยือกสุราหนึ่งเหยือกขึ้นมากลางอากาศ ขณะที่กำลังจะกะเทาะผนึกโคลนออก หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกได้ว่าไม่มีกับแกล้ม เขาจึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หลังจากนั้นไม่นานก็กลับมาพร้อมกับกระต่ายสีเทาสองตัวที่ขุดมาจากไหนก็ไม่รู้ ทำที่ย่างอยู่ข้างศาลา เมื่อถอนขนเสร็จก็เอากระต่ายขึ้นย่าง

เขาทุบผนึกโคลนที่ปิดไหสุราอยู่ เทลงในเหยือกสุรา จากนั้นก็เทใส่จอกสุราสองจอกจนเต็ม เอ่ยว่า “สีหน้าบูดบึ้งเช่นนี้ ใครทำให้เจ้าขุ่นเคืองหรือ”

ฉินหลิวซีหยิบจอกสุราขึ้นมาดื่ม เอ่ยว่า “ทั้งหมดเป็นเพราะความยากจน”

หลังจากดื่มไปสามจอก นางก็เปิดหัวข้อสนทนา เริ่มบ่นว่า “ฮ่องเต้ฉลองวันพระราชสมภพ ราษฎรต้องทุกข์ทรมาน และยังส่งผลให้ข้าต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาซ่อมแซมอารามทำการกุศล ทำให้ข้าหงุดหงิด”

เฟิงซิวดวงตาเป็นประกาย เอ่ยว่า “หากไม่พอใจ เช่นนั้นพวกเราก็ไปสร้างปัญหา หรือว่าพวกเราจะกบฏดี!”

ฉินหลิวซีจ้องมองเขา งี่เง่า!

“ไม่ได้หรือ หากโชคลาภอาณาจักรมีการเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นบัลลังก์นี้ก็คงต้องเปลี่ยนคนนั่งแล้ว”

ฉินหลิวซีเอ่ย “หากเปลี่ยนเป็นโง่เง่ากว่านี้มานั่ง จะไม่ทำให้ชีวิตของราษฎรน่าสงสารหรือ บาปกรรมเช่นนี้ เจ้ากับข้าตายไปก็ใช่ไม่หมด”

เฟิงซิวลำบากใจพลางเอ่ย “เช่นนั้นพวกเราไปปล้นคลังอาณาจักรเขา?”

“พอเลยๆ เลิกเสนอความคิดเห็นไร้สาระได้แล้ว อย่างน้อยอาณาจักรก็สงบสุข ราษฎรปลอดภัย หากก่อเรื่อง ใต้หล้าจะไม่วุ่นวายหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

“ก็เจ้าไม่ได้บอกว่าหงุดหงิดหรอกหรือ หากหงุดหงิด เช่นนั้นก็ทำให้คนอื่นหงุดหงิดเป็นเพื่อนเจ้า สมเหตุสมผลจะตายไป!”

ข้าขอบใจเจ้าจริงๆ!

เฟิงซิวพลิกกระต่าย จิบสุราแล้วเอ่ยว่า “ทำไมเจ้าไม่ถามอาจารย์เฒ่าของท่านว่าเหตุใดต้องบังคับให้ท่านทำบุญกุศล ซ้ำยังไม่อนุญาตให้ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ ต้องให้มาลำบากสะสมทีละเล็กทีละน้อย”

เรื่องเงิน หากพวกเขาอยากจะหาให้ได้มากขึ้นนั้นง่ายมาก

ฉินหลิวซีชะงักไปครู่หนึ่ง “เหตุใดจึงถามเช่นนี้”

“ก็แค่อยากรู้”

ฉินหลิวซีถือจอกสุราขึ้นมามองความว่างเปล่าอย่างสับสนเล็กน้อย “บางทีอาจเป็นเพราะข้าเคยทำอะไรที่เลวร้ายในอดีตกระมัง”

ดูเหมือนว่านางจะเคยทำอะไรบางอย่าง แต่นางจำไม่ได้แล้ว