“เจ้ามีอะไรดี” เฝิงเหล่าฮูหยินร้อนใจ
เจียงซื่อตอบอย่างจริงจัง “งดงามไร้ที่ติเจ้าค่ะ”
ฮิๆ เจียงจั้นหลุดหัวเราะ
เฝิงเหล่าฮูหยินผงะไปชั่วครู่ก่อนจะโกรธจนปากสั่น “หนูสี่ นี่คือวาจาที่สตรีควรพูดงั้นหรือ การจะเลือกภรรยา สิ่งที่เหล่าตระกูลสูงศักดิ์ให้ความสำคัญคือต้องเป็นสตรีที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมจรรยา รูปกายภายนอกหาได้สำคัญไม่ เจ้าไม่รู้หรือว่า หากคนอื่นมาได้ยินเข้าจะหัวเราะเยาะกันขนาดไหน”
“เจ้าค่ะ ที่ท่านย่าพูดก็มีเหตุผล เช่นนั้นก็แสดงว่าสกุลเจินคงเห็นว่าหลานเป็นสตรีที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมจรรยา เห็นได้ชัดว่าตระกูลสูงศักดิ์ที่แท้จริงคงไม่มีปัญหาในการแยกแยะ ไม่ใช่พวกที่เห็นว่าฝ่ายชายมีความผิด แต่กลับมาดูแคลนฝ่ายหญิงที่มิได้มีความผิดใด”
สีหน้าของเฝิงเหล่าฮูหยินเปลี่ยนไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายนางจึงเอ่ยถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “เหล่าต้า เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกข้าเรื่องที่ตระกูลเจินมาสู่ขอ”
“ข้าเห็นว่ามิได้ตอบตกลง จึงมิได้เรียนให้ท่านแม่ทราบ”
เฝิงเหล่าฮูหยินยกไม้เท้าขึ้นและกระแทกเข้าที่เท้าของบุตรชายอย่างแรง “เจ้าเป็นมารผจญหรืออย่างไร”
เจียงอันเฉิงขมวดคิ้ว “ท่านแม่ ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ใต้เท้าเจินเป็นถึงขุนนางขั้นสาม ทั้งยังเป็นที่โปรดปราน อีกทั้งบุตรชายของเขาก็โดดเด่นไม่ย่อหย่อนไปกว่าบิดา ได้เป็นเจี้ยหยวนหลางตั้งแต่อายุยังน้อย หลังการสอบในฤดูใบไม้ผลิหน้าก็คงได้ขึ้นเป็นจิ้นซื่ออย่างไม่ต้องสงสัย คุณสมบัติคู่ครองดีเลิศปานนี้เจ้าปฏิเสธได้อย่างไร”
เจียงอันเฉิงชำเลืองมองไปที่เจียงซื่อแวบหนึ่ง ในใจเขาก็อยากจะตอบตกลง เพียงแต่บุตรสาวไม่เห็นด้วยจะทำอย่างไรได้
แต่แน่นอนว่าเขาไม่สามารถบอกเหตุผลที่แท้จริงออกไป เจียงอันเฉิงจึงกระแอมไอเบาๆ “นี่ยังไม่นับว่าดีเลิศ ยามมีบุตรสาว ตระกูลไหนๆ ก็ต่อแถวมาสู่ขอกันทั้งนั้น นี่มีมาสู่ขอแค่ตระกูลเดียวจะตอบตกลงในทันทีได้อย่างไร ก็ต้องค่อยๆ ดูกันไป”
เจียงจั้นพยักหน้าเห็นด้วย
ท่านพ่อพูดถูก กว่าน้องสี่หลุดรอดจากขุมไฟนั้นมาได้ การจะยกให้ตระกูลใดไปก็ต้องดูให้ถี่ถ้วนเสียก่อน จะว่าไปแล้ว หากต้องหาสามีให้น้องสี่สักคน เขาก็คิดว่าพี่อวี๋ชีดีกว่าบุตรชายของใต้เท้าเจินเสียอีก
เขาถูกใจพี่อวี๋ชี!
“โง่เง่า!” มือของเฝิงเหล่าฮูหยินที่กำไม้เท้าสั่นสะท้าน ใจอยากจะเปิดกะโหลกลูกชายออกมาดึงสติให้รู้แล้วรู้รอด
ยามมีบุตรสาว ตระกูลไหนๆ ก็มาต่อแถวสู่ขอ แต่ก็ต้องดูว่าตระกูลที่มาสู่ขอเป็นใครมาจากไหน ในเมื่อคนจากสกุลเจินมาก่อน เหตุใดยังต้องสนใจคนข้างหลังอีกเล่า
“เจ้าตอบปฏิเสธไปว่าอย่างไร” เฝิงเหล่าฮูหยินถามอย่างไม่ลดละ
“ข้าบอกไปว่า ลูกยังเด็ก ตั้งใจว่าจะรออีกหน่อย”
“รออะไรของเจ้า!” เฝิงเหล่าฮูหยินทนไม่ได้จนต้องเอาไม้เท้าทักทายร่างของบุตรชายดูสักที “เจ้าไปบอกตระกูลเจินเลยว่า ตกลงยอมรับข้อเสนอ!”
“ท่านแม่…”
เฝิงเหล่าฮูหยินค่อยๆ สงบลง นางมองไปที่เจียงซื่อด้วยสายตาพิจารณา “หากว่าเรื่องสมรสกับตระกูลเจินสำเร็จ ข้าก็จะยอมให้หนูใหญ่หย่ากับตระกูลจู!”
จูจื่ออวี้และคุณหนูชุยถูกผู้คนล้อมไว้มากมายเช่นนั้น ต่อให้ปิดเรื่องนี้อย่างไรก็คงปิดไม่มิด สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการสอบขุนนางคือชื่อเสียง หากก่อเรื่องฉาวโฉ่เช่นนี้แล้ว อนาคตของจูจื่ออวี้คงพังไม่เป็นท่า
และเมื่อเป็นเช่นนี้ การจะตัดสัมพันธ์กับตระกูลจูก็มิใช่เรื่องน่าเสียดายแต่อย่างใด อย่างมากที่สุดก็คือชื่อเสียงของเหล่าคุณหนูทั้งหลายต้องด่างพร้อยเท่านั้น
แต่ก็แน่นอนว่าชื่อเสียงเหล่านั้นเทียบไม่ได้กับประโยชน์ที่จะได้รับจากการแต่งงานกับตระกูลเจิน
“ท่านแม่ นั่นมันคนละเรื่องกัน ลูกไม่ตกลง!”
เฝิงเหล่าฮูหยินกวาดตามองใบหน้าของเจียงซื่อด้วยสายตาเย็นชาหนหนึ่ง ตั้งแต่หว่างคิ้วคู่งามไล่ไปถึงรอยหยักบนริมฝีปาก “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะส่งหนูใหญ่กลับจวนจู เหล่าต้า เจ้าคงลืมไปแล้วว่าข้าเป็นมารดาของเจ้า เจ้าจะเป็นลูกอกตัญญูงั้นหรือ”
ในต้าโจว ป้ายแปะคำว่า ‘อกตัญญู’ เพียงพอที่จะทำให้คนๆ หนึ่งไม่อาจเงยหน้าในสังคมได้อีกต่อไป
ก่อนยุคสมัยต้าโจว ผืนแผ่นดินนี้เคยถูกปกครองโดยเชื้อชาติอื่น หลักปกครองแผ่นดินด้วยความกตัญญูตั้งแต่อดีตกาลจึงเลือนหายไป จนมาถึงช่วงต้นของต้าโจว หลักความกตัญญูนี้ถูกฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง โดยให้ยึดว่าความกตัญญูกตเวทีถือเป็นรากฐานของจารีตประเพณีทั้งปวง
หากบุคคลใดถูกตราหน้าว่าเป็นคนอกตัญญู มิต้องเอ่ยถึงการรับราชการ แค่การเป็นคนธรรมดาเดินดินยังมิวายถูกคนดูหมิ่น หนำซ้ำทายาทที่เกิดจากเขาเหล่านั้นจะถูกดูแคลนเสียยิ่งกว่า
เพราะหากคนๆ หนึ่งไม่กตัญญูต่อบุพการีแล้ว จะอบรมบุตรหลานให้ดีได้อย่างไร
จริงอยู่ที่คนอกตัญญูมีอยู่ดาษดื่น เพียงแต่ว่าผู้เป็นบิดามารดาก็มักจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเพื่อวงศ์ตระกูลและลูกหลาน ไม่อาจแพร่งพรายให้คนภายนอกได้รู้เป็นอันขาด
เฝิงเหล่าฮูหยินยกเรื่อง ‘กตัญญู’ ขึ้นมาบีบบังคับเจียงอันเฉิงให้ยอมจำนน นั่นทำให้ผู้เป็นลูกชายทั้งสิ้นหวังและทุกข์ใจในคราเดียวกัน เขามองผู้เป็นมารดาด้วยสายตาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินพลางพึมพำ “ท่านแม่ ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้…”
ในยามนี้เขาไม่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของตงผิงปั๋ว แต่ทว่าลูกๆ ของเขาจะทำอย่างไร การเป็นบิดาของเขาไร้ความสามารถมากพออยู่แล้ว ฉะนั้นเขาไม่ควรทำให้บุตรทั้งหลายต้องมาพลอยตกระกำลำบากเพียงเพราะชื่อเสียงของตนเอง
เฝิงเหล่าฮูหยินลืมตาก่อนจะเอ่ย “ข้าจะทำ!”
เจียงซื่อมองดูผู้เป็นย่าบีบบังคับบิดาของตนด้วยสายตาเย็นเยียบพลางขบริมฝีปาก
โลกนี้ช่างน่าขันสิ้นดี ฝ่ายที่รู้สึกรักน้อยกว่าย่อมได้เปรียบกว่า อย่างลูกที่ยอมฟังพ่อแม่ไปเสียทุกเรื่อง เหมือนอย่างท่านย่าและท่านพ่อในเวลานี้
“หลานไม่ต้องการเช่นนั้นเจ้าค่ะ” เจียงซื่อเอ่ยเสียงเรียบ
เฝิงเหล่าฮูหยินที่กำลังงัดง้างกับบุตรชายคนโตหาไปหานาง และเกือบจะหลุดหัวเราะเยาะออกมาเพราะความไม่หวั่นเกรงสิ่งใดของเจียงซื่อ หญิงชราเอ่ยว่า “หนูสี่ เรื่องนี้มิได้ตัดสินจากความต้องการของเจ้า เด็กอย่างเจ้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
เฝิงเหล่าฮูหยินไม่พอใจอย่างยิ่งยวด ทว่านางยังคงดึงหน้าขรึม และข่มไฟแค้นเอาไว้ในใจ
ไม่ว่าปากนางจะบอกอย่างไร นางก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เจียงซื่อพูดนั้นถูกต้องว่า สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของนางคือใบหน้าแฉล้มนี้แหละ
สำหรับคนที่ยังมีประโยชน์ต่อนาง นางก็ยอมอดทนรออย่างใจเย็น
เจียงซื่อทราบความคิดของเฝิงเหล่าฮูหยินได้อย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่ต้น
ในความคิดของท่านย่าคงเห็นแต่เรื่องผลประโยชน์ การรับมือกับคนเช่นนี้มิใช่เรื่องยากเย็นอะไร เพียงแค่ต้องตัดสิ่งที่ไร้ประโยชน์ทั้งหลายแหล่ทิ้งไป และยกแต่เรื่องผลประโยชน์มาคุยกันเท่านั้น
“หลานไม่ใคร่จะคุยเรื่องการแต่งงานหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่คิดว่าท่านย่าดูแคลนหลานมากเกินไปเท่านั้นเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินหรี่ตาพลางมองไปที่เจียงซื่อ
เจียงซื่อหันมาสบตากับผู้เป็นย่าก่อนจะยิ้มร่าพลางเอ่ย “ท่านย่าคงคิดว่านอกจากตระกูลเจินแล้ว หลานจะไม่มีทางได้ออกเรือนไปอยู่กับตระกูลที่ดีกว่านี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
รอยยิ้มนั้นทำเอาเฝิงเหล่าฮูหยินเกือบจะเคลิ้ม เพราะจู่ๆ นางก็อดทนฟังเสียอย่างนั้น ทว่าในความคิดของนางก็ยังมองว่า สิ่งที่หลานสาวพูดช่างไร้สาระ “เจ้าคิดว่าตัวเองมีโอกาสจะได้ออกเรือนไปอยู่กับตระกูลที่ดีกว่าตระกูลเจินงั้นรึ”
“ท่านย่า เช่นนั้นเรามาพนันกันดีไหมเจ้าคะ”
“พนันอะไรของเจ้า”
“ก็พนันว่าหลานจะได้ออกเรือนไปอยู่ในตระกูลที่ดีกว่าตระกูลเจินหรือไม่ ถ้าหากไม่แล้วหลานก็จะยอมเชื่อฟังตามที่ท่านย่าสั่ง แต่แน่นอนว่าเรื่องของพี่ใหญ่ต้องให้ท่านพ่อเป็นคนจัดการ ท่านย่าห้ามเข้ามาแทรกแซงเด็ดขาด”
เฝิงเหล่าฮูหยินจ้องเขม็ง คิ้วของนางขมวดมุ่นเป็นปมแน่น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบออกมา “หนูสี่ แล้วที่เจ้าบอกว่าจะออกเรือนไปอยู่ในตระกูลที่ดีกว่าตระกูลเจินจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่กัน หากไม่มีกรอบเวลาตายตัว สิ่งที่ตกลงวันนี้จะไม่เป็นเพียงคำโกหกพกลมหรือ”
“อย่างช้าที่สุดคือปีหน้าเจ้าค่ะ ท่านย่าอยากพนันไหมล่ะเจ้าคะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินจ้องเจียงซื่ออยู่นานก่อนจะผงกศีรษะรับ “งั้นข้าจะคอยดู”
แค่ปีเดียวเท่านั้น นางรอได้อยู่แล้ว
เจียงซื่อผุดยิ้ม “ให้ท่านพ่อและพี่รองเป็นพยานก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
ตอนนี้นางอยู่ในถ้ำเสือ การจะย้ายไปอยู่ในถ้ำเสืออีกตัวจะต่างอะไร ยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อถึงเวลานั้นแล้วจะมีคนเดินไปกับนางด้วย
เจียงซื่อคิด ที่แท้แล้วการตัดสินใจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที