ตอนที่ 122-1 จิ่งอวิ๋นกลับมาแล้ว

จูเอ๋อร์ซุกซน เหยียบเข้าไปครั้งนี้ไม่เบาไม่หนัก แต่ทำเอาร่างน้อยๆ ของเด็กน้อยถูกเหยียบจนเกือบจะตัวงอ ทว่าเด็กน้อยกลับสำลักน้ำคำหนึ่งออกมาเพราะเหตุนี้

หมอพเนจรได้ยินเสียงจึงวางสมุนไพรในมือแล้วหันกลับไปมองจูเอ๋อร์ จากนั้นดุเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อย “ซุกซนอีกแล้วใช่หรือไม่”

จูเอ๋อร์แผ่นแผล็วออกจากถ้ำ ขนม้านั่งน้อย (ก้อนหิน) ตัวหนึ่งมานั่งตรงปากถ้ำ มองหมอพเนจรอย่างซุกซน

หมอพเนจรไม่สนใจจูเอ๋อร์ เขารวบรวมฟืนแห้งจากบริเวณใกล้ๆ แล้วใช้ตะบันไฟจุดไฟ ก่อกองไฟน้อยขึ้นมากองหนึ่ง

แสงจากเปลวเพลิงส่องถ้ำอันมืดสลัวให้สว่างไสว จูเอ๋อร์ชอบแสงสว่าง มันวิ่งเข้ามาวนเวียนภายในถ้ำ แลบลิ้นใส่กองไฟ แล้วก็หวาดกลัวจนวิ่งออกไปอีก

หมอพเนจรถอดเสื้อผ้าของเด็กน้อยมาตากบนราวไม้หน้ากองไฟ หลังจากนั้นจึงหยิบเสื้อผ้าสะอาดชุดหนึ่งจากในห่อผ้าของตนสวมให้เด็กน้อย

เด็กตัวเล็กและผอมแห้งอยู่เล็กน้อย ยามอุ้มจึงเบาหวิวหนักกว่าจูเอ๋อร์เพียงนิดเดียว

เครื่องหน้าของเขางดงามอย่างยิ่ง ผิวก็ขาวผ่อง ขนคิ้วคมเข้ม ขนตาหนาเป็นแพ จมูกกระจิดริด ปากกระจุ๋มกระจิ๋ม หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเด็กหญิงตัวน้อยผู้หน้าตาดุจเทพธิดาคนหนึ่ง

เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าของเด็กน้อยเสร็จแล้ว หมอพเนจรก็หยิบหม้อต้มยากับถุงน้ำออกมาจากตะกร้าที่ตนสะพายอยู่บนหลัง เขาใส่สมุนไพรลงไปแช่ในหม้อ จากนั้นใช้เหล็กเส้นหนึ่งเกี่ยวหูสองข้างของหม้อแล้วแขวนปลายอีกฝั่งไว้กับราวไม้เหนือกองไฟ กองไฟน้อยลุกไหม้อยู่ใต้หม้อ ไม่นานกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรก็ลอยอบอวลทั่วโถงถ้ำ

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดสลัว แสงอัสดงสายสุดท้ายลาลับไปจากเส้นขอบฟ้า

จักจั่นในภูเขาร้องไม่หยุด

จูเอ๋อร์เริ่มรำคาญจึงปีนขึ้นไปจับจักจั่นลงมาหลายตัว แล้วถือกลับมาส่งให้หมอพเนจร

หมอพเนจรถามว่า “คืนนี้เจ้าอยากกินสิ่งนี้หรือ”

จูเอ๋อร์น้ำลายไหล

หมอพเนจรใช้ไม้จิ้มฟันเสียบจักจั่นแล้วราดด้วยน้ำซีอิ๋วเสร็จ จูเอ๋อร์ก็ฉกไปไว้ในมือ สวาปามคำละตัวจนแก้มพองเป็นลูก

อาหารเย็นของหมพเนจรเรียบง่ายยิ่งนัก สุราหนึ่งกา ผลไม้ป่าที่เก็บได้ระหว่างทางสองสามลูก เนื้อกระต่ายป่าตากแห้งหนึ่งชิ้น เนื้อกระต่ายดูแล้วไม่น่าจะอร่อยนัก รสชาติก็เป็นดังหน้าตา แต่หมอพเนจรชินแล้ว เขากัดเนื้อกระต่ายคำหนึ่ง ดื่มสุราเผ็ดร้อนคำหนึ่ง ท้องก็อุ่นร้อนเหมือนถูกเผา

กลิ่นหอมของยาเข้มขึ้นเรื่อยๆ เขาขยับหม้อไปด้านข้าง แล้วพรากฟืนหลายท่อนจากกองไฟ ทำให้กองไฟกองใหญ่กลายเป็นกองไฟน้อย จากนั้นต้มยาในหม้อต่อ

จูเอ๋อร์กินจักจั่นเสร็จก็กระโดดมาอยู่ตรงหน้าหมอพเนจร น้ำลายไหลยืดมองเนื้อในมือเขา

หมอพเนจรจึงบอกว่า “เจ้ากินไม่ได้ เผ็ด”

จูเอ๋อร์แสร้งทำทางเหมือนเผ็ดอย่างยิ่ง แล้วล้มลงไปนอนแกล้งตายบนพื้น

หมอพเนจรกินเนื้อกระต่ายหมดก็หันไปมองเด็กน้อยบนกองฟางแห้ง แล้วอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาป้อนผลไม้ป่าคำหนึ่ง แต่เด็กน้อยสลบอยู่จึงกินอาหารไม่ได้ เขาจึงวางเด็กน้อยลงอีกหน

เวลานี้ต้มยาได้พอประมาณแล้ว หมอพเนจรจึงรินออกมาถ้วยหนึ่ง รอจนอุณหภูมิเหลือเพียงอุ่นๆ แล้วจึงอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขน บีบปากของเด็กน้อยป้อนยาให้เขาทีละช้อน

สายฝนกลางภูเขามักมาเยือนโดยไม่มีลางบอก น้ำฝนเม็ดโตเทกระหน่ำลงมาจากท้องนภา ร่วงลงกระทบภูเขา ตกต้องกระทบใบไม้สีเขียวขจี จักจั่นเงียบเสียง วิหคหุบปีก ภูเขาเงียบสงัดอย่างฉับพลัน หลงเหลือเพียงเสียงฝนซู่ซ่ากับเสียงกองไฟดังเปรี๊ยะเป็นระยะ

จูเอ๋อร์เก็บม้านั่งที่เปียกโชกเข้ามาในถ้ำ แล้วผิงไว้ข้างกองไฟเลียนแบบหมอพเนจร

เสื้อผ้าเปียกชื้นบนราวไม้เหนือกองไฟมีควันขาวลอยขึ้นมา

จูเอ๋อร์มองอย่างสงสัยใคร่รู้ ดวงตากับปากเบิกจนกลมบ๊อก

หมอพเนจรย้ายกองฟางเข้าไปด้านในไม่ให้ถูกน้ำฝนสาดใส่ เด็กน้อยอยู่ในอ้อมแขนเขาตั้งแต่ต้นจนจบ ดวงตาของเด็กปิดสนิท ลมหายใจแผ่วเบา

การค้นหาในทะเลสาบดำเนินไปจนกระทั่งฝนห่าใหญ่มาเยือน เมืองหลวงแห้งแล้ง ไม่มีฝนมานานแล้ว แต่วันนี้จู่ๆ ฝนหลังแล้งก็ตกลงมา ชาวบ้านทั้งหลายโห่ร้องด้วยความยินดี

แต่เฉียวเวยกลับยิ้มไม่ออก อากาศแห้งยังหาร่องรอยของลูกชายไม่พบ หากฝนตกลงมาย่อมยากกว่าเดิม

เป็นอย่างที่นางคิด คนที่หวังดีมาช่วยเหลือไม่น้อยถูกสายฝนห่าใหญ่บีบให้ขึ้นฝั่ง

เฉียวเวยยืนอยู่กลางสายฝน นิ้วกำราวกั้นแน่น สายตาหม่นแสงราวกับบึงน้ำขัง

ชีเหนียงกางร่มเดินเข้ามา “ฮูหยิน ท่านเข้ามาก่อนเถิด ข้าจะดูตรงนี้ให้”

เฉียวเวยไม่ขยับ

ชีเหนียงจึงเอ่ยต่อ “วั่งซูไม่ยอมทานอาหาร บอกว่าจะรอท่าน”

แพขนตาของเฉียวเวยกระพือไหว แล้วหันกลับไปมองในห้อง เห็นลูกสาวนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ แสงเทียนสลัวล้อมรอบตัวนาง ร่างเล็กจ้อยของนางอยู่ท่ามกลางห้องใหญ่โตแลดูเปล่าเปลี่ยวเล็กน้อย

เฉียวเวยหมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง

วั่งซูเรียกเสียงเบา “ท่านแม่”

เฉียวเวยนั่งลงด้านข้างแล้วลูบศีรษะของนาง “เหตุใดไม่กินข้าว”

วั่งซูก้มหน้าตอบว่า “ข้าอยากรอท่านแม่กับท่านพี่มากินด้วยกัน”

หัวใจของเฉียวเวยขมปร่า ไม่อยากจะคิดว่าตั้งแต่ลูกชายตกน้ำเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว อยู่ในน้ำนานเช่นนี้ โอกาสรอดกลับมายังเหลืออีกเท่าใด

เฉียวเวยข่มกลั้นหยดน้ำที่แผดเผาอยู่ในเบ้าตา แล้วส่งตะเกียบคู่หนึ่งให้วั่งซู “พี่ชายกินข้าวอยู่ข้างนอก พวกเรากินกันก่อน”

“ถ้าเช่นนั้น ท่านพี่จะกลับมาใช่หรือไม่เจ้าคะ” วั่งซูถามอย่างระมัดระวัง

ลำคอของเฉียวเวยแสบร้อนพูดไม่ออก

วั่งซูหลุบตาลง “ข้าจะไม่แกล้งท่านพี่อีกแล้ว ให้ท่านพี่กลับมาเถิด ข้ารับรองว่าหากข้ามีของอร่อยจะให้ท่านพี่กินทั้งหมด ข้าจะไม่โยนสบู่ใส่ท่านพี่อีกแล้ว ข้าจะไม่ขโมยไข่มุกของท่านพี่แล้วด้วย แล้วข้าก็จะยกเสี่ยวไป๋ให้ท่านพี่กอด ข้าจะไม่ให้ท่านพี่ช่วยข้าทำการบ้านแล้ว ข้ากินข้าวน้อยลงหน่อยก็ได้ ข้าอยากให้ท่านพี่กลับมา”

เฉียวเวยแหงนหน้า ฝืนกลั้นน้ำตาในดวงตา ดึงลูกสาวเข้ามากอด “พี่ชายจะต้องกลับมา ต้องกลับมาแน่”

จีหมิงซิวค้นหาในน้ำไม่ประสบผล เมื่อฝนห่าใหญ่ตกลงมา เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงว่ายน้ำมาข้างตัวเขา แม้จะเป็นผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ แต่ตรากตรำอยู่ในน้ำมานานเช่นนี้ก็รู้สึกยากจะทานทนอย่างยิ่ง “นายน้อย ท่านขึ้นฝั่งก่อนเถิด ข้าจะส่งคนลงมาตามหาอีก”

“ไม่ต้องแล้ว”

“นายน้อย?” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตะลึง “ท่าน ท่านอย่าเพิ่งหมดหวังสิ คนเป็นต้องเห็นตัว คนตายต้องเห็นศพ…”

จีหมิงซิวหรี่ตาลง “เขาน่าจะไม่อยู่ในน้ำแล้ว”

“อา…” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยบื้อใบ้

จีหมิงซิวว่ายขึ้นฝั่ง น้ำฝนร่วงกระทบหัวไหล่เกิดเสียงแผ่วเบา

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขึ้นฝั่งตามมาติดๆ แล้วถามอย่างไม่เข้าใจ “ไม่อยู่ในน้ำแล้วหมายความว่าอย่างไร มีคนหาเขาพบแล้วหรือ คงมิใช่ยิ่นอ๋องกระมัง”

จีหมิงซิวสีหน้าเครียดขรึมตอบว่า “ข้ากลับอยากให้เป็นเขา”

ยิ่นอ๋องคิดว่าจิ่งอวิ๋นเป็นบุตรชายแท้ๆ ของเขามาตลอด เวลานี้หากเขาหาจิ่งอวิ๋นพบกลับมิใช่เรื่องเลวร้าย กลัวก็แต่จิ่งอวิ๋นถูกน้ำในทะเลสาบซัดไปขึ้นฝั่ง เกยตื้นอยู่ในที่รกร้างไม่มีคน ถ้าเช่นนั้นคงโชคร้ายมากกว่าโชคดี

หรือบางทีเขาแช่อยู่ในน้ำนานปานนั้น อาจเกิดเรื่องร้ายไปแล้ว

ไม่นานยิ่นอ๋องก็ขึ้นฝั่งมาด้วย แต่เขากับจีหมิงซิวอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำ จีหมิงซิวอยู่ฝั่งตะวันออก เขาอยู่ฝั่งตะวันตก

ทั้งสองคนสบตากันจากไกลๆ ต่างฝ่ายต่างมองเห็นความสิ้นหวังในแววตาของกันและกัน

ยิ่นอ๋องก็คิดเช่นเดียวกับจีหมิงซิว เขายินดีให้จิ่งอวิ๋นถูกศัตรูคู่แค้นของตนช่วยไว้ ดีกว่าฝังร่างอยู่ใต้ทะเลสาบอันหนาวเย็นแห่งนี้

สิ่งที่ทำให้เขาสิ้นหวังก็คือ จีหมิงซิวก็หาสิ่งใดไม่พบเช่นกัน

“ท่านอ๋อง ท่านพักสักประเดี๋ยวเถิด ข้าน้อยจะไปหาเอง” อามั่วเอ่ยอย่างกังวล ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องถูกจีหมิงซิวทำร้ายจนบาดเจ็บหนัก ต่อมายังโกรธจนบาดเจ็บภายใน เจ็บเก่าซ้ำเจ็บใหม่จนวันนี้ก็ยังไม่หายดี

ยิ่นอ๋องตอบเสียงเย็นชา “ยังหาตัวลูกของข้าไม่พบ ข้ายังจะมีอารมณ์ไปพักได้หรือ หาต่อ!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

“เดี๋ยวก่อน”

“ท่านอ๋อง” อามั่วถูกเรียกไว้

ยิ่นอ๋องทำท่าเหมือนขบคิดบางสิ่ง “บางทีอาจถูกซัดขึ้นฝั่งมาแล้ว ค้นหาตามฝั่งแม่น้ำ”

จีหมิงซิวหยิบนกหวีดกระดูกออกมาจากอกเสื้อแล้วเป่าเสียงดัง ไม่นานวิหคสีน้ำเงินตัวน้อยก็บินฝ่าฝนร่อนลงกลางฝ่ามือของเขา

จีหมิงซิวป้อนเมล็ดไผ่หลายเมล็ดให้มัน

วิหคน้อยจิกกินทีละเมล็ดจนหมดแล้วบินจากไปอย่างพึงพอใจ

สายฝนค่อยๆ หยุดตก

ไม่นานวิหคน้อยก็บินกลับมา ปีกกระพือดังพรึ่บพรั่บ สะบัดหยดน้ำบนขนปีกร่วงหล่น ระหว่างที่กระพือปีกก็ส่งเสียงจิ๊บๆ ไปด้วย

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยดวงตาเป็นประกาย “มีข่าวแล้วหรือ”

จีหมิงซิวตอบว่า “ไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ เจ้าค้นหาตามชายฝั่งแม่น้ำต่อ ข้าจะไปดูสักหน่อย”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพยักหน้า “ขอรับ”

ทั้งสองคนแยกกันไปคนละทาง คนหนึ่งค้นหาตามฝั่งแม่น้ำ อีกคนหนึ่งมุ่งหน้าขึ้นไปบนเขา

วิหคน้อยร้องจิ๊บๆ อยู่หน้าปากถ้ำ เสียงดังเอะอะจนนอนไม่หลับ จูเอ๋อร์คว้าก้อนหินน้อยก้อนหนึ่งขว้างใส่วิหคน้อย!

วิหคน้อยตกใจบินหนี เสียงร้องจิ๊บๆ ดังยิ่งกว่าเดิม

จูเอ๋อร์โกรธแล้วจึงหยิบก้อนหินขว้างใส่มันอีกหน!

ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!

วิหคน้อย จิ๊บ! จิ๊บ! จิ๊บ!

ก้อนหินที่ลอยพลาดเป้ากระแทกถูกหัวไหล่ของจีหมิงซิว ฝุ่นดินติดบนเสื้อสีขาวเปียกชื้นของเขา เขาหันไปมองครั้งหนึ่งแต่ไม่สนใจ เดินเข้าไปในถ้ำต่อ

จูเอ๋อร์ได้ยินเสียงฝีเท้าอันไม่คุ้นเคยก็ผลุบเข้าไปหลบอยู่ในตะกร้าสมุนไพร

หมอพเนจรกำลังฝังเข็มให้เด็กน้อยอยู่จึงไม่ทันสังเกตความเคลื่อนไหวภายในถ้ำ จูเอ๋อร์กระตุกแขนเสื้อเขาอย่างหวาดกลัว เขาจึงพูดว่า “อีกประเดี๋ยวข้าก็ทำเสร็จแล้ว อย่ากวนข้า เดี๋ยวข้าฝังเข็มพลาดแล้วจะแย่เอา”

จูเอ๋อร์หดมือกลับอย่างผิดหวัง แล้วหลบอยู่ในตะกร้าสมุนไพรต่อ โผล่ออกมาเพียงดวงตากลมคู่โต มองบุรุษตรงหน้าอย่างหวาดกลัว

บุรุษตัวสูง ร่างกายใหญ่โตเหมือนขุนเขา แววตาก็น่าพรั่นพรึง

จีหมิงซิวแช่อยู่ในน้ำมานานเกินไป ดวงตาถูกน้ำจนเป็นสีแดงก่ำ ดูน่ากลัวอย่างยิ่งจริงๆ

แต่จีหมิงซิวไม่สนใจสิ่งมีชีวิตตัวน้อยในตะกร้า เขามองปราดแรกก็เห็นเสื้อผ้าเด็กผิงไฟอยู่บนราวไม้ หัวใจสั่นไหวเบาๆ แล้วจึงมองไปยังเด็กน้อยกับหมอพเนจรที่อยู่ด้านข้าง ใบหน้าของเด็กถูกหมอพเนจรบังไว้ เขาจึงมองไม่ชัด แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า เด็กคนนี้ก็คือจิ่งอวิ๋นของเขา

“ท่านหมอท่านนี้…”

“ชู่ววว” หมอพเนจรไม่หันกลับไป แต่ทำมือให้เงียบเสียง “ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังฝังเข็มอยู่ อย่าหนวกหู เกิดฝังพลาดผิดตำแหน่งไปเขาจะเป็นอันตราย เสื้อผ้าเปียกก็ผิงไฟเอาเอง หากหิวบนพื้นมีของกินอยู่”

จีหมิงซิวกวาดสายตามองรองเท้าข้างหนึ่งบนพื้น รองเท้าคู่นี้เขาเคยเห็นจิ่งอวิ๋นสวมมาก่อน จึงแน่ใจพอสมควรว่าเขาคือจิ่งอวิ๋น

ไม่แปลกที่ตนหาเนิ่นนานเช่นนั้นแต่ยังหาไม่พบ ขึ้นฝั่งมาแล้วจริงๆ แล้วยังได้หมอจิตใจอารีช่วยเหลือไว้อีกด้วย

ดีจริงๆ ดีจิรงๆ

จีหมิงซิวหัวเราะออกมาอย่างไม่รู้ตัว

หมอพเนจรเอ่ยขึ้นว่า “เฮ้อ เจ้าหนุ่ม เจ้าหลบฝนก็หลบฝนไป ไม่ส่งเสียงกวนข้ารักษาได้หรือไม่ หากเจ้าเสียงดังกวนข้าอีก เขาตายแน่”

จีหมิงซิวเลิกส่งเสียงทันที เขานั่งอยู่ข้างกองไฟเงียบๆ

จูเอ๋อร์กลัวเขา จึงยกตะกร้าสมุนไพรกระโดดดึ๋งทีละน้อยไปทางปากถ้ำ ทว่าตอนกระโดดผ่านหลังจีหมิงซิว กลับไม่ทันระวังสะดุดล้ม จีหมิงซิวรีบหมุนตัวมาประคองตะกร้าไว้ พร้อมกับจับจูเอ๋อร์ที่เกือบจะกลิ้งออกจากตะกร้าไว้ด้วย

จูเอ๋อร์ตกใจจนหัวใจกระเด้งกระดอน! เผ่นแผล็วมุดเข้าไปในอกเสื้อของหมอพเนจร

หมอพเนจรฝังเข็มเสร็จแล้วและกำลังจับชีพจรให้เด็กน้อยอยู่ เขาดูเหมือนจะชินกับสถานการณ์เช่นนี้แล้ว

จูเอ๋อร์โผล่หัวเล็กๆ สีดำสนิทออกมาจากอกเสื้อของหมอพเนจรอย่างระมัดระวัง ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ แอบมองจีหมิงซิว

จีหมิงซิวหาบุตรชายพบแล้วจึงอารมณ์ดียิ่งนัก เห็นเจ้าตัวน้อยกระโจนพรวดไปเช่นนั้นก็ยังรู้สึกว่าเพลินตาอย่างยิ่ง จึงส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้จูเอ๋อร์

จูเอ๋อร์กระโจนพรวดอีกหน!

“ส่งสุราให้ข้าซิ” ทันใดนั้นหมอพเนจรก็เอ่ยปาก

จีหมิงซิวคว้าถุงสุราที่อยู่บนพื้นส่งไปให้

หมอพเนจรดื่มคำหนึ่งแล้วหมุนตัวมาหาจีหมิงซิว เดินทางร่อนเร่แถบเหอชวนมาหลายปี ไม่เคยพบบุรุษรูปงามหล่อเหลาเช่นนี้ คนเสมือนแกะสลักมาจากหยก ความสูงศักดิ์แผ่ออกมาจากในกระดูก

หมอพเนจรมองสำรวจเขาขึ้นๆ ลงๆ อยู่พักหนึ่ง สายตาก็จับอยู่บนหน้ากากของเขา “หยกเหมันต์หรือ”

หมอที่ไม่มีสิ่งใดสะดุดตาคนหนึ่งกลับรู้จักหยกเหมันต์ที่แม้แต่หมอหลวงก็ยังไม่รู้จัก แววตาของจีหมิงซิววูบไหว “ท่านหมอสายตาเฉียบแหลมยิ่ง”

หมอพเนจรส่งถุงสุราไปให้ “ดื่มหรือไม่”

“ข้าไม่ดื่มสุรา” จีหมิงซิวตอบตามตรง

หมอพเนจรดื่มอีกคำ

จีหมิงซิวมองเด็กน้อยที่ถูกเข็มเงินปักอยู่เต็มร่างบนกองฟางแล้วกล่าวว่า “ไม่ขอปิดบัง ข้ามาตามหาคน”

“บังเอิญเช่นนี้เชียว ข้าก็เช่นกัน” หมอพเนจรต่อบทสนทนาอย่างกระตือรือร้น “ข้าตามหาภรรยาข้าเจ้าตามหาผู้ใด”

“บุตรชายของข้า” จีหมิงซิวตอบ

หมอพเนจรวางถุงสุราไว้ด้านข้าง “ภรรยาข้าตกน้ำไป บุตรชายของเจ้าเล่า”

“เช่นเดียวกัน”

“ถ้าเช่นนั้นก็บังเอิญเหลือเกินจริงๆ” หมอพเนจรเอ่ยด้วยสีหน้ายินดีปรีดา “ไม่สู้พวกเราไปด้วยกันเถิด”

“ข้าหาพบแล้ว” จีหมิงซิวชี้เด็กน้อยบนพื้น “เด็กคนที่ท่านหมอช่วยไว้”

“เด็กคนนี้หรือ” หมอพเนจรขมวดคิ้ว “เจ้าจำผิดแล้วกระมัง นี่ลูกของข้า”

จีหมิงซิวมองเขาอย่างแปลกใจ “ของท่านหรือ”

“ใช่แล้ว ของข้า” หมอพเนจรพึมพำ “ข้าก็มีลูก อายุห้าขวบแล้ว…”

จีหมิงซิวเห็นสีหน้าของเขาไม่ปกตินักจึงพินิจอย่างละเอียด จนเห็นความฟั่นเฟือนที่เมื่อครู่สัมผัสไม่ได้สักนิด ราวกับว่าเขาเปลี่ยนกลายมาเป็นเช่นนี้ในพริบตาเดียว

คนบ้าคนนี้ฝังเข็มให้ลูกชายเขา คงไม่ได้ฝังมั่วใช่หรือไม่

จีหมิงซิวบังคับตนเองให้เยือกเย็น “ข้าว่าท่านคงเหนื่อยแล้ว นั่งพักด้านข้างประเดี๋ยวเถิด ข้าจะช่วยดึงเข็มออกให้ท่าน”

หมอพเนจรตอบว่า “นี่ไม่ใช่การฝังเข็มอย่างปกติ ดึงผิดลำดับ คนอาจถึงตาย”

เจ้าคนวิกลจริต!

ความรู้สึกดีที่มีต่อหมอผู้นี้มลายหายไปสิ้น ในใจจีหมิงซิวอยากตบเขาให้ตายในฝ่ามือเดียว แต่ก็กังวลว่าหากเขาพูดจริง ทำเขาตายเสียแล้ว จะไม่มีผู้ใดดึงเข็มออกได้ ลูกชายจะตกอยู่ในอันตรายตามไปด้วย

หมอพเนจรดื่มสุราคำหนึ่งแล้วคว้าผลไม้ลูกหนึ่งขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย “หากฝนตกลงมาอีก เจ้าจะค้างในถ้ำก็ได้ แต่ภูมิประเทศของถ้ำแห่งนี้ประหลาด อาจมีสัตว์ร้ายอยู่ พวกเราต้องผลัดกันตื่น ทิ้งคนหนึ่งไว้เฝ้าปากถ้ำ”

“เมื่อใดท่านจะดึงเข็มออกหรือ”

“ใกล้แล้ว” หมอพเนจรกัดผลไม้พลางเอ่ยตอบ