ตอนที่ 470 ลิ่งหลันตระกูลอวี้

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 470 ลิ่งหลันตระกูลอวี้

อารมณ์อ่อนไหวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลไม่ใช่สิ่งที่ฉินหลิวซีชอบ เรื่องไหนที่ไม่เข้าใจก็ไม่ต้องไปคิด หลังจากบ่นไปแล้ว ควรทำอะไรก็ไปทำ สมัครใจอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ส่วนปีหน้าหากข้าวของราคาแพงขึ้น เช่นนั้นนางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ‘ปล้นคนรวยมาให้คนจน’

สมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก!

ในใจเฟิงซิวก็คิดเช่นนั้น ราคายาอันล้ำค่าของร้านยาตำหนักอายุวัฒนะต้องเพิ่มขึ้น ไม่มีทางเลือกอื่น การตามกระแสหาเงินอย่างไม่ยุติธรรม ไร้ความกรุณา นี่คือสิ่งสำคัญพื้นฐานของการเป็นจอมปีศาจ

ทั้งสองคนมองหน้ากัน เผยให้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่น่ากลัว

อารามชิงผิงติดป้ายประกาศปิดอารามเพื่อซ่อมแซมชั่วคราวในทันที จากนั้นก็ระดมคน เตรียมวัสดุให้ครบ เริ่มการสร้างอาคาร แทนที่กระเบื้องด้วยหลังคาทองแกะสลักสัตว์มงคล

ฉินหลิวซีไม่สนใจอะไรนอกจากการวางรากฐานของหอเก็บพระคัมภีร์ หลังจากวางค่ายอาคมที่ด้านล่างกับนักพรตเฒ่าชื่อหยวน ทุกวันก็เอาแต่อู้งานไปสอนลูกศิษย์ในร้านเฟยฉางเต๋า ศึกษาแผนภาพที่ไม่สมบูรณ์แบบของค่ายอาคมขังเซียน เมื่อคิดไม่ออกจริงๆ จึงเขียนจดหมายพับเป็นนกกระเรียนกระดาษแล้วเสกคาถาส่งไปให้อวี้ฉังคง

ตระกูลขุนนางสันโดษอย่างตระกูลอวี้เก็บสะสมแผนภาพที่หลงเหลืออยู่เช่นนี้ ใครจะรู้ว่าจะมีการเก็บหนังสือหรือแผนภาพค่ายอาคมอย่างอื่นหรือไม่ หากหาได้ จะขอยืมดูสักหน่อยก็ไม่เป็นไร

แน่นอนว่าการส่งจดหมายในครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว ฉินหลิวซียังบอกอีกว่าอารามชิงผิงจะสร้างหอเก็บพระคัมภีร์ เอาไว้สำหรับเก็บตำราและมองทิวทัศน์จากที่สูง จะสร้างขึ้นมาอย่างไร้ประโยชน์ไม่ได้ จึงขอให้อวี้ฉังคงช่วยคัดลอกตำราอันล้ำค่าเหล่านั้นมาประดับหอ โดยเฉพาะตำราเกี่ยวกับศาสตร์ทั้งห้าของเสวียนเหมิน และตำราจำพวกวิชาฉีเหมินตุ้นจย่า[1]

นางไม่เพียงแต่ส่งจดหมายไปขอตำราจากอวี้ฉังคงเท่านั้น ซ้ำยังส่งให้เจียงเหวินหลิวและเหยียนฉีซาน และให้เถิงเจาส่งไปให้ท่านพ่อของเขาอีกหนึ่งฉบับ สรุปก็คือได้ส่งจดหมาย ‘ถามสารทุกข์สุกดิบ’ ไปให้ทุกเส้นสายที่ใช้ได้ แล้วยังได้กล่าวอีกว่ามีใจอยากจะเรียนรู้ แต่ไม่มีหนังสือให้เรียนรู้ จึงอยากจะขอความกรุณามอบหนังสือให้

เฟิงซิวหัวเราะนาง หอเก็บพระคัมภีร์ยังไม่ทันได้สร้างขึ้นมาก็ขอตำราก่อนแล้ว ตำแหน่งเจ้าอาวาสน้อยนี้ทำงานหนักสมตำแหน่งจริงๆ

ฉินหลิวซี “ใช้เงินสร้างอาคารจำนวนมาก แต่ไม่ได้สั่งตำราดีๆ มาเก็บไว้ ในภายภาคหน้าเมื่อคนจากอารามเต๋าอื่นมาเยี่ยมเยือน จะไม่หัวเราะจนฟันร่วงหรือ หนังสือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและอารยธรรมที่สำคัญตั้งแต่สมัยโบราณ คนรุ่นหลังจึงจะสามารถเรียนรู้วิชาความรู้และทักษะความสามารถได้ การพัฒนาอารามชิงผิง ไม่ใช่แค่หาแนวร่วมได้ก็พอแล้ว แต่คนผู้นั้นจะต้องมีความสามารถจึงจะรักษาหน้าไว้ได้ ไหนเลยจะเหมือนเจ้า รู้จักแต่วิธีอวดรูปลักษณ์ก็พอแล้ว”

เฟิงซิวโกรธ “ข้าขี้อวดหรือ ข้าคือบุรุษรูปงามที่สุดในใต้หล้า!”

ฉินหลิวซีหัวเราะในลำคอ “บุรุษรูปงามขโมยขุดไหสุราข้าไปสองไห ยังไม่ได้คิดบัญชีเจ้าเลย ไป ขึ้นเขาไปกับข้า”

เฟิงซิว “หนึ่งในนั้นเจ้าก็ดื่มเองไปแล้ว!”

“เป็นเจ้าที่บังคับให้ข้าดื่ม ผนึกโคลนถูกเปิดออกแล้ว จะไม่ให้ข้าดื่มได้อย่างไร!”

เฟิงซิว “?”

ข้าว่าทักษะไร้ยางอายของเจ้าดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นอีกแล้ว!

ฉินหลิวซีไม่สนใจเขา พาเขาขึ้นไปบนภูเขาสูงเพื่อทำงานหนัก หาผลหลิงกั่วอันล้ำค่าและวัตถุดิบยาหมักเหล้า เก็บหิมะที่สะอาดที่สุดจากยอดเขา ฝังน้ำหิมะไว้หลายไหเผื่อไว้ในยามจำเป็น

ในปีนี้ฉินหลิวซียังหมักเหล้าโสมอีกห้าไห แน่นอนว่าส่วนผสมหลักคือโสมของปีศาจโสมน้อย ทำเอาปีศาจโสมน้อยปิดตัวไม่ยอมออกมา ฝังอยู่ในดินไม่กล้าปรากฏตัวอีก กลัวว่าเส้นใยรากบนร่างกายจะถูกดึงจนไม่เหลือ อย่างไรเสียเวลาเทพอสูรน้อยน้อยโกรธขึ้นมานั้นก็ไม่ค่อยจะเหมือนคนสักเท่าไหร่

ชีวิตของฉินหลิวซีดูเหมือนจะเรียบง่ายธรรมดา แต่มีเพียงเฉินผีและคนอื่นๆ เท่านั้นที่รู้ว่าสิ่งที่นางทำนั้นมากกว่าปีที่แล้วไม่น้อย

อาณาเขตตระกูลอวี้

อวี้ฉังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงนั่งทำการโคจรมหาจักรวาล ทันใดนั้นหูของเขาก็กระดิกเล็กน้อย ราวกับได้ยินเสียงกระพือปีกของอะไรบางอย่าง เขาหันไปมอง ปรากฏว่ามีนกกระเรียนตัวน้อยสีเหลืองกระพือปีกอยู่ที่หน้าต่าง

เขาตาเป็นประกาย รีบเดินไปหาทันที เปิดหน้าต่างแล้วยื่นมือออกไป นกกระเรียนน้อยตัวนั้นตกลงบนมือของเขา จิกฝ่ามือเล็กน้อยแล้วก็ไม่ขยับแล้ว กลายเป็นนกกระเรียนกระดาษตัวหนึ่ง

อวี้ฉังคงปิดหน้าต่าง ลูบนกกระเรียนกระดาษอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คลี่มันออก จดหมายฉบับหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา

ฉังคง เห็นจดหมายก็เหมือนเห็นข้า…

อวี้ฉังคงอ่านจดหมายสองรอบ ราวกับเห็นภาพฉินหลิวซีเขียนจดหมายอยู่บนโต๊ะ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

“ซื่อฟัง”

ซื่อฟังเดินเข้ามาจากข้างนอกอย่างรวดเร็ว ถามว่า “คุณชาย ท่านเรียกบ่าวหรือขอรับ”

“ไปเอาน้ำมา ข้าจะไปหอเก็บตำรา”

ซื่อฟังรับคำ ไม่ช้าก็ตักน้ำมาปรนนิบัติเขาล้างหน้าแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่

อวี้ฉังคงพาเขาเดินไปที่หอเก็บตำรา แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับอวี้ลิ่งหลานที่นั่น

“พี่ใหญ่” อวี้ลิ่งหลานสวมชุดสีขาวนวลจันทร์พร้อมเสื้อคลุมสีแดงทึบ ใบหน้างดงาม หว่างคิ้วดูนุ่มนวล อ่อนโยนและสง่างาม

“น้องรอง”

อวี้ลิ่งหลานกล่าวว่า “พี่ใหญ่มาหอเก็บตำราอีกแล้วหรือขอรับ”

อวี้ฉังคงสีหน้าสงบนิ่ง กล่าวตอบรับเพียง “อืม”

เขาเดินเข้าไปข้างใน อวี้ลิ่งหลานอยู่ข้างหลังเขาพลางเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ หลังจากการสอบฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็ประจวบเหมาะกับวันฉลองพระราชสมภพพอดี คาดว่าในเมืองหลวงคงจะครึกครื้นเป็นอย่างมาก ข้าได้รับคำสั่งจากท่านปู่ เตรียมจะเดินทางไปเมืองหลวง เพื่อดูความสามารถอันโดดเด่นของลูกหลานต้าเฟิงสักหน่อย”

อวี้ฉังคงชะงักฝีเท้าอยู่ครู่หนึ่ง

คำพูดนี้ยังมีอีกหนึ่งความหมาย ก็คือลูกหลานตระกูลอวี้รุ่นของพวกเขานี้เตรียมจะออกสู่โลกภายนอกแล้ว

ความหมายของการออกสู่โลกภายนอกไม่ได้หมายความว่าจะไปเข้าร่วมการสอบฤดูใบไม้ผลิหรือแข่งขันจัดอันดับกับผู้คนเหล่านั้น แต่ไปเพื่อหาฮ่องเต้ในสายตาของพวกเขา เพื่อช่วยเหลือเขาให้บรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่

กล่าวอีกในหนึ่งคือต้าเฟิงใกล้จะแต่งตั้งรัชทายาทแล้ว

นี้เป็นการอนุมานของตระกูลอวี้เอง ฮ่องเต้รู้ชะตากรรม รัชทายาทยังไม่ได้รับการสถาปนา เป็นอันตรายต่ออาณาจักร หลังจากงานฉลองพระราชสมภพ เสียงการเรียกร้องแต่งตั้งรัชทายาทในราชสำนักก็จะเริ่มดังขึ้น และการต่อสู้ทางอำนาจระหว่างฝ่ายต่างๆ ก็จะยิ่งเข้มข้น

ตระกูลอวี้จึงต้องการเข้าร่วมในเวลานี้เพื่อแย่งชิงเป็นราชครูของฮ่องเต้

อวี้ฉังคงหันหน้าหนีเล็กน้อย เอ่ย “เช่นนั้นก็ขอให้น้องรองทุกอย่างราบรื่น”

อวี้ลิ่งหลานหัวเราะ เอ่ย “ข้าชอบที่จะได้ยินคำอวยพรว่าขอให้ประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่มากกว่า”

อวี้ฉังคงไม่ได้ตอบ กำลังจะเดินจากไป อวี้ลิ่งหลานก็กล่าวขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคว่า “พี่ชายใหญ่ ความจริงดวงตาของท่านหายดีแล้วกระมัง”

อวี้ฉังคงตกตะลึงแต่ไม่ได้หยุดฝีเท้า เดินเข้าไปในหอเก็บตำรา

“ข้าจะรอพี่ใหญ่มาเมืองหลวง”

ด้านนอกหอ เสียงของอวี้ลิ่งหลานดังเข้ามา

ซื่อฟังมองอวี้ฉังคงด้วยความกังวลเล็กน้อย “คุณชาย”

อวี้ฉังคงยกมือขึ้น เดินขึ้นไปชั้นสอง ยืนอยู่หน้าบานหน้าต่าง สายตาจับจ้องเล็กน้อย แล้วมองออกไป

อวี้ลิ่งหลานกำลังเดินออกจากหอเก็บตำรา ดูเหมือนว่าเขาจะรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง หันหลังกลับมา มองไปยังทิศทางที่อวี้ฉังคงยืนอยู่ ยกมุมปากขึ้น ใช้รูปปากกล่าวว่า “ข้าจะรอท่าน”

รอยยิ้มของเขาดูภาคภูมิใจเล็กน้อย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความชั่วร้าย

อวี้ฉังคงจ้องมองไปด้วยสายตาเรียบเฉย ในที่สุดก็เห็นรัศมีบนตัวของอวี้ลิ่งหลาน สีแดงราวกับเลือด ราวกับถูกหมอกเลือดห่อหุ้มไว้ ทำเอามองเห็นตัวเขาได้ไม่ชัดเจน และมองไม่ออก!

ทันใดนั้นก็แสบตาทั้งสองข้างเล็กน้อย

อวี้ฉังคงรีบหลับตาทันที บรรเทาความเจ็บปวดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อลืมตาอีกครั้งก็ไม่เห็นอวี้ลิ่งหลานแล้ว

“คุณชาย เป็นอะไรหรือไม่ขอรับ” เมื่อซื่อฟังเห็นว่าสีหน้าของอวี้ฉังคงไม่ค่อยดี จึงกล่าวด้วยความกังวล “ท่านสีหน้าซีดเล็กน้อยขอรับ”

“ไม่เป็นไร” อวี้ฉังคงกดบนหน้าอก รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็ว กล่าวว่า “ที่นี่ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าอยู่ปรนนิบัติ ไปหาลุงเฉียน ให้เขามาหาข้าตอนกลางคืน”

ซื่อฟังถอยออกไป

อวี้ฉังคงจับบานหน้าต่าง มองไปยังทิศทางที่อวี้ลิ่งหลานหายไป ดวงตาเริ่มเหม่อลอย ปากพึมพำชื่อของเขาออกมา “ลิ่งหลันตระกูลอวี้ เจ้าจะทำให้ใต้หล้านี้กลายเป็นอย่างไร”

[1] ฉีเหมินตุ้นจย่า วิชาวางกลยุทธ์เพื่อวางแผน เจรจาต่อรองทางธุรกิจ หรือเหตุการณ์ต่างๆ