เหล่าฉินขับรถม้าตรงไปยังประตูสองของจวนตงผิงปั๋ว
อาหมานพยุงเจียงอีลงจากรถและเข้าไปด้านใน
หญิงที่เฝ้าอยู่ที่ประตูทักทายด้วยรอยยิ้ม “อาหมาน คุณหนูสี่คงเหนื่อยมาก…”
ประโยคหลังของหญิงผู้นั้นขาดห้วงไปก่อนจะถูกแทนที่ด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ต้ากูไหน่ไนงั้นหรือ”
“ต้ากูไหน่ไนมิค่อยสบาย ข้าจะรีบพานางเข้าไปพักในเรือนไห่ถัง ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”
“ได้ๆ…” จนกระทั่งอาหมานพยุงเจียงอีเดินห่างไปไกลแล้ว นางเพิ่งจะตั้งสติได้
เหตุใดจู่ๆ ต้ากูไหน่ไนถึงกลับมาที่จวน อีกทั้งยังกลับมาในสภาพนี้เสียด้วย?
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หญิงรับใช้ก็รีบเข้าไปรายงานเฝิงเหล่าฮูหยิน
เมื่ออาหมานพยุงเจียงอีมาจนถึงหน้าประตูเรือนไห่ถัง ร่างกายของนางก็เพิ่งเริ่มกลับมาตอบสนอง นางรวบรวมกำลังชี้นิ้วไปทางเรือนฉือซิน
ในตอนนั้นน้ำหนักทั้งร่างของเจียงอีถูกถ่ายไว้บนร่างของอาหมาน แต่เพราะอาหมานเป็นคนคล่องแคล่ว นางจึงก้าวเท้าพาเจียงอีเข้าไปในไห่ถังอย่างไม่รั้งรอ
ทว่าที่เจียงอีชี้ไปทางเรือนฉือซินเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไรกัน
ไอ้หยา นางเป็นแค่เพียงสาวรับใช้ที่มีดีแค่แรงกาย หาได้เข้าใจสิ่งต่างๆ ไม่
เมื่อเฝิงเหล่าฮูหยินได้รับรายงานจากคนเฝ้าประตู อาการตะลึงพรึงเพริดของนางทำให้ทั้งร่างเกร็งตึง
ไม่แปลกที่เฝิงเหล่าฮูหยินจะรู้สึกตื่นตระหนก เพราะหลายเดือนมานี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน เมื่อเห็นว่าใกล้จะหมดปีแล้ว นางก็ได้แต่นึกขอบคุณสรวงสวรรค์ที่ผ่านไปอย่างราบรื่น
“ไปที่เรือนไห่ถังแล้วเชิญต้ากูไหน่ไนมาที่นี่”
อาฝูรีบไปยังเรือนไห่ถังตามคำสั่งของเฝิงเหล่าฮูหยิน ทว่าพบอาหมานที่ยืนเฝ้าอยู่ “ต้ากูไหน่ไนลุกไม่ขึ้น พี่อาฝูช่วยไปเรียนเฝิงเหล่าฮูหยินให้ที”
ในใจอาฝูคิดว่าเจียงอีที่ออกเรือนไปแล้วนับว่าอยู่ในฐานะแขก หากอยู่ในสถานการณ์ปกติคงไม่มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญให้ลุกขึ้นมาทักทาย นางจึงทำได้เพียงพาอาหมานกลับไปรายงานด้วย
ครั้นเฝิงเหล่าฮูหยินเห็นว่าเจียงอีมิได้มาด้วย คิ้วของนางก็ขมวดขึ้นเป็นปมพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ต้ากูไหน่ไนล่ะ”
เมื่อต้องเผชิญหน้าเฝิงเหล่าฮูหยิน ท่าทีอาจหาญของอาหมานในยามปกติก็ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว นางเพียงแต่ตอบอย่างฉะฉาน “พักอยู่ที่เรือนไห่ถังเจ้าค่ะ”
อาฝูกระซิบบอกข้างหูเฝิงเหล่าฮูหยินถึงอาการของเจียงอี
“มันเรื่องอะไรกัน”
อาหมานกะพริบตาปริบๆ “บ่าวก็มิทราบเจ้าค่ะ คุณหนูแค่ให้บ่าวพาต้ากูไหน่ไนกลับมาที่จวนก่อนเจ้าค่ะ”
อาฝูยืนกัดฟันอยู่ข้างๆ
อาหมานนี่มันปลิ้นปล้อนเสียจริง เมื่อครู่บอกว่าจะมารายงานเฝิงเหล่าฮูหยินด้วยตัวเอง แต่พอถามกลับตอบไม่รู้เสียได้
“แล้วคุณหนูสี่เล่า”
“คุณหนูอยู่กับนายท่านเจ้าค่ะ น่าจะใกล้กลับมาถึงแล้วเจ้าค่ะ” อาหมานตอบอย่างไม่แน่ใจนัก
เฝิงเหล่าฮูหยินหลับตาลง อดทนรอเจียงอันเฉิงกลับมา
ทันทีที่เจียงอันเฉิงกลับมาถึงก็รีบตรงมาที่เรือนฉือซิน ไม่ต้องรอให้เฝิงเหล่าฮูหยินออกปากถาม ผู้เป็นลูกก็รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ละเอียดยิบ
เมื่อเฝิงเหล่าฮูหยินฟังจบ นางก็โกรธจนมือสั่น “บุตรเขยออกไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่น เจ้าก็เลยพาลูกสาวตัวเองกลับมาที่จวนเนี่ยนะ”
“ท่านแม่ มันไม่ใช่แค่เรื่องการมีสัมพันธ์กับหญิงอื่น แต่จูจื่ออวี้วางแผนจะฆ่าอีเอ๋อร์!”
เฝิงเหล่าฮูหยินยกมือขึ้นด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง “นี่เป็นเพียงสิ่งที่พวกเจ้าคาดเดากันไปเอง พิสูจน์ได้ที่ไหนกัน อีกอย่างการที่องค์หญิงใหญ่หรงหยางออกปากและพาบุตรสาวกลับไปเช่นนั้นก็หมายความว่ามิต้องการมีความข้องเกี่ยวใดกับจวนจู แล้วผู้ใดจะมาทำให้ตำแหน่งของอีเอ๋อร์สั่นคลอนได้ เจ้าเล่นพานางกลับมาโดยไม่สนอะไรเยี่ยงนี้ ไม่คิดบ้างหรือว่าแล้วหลังจากนี้จะจัดการอย่างไรต่อ”
เจียงอันเฉิงประหลาดใจ “จะจัดการอย่างไร ลูกพาอีเอ๋อร์กลับมาก็แน่นอนว่าต้องหย่ากับจูจื่ออวี้อย่างไรล่ะ”
“ไม่ได้!” เฝิงเหล่าฮูหยินตวาด หญิงรับใช้ที่คอยปรนนิบัติรีบก้มหน้าลงทันที
เฝิงเหล่าฮูหยินลุกขึ้นพรวด และต่อว่าเจียงอันเฉิงอย่างเดือดดาล “อย่าแม้แต่จะคิด! รอให้ข้าตายก่อนเถอะ เจียงอีถึงจะได้หย่าขาดจากจูจื่ออวี้ ก่อนหน้านี้ก็เรื่องถอนหมั้นของหนูสี่ ตามมาด้วยการหย่าร้างของหนูรอง มาคราวนี้หนูใหญ่ก็ร้องจะหย่าอีก เหล่าต้า เจ้ายังเห็นคนในเมืองหลวงหัวเราะเยาะจวนปั๋วไม่พอหรืออย่างไร นี่ยังขายหน้ากันไม่พออีกหรือ”
เสียงหัวเราะอย่างเย็นชาดังขึ้น
ทุกสายตาหันไปมองต้นเสียงนั้นโดยพลัน
เพราะเสียงหัวเราะของเจียงซื่อ อารมณ์ของเฝิงเหล่าฮูหยินจึงปะทุหนักกว่าเก่า นางย้ำถามทีละคำ “เจียงซื่อ เจ้าหัวเราะอะไรของเจ้า”
เจียงซื่อก้าวเท้าเข้าไปยืนใกล้ๆ เฝิงเหล่าฮูหยิน ท่าทางยังคงไม่สะทกสะท้าน “ที่หลานหัวเราะก็เพราะมีเรื่องตลกอย่างไรล่ะเจ้าคะ!”
เฝิงเหล่าฮูหยินยกไม้เท้าขึ้น “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
เจียงจั้นจ้องไปที่เฝิงเหล่าฮูหยินอย่างระแวดระวัง หากไม้เท้านั้นเตรียมจะพุ่งไปที่น้องสี่ เขาก็พร้อมจะเข้าไปแย่งมาทันที
เจียงซื่อมิได้ใส่ใจไม้เท้านั่นเลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงยังคงใสแจ๋ว “หลานถอนหมั้นก็เป็นเพราะจี้ซานแห่งอันกั๋วกงหนีตามหญิงอื่นไป ส่วนที่พี่รองหย่าร้างก็เนื่องด้วยฉังซิงโหวซื่อจื่อเป็นฆาตกรสังหารหญิงบริสุทธิ์ การที่ท่านพ่อให้พี่ใหญ่หย่าขาดจากจูจื่ออวี้ก็เนื่องด้วยเขาลอบมีสัมพันธ์สวาทกับบุตรีขององค์หญิงใหญ่ และวางแผนลอบฆ่านาง ท่านย่า คนในเมืองหลวงจะหัวเราะเยาะก็เรื่องของเขา อย่างไรเสียพวกข้าก็เป็นเหยื่อ จะขายหน้าได้อย่างไร”
“จะขายหน้าได้อย่างไร?” เมื่อเฝิงเหล่าฮูหยินได้ฟังคำวิพากษ์อย่างตรงไปตรงมาของหลานสาวก็โกรธจนแทบคลั่ง “ใครใช้ให้พวกเจ้ามาเกิดเป็นสตรีกันเล่า โลกนี้มิได้มีเหตุมีผลนักหรอกนะ พวกเจ้าคิดว่าฝ่ายชายจะตกเป็นขี้ปาก ส่วนฝ่ายหญิงนั้นสะอาดผุดผ่อง หากเป็นเช่นนั้นจริง ไฉนจวบจวนบัดนี้แล้วยังไม่มีผู้ใดมาสู่ขอเจ้าอีกล่ะ”
“ท่านแม่!” เจียงอันเฉิงไม่นึกว่าผู้เป็นย่าจะเอ่ยวาจาหยายคายกับหลานสาวในไส้ เขาจึงโพล่งออกไปว่า “ใครบอกว่าไม่มีคนมาสู่ขอ มี เพียงแต่ลูกยังไม่ถูกใจจึงปฏิเสธไปต่างหากเล่า”
เฝิงเหล่าฮูหยินเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้คำตอบเช่นนี้กลับมา ความตกใจนั้นทำให้ลืมเรื่องของเจียงอีไปเสียสนิท นางหันมาจ้องลูกชาย “ตระกูลไหนมาสู่ขอ”
เจียงอันเฉิงเสียใจที่เอ่ยออกไปเช่นนั้น เขายกมือขึ้นลูบจมูก
ในเมื่อปฏิเสธข้อเสนอไปแล้ว การเอามากล่าวถึงเช่นนี้จะเป็นการไม่รักษาน้ำใจ
เฝิงเหล่าฮูหยินส่งเสียงเย้ยหยันแต่คร้านจะบ่นออกมา
นางคิดว่าบุตรคนโตทำเช่นนี้เพื่อมิให้บุตรสาวต้องเสียหน้า
แต่ดูเหมือนว่าเสียงเย้ยหยันนั้นจะประสบความสำเร็จอยู่พอตัว
เจียงอันเฉิงโบกมือเป็นเชิงให้บรรดาบ่าวรับใช้ออกไปจากห้อง ผู้เป็นบิดามิได้สนใจสายตาห้ามปรามของบุตรสาว แต่กลับยิ้มพลางเอ่ย “ข้าไม่เคยบอกท่านแม่ว่าตระกูลเจินมาขอซื่อเอ๋อร์เมื่อไม่นานมานี้”
“ตระกูลเจินไหนกัน” เฝิงเหล่าฮูหยินนึกถึงใครคนหนึ่งจึงย้ำถามเพื่อความแน่ใจ
ไม่มีทาง ไม่มีทางเป็นตระกูลเจินนั้นแน่ๆ!
“ก็ต้องเป็นใต้เท้าเจิน ผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนคร เขามาสู่ขอซื่อเอ๋อร์ให้บุตรชายคนโต” เมื่อได้กล่าวออกมา เจียงอันเฉิงก็รู้สึกภาคภูมิใจอยู่ประมาณหนึ่ง “ท่านแม่คงได้ยินเรื่องบุตรชายคนโตของใต้เท้าเจินมาบ้างแล้ว เขาก็คือเจี้ยหยวนหลาง[1]ของการสอบชิวเหวยในปีนี้”
ทั้งเจียงจั้นและเฝิงเหล่าฮูหยินต่างก็อ้าปากค้างไปตามๆ กัน
น้องสาวของเขาไปเข้าตาใต้เท้าเจินตั้งแต่เมื่อไหร่กัน และทีนี้เขาจะคอยคุ้มกันได้อย่างไร
ทว่าฝ่ายเฝิงเหล่าฮูหยินกลับตอบสนองอีกแบบ “เหล่าต้า เจ้าพูดเล่นอะไรของเจ้า”
“ท่านแม่ เรื่องแบบนี้จะเอามาพูดเล่นได้อย่างไร หากนี่ไม่ใช่เรื่องจริง และเรื่องนี้หลุดลอดออกไป ลูกจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
เมื่อได้ยินเจียงอันเฉิงกล่าวเช่นนั้น เฝิงเหล่าฮูหยินก็เริ่มเชื่อแล้วกว่าครึ่ง นางหันไปพิศมองเจียงซื่อด้วยความสงสัย ความตกตะลึงทำให้นางเผลอพูดสิ่งที่คิดในใจออกไป “ใต้เท้าเจินไปถูกใจอะไรหนูสี่”
————————-
[1]เจี้ยหยวนหลาง คือคนที่สอบได้เป็นอันดับที่หนึ่ง หรืออันดับสูงสุดในการสอบระดับมณฑล