ตอนที่ 121-2 จุดจบ จิ่งอวิ๋นอยู่ที่ใด

จีหว่านเรียกผู้ดูแลเรือมาหาแล้วชี้เฉียวเวยที่พิงราวกั้นชะเง้อมองอยู่ “เรือลำนี้ข้าเหมา ค่าเสียหายทั้งหมดคิดเอากับอัครมหาเสนาบดี”

“อัคร อัครมหาเสนาบดีหรือขอรับ” ผู้ดูแลไม่รู้จักอัครมหาเสนาบดี จึงไม่ทราบว่าในหมู่คนที่กระโดดลงน้ำไปช่วยมีจีหมิงซิวอยู่ด้วย ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือยิ่นอ๋องของรัชสมัยนี้ แต่เขาพอเดาฐานะของจีหว่านออก จึงเดาได้ว่าเด็กคนนั้นอาจเกี่ยวข้องกับอัครมหาเสนาบดี หากเป็นเช่นนี้มารดาของเด็กกับน้องสาวของเด็กก็คงมีเบื้องหลังไม่ธรรมดาแน่

ไม่แปลกที่สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายเช่นนั้นแต่กลับถือตั๋วทองของเรือมา ช่างเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองจริงๆ!

ผู้ดูแลตอบว่า “ซื่อจื่อฮูหยินโปรดวางใจ ข้าน้อยจะให้คนดูแลอย่างใส่ใจ”

จีหว่านเอ่ยอีกว่า “สิ่งใดควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูด ผู้ดูแลคงเข้าใจ”

ผู้ดูแลรีบพยักหน้า “เข้าใจขอรับ เข้าใจขอรับ”

ผู้ที่ทำกิจการด้านนี้ล้วนแต่ต้องรับรองลูกค้าสูงศักดิ์ ย่อมได้ฟังสิ่งที่ไม่สมควรฟังมาบ้างอย่างยากจะเลี่ยง แต่พวกเขามิใช่คนโง่ หูจะยาวเท่าใดก็ไม่เป็นไร แต่ปากอย่าคิดจะยื่นยาวเป็นอันขาด

ความโกลาหลด้านนอกดำเนินไปจนกระทั่งหลินซูเยี่ยนขึ้นมาบนเรือ

หลินซูเยี่ยนเป็นตุลาการแห่งศาลต้าหลี่ เหตุการณ์ในหมู่ชาวบ้านที่ยังไม่เป็นคดีเช่นนี้ปกติแล้วศาลต้าหลี่จะไม่ออกโรง แต่บังเอิญยิ่งนักที่ศาลต้าหลี่อยู่ใกล้ๆ ผู้คนรวมตัวกันวุ่นวายจนเจ้าพนักงานของจวนเจ้าเมืองไม่พอใช้ จึงมาศาลต้าหลี่ขอยืมคน เขาจึงตามมาดูสักหน่อย

“หวานหว่าน?” หลินซูเยี่ยนมองปราดแรกก็เห็นภรรยาสนทนาอยู่กับผู้ดูแลบนชั้นสอง

จีหว่านกล่าวกับผู้ดูแลว่า “ข้าขอตัวก่อน”

ผู้ดูแลคำนับอย่างนอบน้อม “ซื่อจื่อฮูหยินเชิญตามสบาย”

จีหว่านลงจากเรือ

อีกด้านหนึ่งหลีซื่อได้ยินเสียงของหลินซูเยี่ยนก็โถมเข้าไปหาราวกับเห็นทางรอด “พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย!”

หลินซูเยี่ยนถูกมนุษย์ตัวสีเหลืองโถมเข้ามาหาตนอย่างกะทันหันก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง!

เขาเบี่ยงตัวหลบ หลีซื่อจึงถลาลงบนพื้น

ไม่เสียทีเป็นสามีภรรยา ปฏิกิริยาเบี่ยงตัวหลบนี่เหมือนกันอย่างกับแกะ

หลีซื่อล้มจนเจ็บตัว นางร้องไห้โฮ “พี่ใหญ่ ข้าเอง!”

เสียงนี้…

หลินซูเยี่ยนตกตะลึง เขาปิดจมูกแล้วขยับตัวออกห่างกลิ่นคาวที่ลอยโชยออกมาจากตัวนาง จากนั้นจึงหันไปมองนางแล้วถามว่า “น้องสะใภ้หรือ”

หลีซื่อตอบอย่างดีอกดีใจ “ข้าเอง พี่ใหญ่!”

หลินซูเยี่ยนตกตะลึงยิ่งนัก “เจ้าทำอันใดมาจึงกลายเป็นเช่นนี้” ขณะที่กำลังจะถามว่าองครักษ์กับสาวใช้ของเจ้าเล่า ก็เห็นทุกคนนอนระเกะระกะอยู่บนพื้น หลินซูเยี่ยนมองไปทางเจ้าพนักงานด้านข้าง เจ้าพนักงานทั้งหลายต่างทำหน้าลำบากใจจะพูด หลินซูเยี่ยนจึงกระแอม สั่งองครักษ์ศาลต้าหลี่ที่ติดตามมาสองคน “พวกเจ้าพาหลินฮูหยินกลับไปส่วนที่จวนกั๋วกง”

องครักษ์ทำปากบึ้งด้วยความรังเกียจขณะที่ประคองหลีซื่อขึ้นมา จากนั้นประคองหลีซื่อเบียดฝูงชนออกไป

สิ่งที่ควรเล่าเสียหน่อยก็คือ ตอนอยู่ไกล ชาวบ้านได้แต่ขว้างไข่เน่าใส่นาง แต่เมื่อเดินมาใกล้ๆ น้ำลาย ก้อนหิน พื้นรองเท้า ทุกสิ่งล้วนเข้ามาทักทายหลีซื่อ

หลีซื่อเผ่นแน่บขึ้นไปบนรถม้าเหมือนหนูข้างถนน

จีหว่านกอดวั่งซู “วั่งซู เรียกท่านลุงเขยสิ!”

วั่งซูเรียกเสียงหวาน “ท่านลุงเขย!”

หลินซูเยี่ยนเบิกบานใจ บีบแก้มของวั่งซู “เด็กบ้านใดกัน ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นมาก่อน”

จีหว่านบ่นอุบอิบ “เรียกท่านว่าท่านลุงเขยแล้วท่านว่าเป็นเด็กบ้านผู้ใดกันเล่า”

“คงไม่ใช่ของ…” หลินซูเยี่ยนอึ้ง “ของน้องชายเจ้าหรอกนะ น้องชายเจ้ายังไม่แต่งงานมิใช่หรือ”

จีหว่านจึงกล่าวว่า “มีลูกก่อนไม่ได้หรือไร”

หลินซูเยี่ยนคลี่ยิ้ม “ได้ ได้แน่นอน!”

บุรุษนี่นะ อืม เขาเข้าใจ

หลินซูเยี่ยนบีบแก้มเจ้าซาลาเปาน้อยอีกหน นุ่มนิ่ม น่ารักจริง

วั่งซูก็บีบแก้มของ ‘ท่านลุงเขย’ บ้าง หลังจากนั้นใบหน้าครึ่งหนึ่งของหลินซูเยี่ยนก็บวมเป่ง…

จีหว่านเรียกปี้เอ๋อร์มาอุ้มเด็กกลับไป

หลินซูเยี่ยนยังไม่ทราบว่าใบหน้าของตนถูกบีบจนบวมเพราะใบหน้าสูญเสียความรู้สึกไปแล้ว เขาถามว่า “จริงสิ เมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น น้องสะใภ้รองไปทำสิ่งใดให้ผู้คนโกรธแค้นหรือ”

จีหว่านเล่าเรื่องที่สือหลิวทะเลาะกับเฉียวเวยอย่างรวบรัดให้หลินซูเยี่ยนฟัง หลินซูเยี่ยนตกตะลึงจนหน้าถอดสี “จะบอกว่าหลานชายตัวน้อยตกน้ำไปหรือ”

“อืม” จีหว่านเอ่ยอย่างเศร้าใจ “ตกน้ำไปจะครึ่งวันแล้ว”

หลินซูเยี่ยนพูดทันที “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปหาคนมาเพิ่มอีก”

จีหว่านพยักหน้า หลินซูเยี่ยนหมุนตัวจากไป จีหว่านมองเรือนร่างบอบบางที่พิงราวกั้นชะเง้อมองอยู่ท่ามกลางสายลมของทะเลสาบ หัวใจก็เกิดความเวทนาขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นางยังไม่มีลูก แต่หากมีก็คงรักดุจชีวิตตน

นางก้าวแผ่วเบาไปถึงข้างกายเฉียวเวย แล้ววางมือลงบนราวกั้นที่ถูกแสงแดดเผาจนร้อนระอุ “แม้รู้ว่าเจ้าอาจจะไม่ฟัง แต่เจ้ารออยู่ที่นี่ ไม่สู้กลับไปกับข้าก่อน หมิงซิวต้องตามหาลูกพบแน่”

“ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็น” เฉียวเวยตอบอย่างเฉยชา

“ถ้าเช่นนั้นให้วั่งซูไปพักที่บ้านข้าก่อน อยู่บนเรือไม่ค่อยสะดวกสบายนัก…”

เฉียวเวยเอ่ยขัดนาง “ผู้ใดก็อย่าคิดจะแย่งลูกข้าไป!”

จีหว่านถูกแววตาดุดันนั่นทำเอาขนหัวลุก “เจ้า แม่สาวน้อยคนนี้! กล้าตวาดข้าหรือ อย่าคิดว่าเจ้าเป็นมารดาของลูกเขาแล้วจะไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาได้นะ!”

เฉียวเวยมองผืนทะเลสาบที่เป็นประกาย “ข้าไม่มีอารมณ์จะทะเลาะกับท่าน ท่านไปเสียเถิด”

“เจ้าไม่ลองถามความเห็นของวั่งซูเสียหน่อย หากนางไม่อยากรออยู่บนเรือเล่า”

“เรื่องนี้ ข้าเป็นคนตัดสินใจ”

วั่งซูวิ่งตึงตังเข้ามาหาแล้วแหงนหน้ามองจีหว่าน เสียงนุ่มนิ่มกล่าวขึ้นว่า “ขอบคุณท่านป้ามากนัก แต่วั่งซูอยากอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านแม่ รอท่านพี่ถูกช่วยกลับมาพร้อมกับท่านแม่เจ้าค่ะ”

ช่างเป็นเด็กน้อยที่รู้ความจริงๆ

จีหว่านนั่งยองๆ ลงมาลูบศีรษะของวั่งซูอย่างอ่อนโยน “อีกประเดี๋ยวท่านพี่ก็กลับมา”

วั่งซูพยักหน้า “เจ้าค่ะ!”

หลินซูเยี่ยนส่งคนมาเพิ่มเสร็จก็พาจีหว่านจากไป

บนรถม้า หลินซูเยี่ยนถามจีหว่านว่า “สตรีที่สนทนากับเจ้าเมื่อครู่คือน้องสะใภ้หรือ”

จีหว่านตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้ายังไม่ยอมรับเสียหน่อย!”

หลินซูเยี่ยนขยับยิ้ม “เจ้าน่ะปากคมดั่งมีด แต่ใจอ่อนดุจเต้าหู้” ว่าพลางก็กุมมือของนาง เมื่อนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยอีกว่า “แต่วันนี้เจ้าบุ่มบ่ามแล้ว เหตุใดปล่อยให้น้องสะใภ้รองอับอายเล่า”

จีหว่านกลอกตา “ก็ข้าโมโห!”

หลินซูเยี่ยนปลอบ “เจ้าโมโหก็แอบจัดการนางได้นี่ ให้นางขายหน้าต่อหน้าคนมากมายปานนั้น ไม่กลัวนางกลับไปฟ้องท่านแม่ของข้าหรือ”

“ถึงอย่างไรมารดาของท่านก็ไม่ด่าข้าต่อหน้าข้าอยู่แล้ว” จีหว่านมองเขาแล้วยิ้มหวาน “หากจะด่านางก็ด่าท่าน”

หลินซูเยี่ยนยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “อืม ด่าข้า”

หลินซูเยี่ยนคาดไม่ผิด หลีซื่อกลับไปถึงจวนก็ไปฟ้องกั๋วกงฮูหยินจริงๆ ในฐานะผู้มีความดีความชอบมอบบุตรชายสามคนกับบุตรสาวหนึ่งคนให้แก่จวนกั๋วกง ฐานะของหลีซื่อในหัวใจแม่สามีจะเป็นเช่นไรคิดดูก็น่าจะทราบ

เมื่อทราบว่าจีหว่านปล่อยให้หลีซื่ออับอายต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนั้น หลินฮูหยินก็โกรธแทบแย่ แม้เหตุที่หลีซื่อถูกขว้างของใส่จนกลายเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะจีหว่าน แต่จีหว่านไม่ปกป้องหลีซื่อ กลับไปหัวเราะคุยเล่นกับสตรีนางนั้นก็เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้เช่นกัน

แต่จีหว่านก็ไม่ได้พูดผิด หลินฮูหยินไม่กล้าชักสีหน้าใส่จีหว่านจริงๆ

เหตุผลออกจะพูดยากอยู่สักหน่อย กล่าวสรุปก็คือจีหว่านมีชาติกำเนิดที่ดี จนแม้แต่หลินฮูหยินผู้มีบุตรสาวเป็นถึงฮองเฮาก็ยังกดนางไม่ลง

แต่โทสะครั้งนี้ของหลินฮูหยินจำเป็นต้องมีที่ระบาย ในเมื่อระบายใส่จีหว่านไม่ได้ ก็ได้แต่ระบายใส่บุตรชาย

หลินฮูหยินเรียกหลินซูเยี่ยนมาในห้องแล้วด่าทออย่างสาดเสียเทเสีย “…ดูสิว่าภรรยาของเจ่า (เจ้า)ทำเรื่องงามหน้าอะไรไว้ ผู้อื่นโยนน้องสะใภ้ของน๋าง (นาง) ลงน้ำ น๋างไม่ช่วยน้องสะใภ้ของน๋างก็ช่างเทิ้ด แต่ยังปกป้องคนร้ายคนนั้นอีก! น๋างคิดอะไรอยู่ เห็นคนนอกดีกว่าคนในใช่หรือไม่ น๋างจำไม่ได้แล้วหรือว่าตัวเองเป็นลูกสะใภ้ตระกูลหลิน น๋างยังเห็นว่าตนเองเป็นคุณหนูจวนอัครมหาเสนาบดี ไปที่ใดก็กระทำตามใจชอบได้สินะ

น้องสะใภ้ของเจ่าถูกคนขว้างปาของใส่จนมีสภาพเป็นเช่นนั้น น๋างก็เอาแต่ยืนมองอยู่ด้านข้าง ไม่รู้จักช่วยสักนิดหรือไร! คนมากมายปานนั้นหัวเราะเยาะตระกูลหลิน วันพรุ่งนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงคงเล่าเรื่องที่ลูกสะใภ้ตระกูลหลินของพวกเลา (พวกเรา) ไม่ปรองดองกันเป็นเรื่องตลก! น๋างเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าทำเช่นนี้จะส่งผลต่อเจ่าอย่างไร น๋างอายุก็ไม่น้อยแล่ว เหตุใดจึงยังไม่รู้ความอีก”

หลินฮูหยินไม่ใช่คนเมืองหลวง แม้จะผ่านมานานหลายปีเช่นนี้คำพูดก็ยังติดสำเนียงของบ้านเกิดอยู่เล็กน้อย

สีหน้าของหลินซูเยี่ยนย่ำแย่ยิ่งนัก “ข้าทราบแล้ว ท่านแม่ ครั้งนี้นางทำเกินไปจริงๆ กลับไปข้าจะสั่งสอนนางเอง!”

มือที่กำผ้าเช็ดหน้าของหลินฮูหยินจิ้มหน้าผากของเขา “เจ่ากล้าสั่งสอนน๋างหรือ ข๋าว่าน๋างไม่สั่งสอนเจ่าก็ไม่เลวแล่ว”

หลินซูเยี่ยนตบต้นขา แล้วเอ่ยด้วยสำเนียงเมืองหลวงชัดเปรี๊ยะ “ท่านแม่กล่าวอันใด สตรีคนหนึ่งจะกล้ามาสั่งสอนบุรุษได้เช่นไร ท่านอย่าเห็นนางอยู่ข้างนอกเอาแต่ใจนัก ยามอยู่ต่อหน้าข้า นางเชื่อฟังเสียยิ่งกว่าอะไร! ข้าตบบ้องหูเพียะ เพียะ เพียะสักสองสามหน…”

หลินฮูหยินรีบรั้งแขนที่แสดงท่าทางของเขาไว้ทันที “ห้ามตี น้องชายของน๋างเป็นหัวหน้าของเจ่า ตีน๋างเป็นอะไรไป น้องชายของน๋างต้องกลับไปจัดการเจ่าแน่ แล่วอีกอย่าง จวนกั๋วกงของพวกเราก็เป็นคนที่ได้รับการอบรม ไม่ทำเลื่องอย่างการตบตีลูกสะใภ้หรอก!”

แม้กล่าวเช่นนี้ แต่เมื่อหลินซูเยี่ยนกลับมาถึงเรือนแล้วปิดประตู ก็ยังสั่งสอนภรรยาอย่างรุนแรงหนึ่งยก

“เจ้าคิดว่าวันนี้เจ้าทำอะไรลงไป เห็นคนนอกดีกว่าคนใน ช่วยคนนอกเล่นงานคนจวนกั๋วกงของพวกเรา สาวใช้คนนั้นเจ้าไม่สนก็ช่างเถิด แต่เจ้าปล่อยให้สตรีนางนั้นโยนน้องสะใภ้รองลงน้ำ! ไม่สั่งสอนเจ้ามาหลายวัน เจ้าลืมแล้วว่าตนเองเป็นคนตระกูลหลินใช่หรือไม่!”

เพล้ง!

ขว้างถ้วยแตกหนึ่งใบ เรียกได้ว่าโกรธจัดอย่างยิ่ง

หลังจากนั้น จีหว่านก็เริ่มอ้อนวอน “ข้าผิดไปแล้ว…สามีข้าผิดไปแล้ว…ท่านอย่าโกรธเลยนะสามี…”

“เหอะ ตอนนี้สำนึกผิดแล้วมีประโยชน์อันใด คนมากมายปานนั้นล้วนมองอยู่! ทุกคนต่างหัวเราะเยาะจวนกั๋วกงของพวกเรา!”

“ฮือๆ…” จีหว่านร่ำไห้อย่างเศร้าเสียใจ

หลินซูเยี่ยนโหดร้ายยิ่งนัก “ร้องไห้ๆ! เจอปัญหาก็ทำได้แต่ร้องไห้! ตอนนั้นทำไมเจ้าไม่คิดให้ดีว่าทำเช่นนี้แล้วจะมีผลลัพธ์เช่นไร ข้าบอกเจ้าจีหว่าน ครั้งนี้ข้าโกรธจริงๆ แล้ว!”

“สามีท่านอภัยให้ข้า…” จีหว่านร่ำไห้วิงวอน

“ไสหัวไป!”

หลินซูเยี่ยนตวาดอย่างเกรี้ยวกราดแล้วผลักจีหว่าน จีหว่านกระแทกโต๊ะ โต๊ะตัวนั้นถูกกระแทกจนล้มคว่ำ กาน้ำ ถ้วยน้ำ แจกันดอกไม้บนโต๊ะร่วงลงมาแตกดังเพล้งกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น

สาวใช้ที่เฝ้าอยู่นอกประตูฟังแล้วอกสั่นขวัญแขวน ครั้งนี้ซื่อจื่อเหยียโกรธจริงๆ แล้ว สั่งสอนซื่อจื่อหน่ายนายเสียถึงขนาดนี้

“เจ้าไสหัวออกไป!” หลินซูเยี่ยนกล่าวจบ จีหว่านก็ล้มลงกระแทกบานประตูอย่างแรง สาวใช้ที่ลอบฟังอยู่ตรงประตูตกใจจนวิ่งเข้าไปในลานเรือน

เวลาซื่อจื่อเหยียสั่งสอนภรรยา ช่างน่าเกรงกลัวจริงเชียว!

หลินซูเยี่ยนผู้น่าเกรงกลัวลุกขึ้นมาจากพื้น นวดแขนที่กระแทกจนเจ็บ จากนั้นเล่นละครหนึ่งคนสองบทบาทต่อ เขาเปลี่ยนไปใช้เสียงของจีหว่าน “ฮือๆ…เจ็บยิ่งนัก…”

อาจเป็นเพราะหลายปีมานี้แสดงจนชินแล้ว ยามเลียนเสียงร่ำไห้ของภรรยาจึงสมจริงอย่างยิ่ง

แน่นอนว่านั่นเป็นความคิดของเขาเองคนเดียว

ความจริงก็คือสาวใช้ทั้งหลายต่างรู้สึกว่าพอซื่อจื่อฮูหยินเริ่มร่ำไห้เสียงจะต่างไปจากปกติ แต่ฟังมาหลายปีก็เป็นเช่นนี้ตลอด จึงคิดว่าเสียงของซื่อจื่อฮูหยินยามร่ำไห้คงบาดหูเช่นนี้จริงๆ

หลินซูเยี่ยนผู้คิดว่าทักษะการแสดงของตนช่างล้ำเลิศแสดงอยู่ในห้องอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จีหว่านผู้ถูก ‘สั่งสอน’ อย่างน่าอนาถกลับทอดกายนอนตะแคงอยู่บนตั่งกุ้ยเฟย[1] มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ สติลอยออกไปท่องเที่ยว

หลินซูเยี่ยนแสดงจนเหนื่อยเกือบตาย พอหย่อนก้นนั่งลงข้างกายจีหว่านก็ยื่นหน้าผากที่เต็มไปด้วยเหงื่อไปหาจีหว่านหวังจะให้นางเช็ดให้

แต่จีหว่านไม่เช็ด นางยังคงล่องลอยอยู่ในห้วงความคิด

หลินซูเยี่ยนดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากอกเสื้อของนางแล้วเช็ดให้ตนเองก่อนจะยัดกลับไปให้นาง

“หวานหว่าน” หลินซูเยี่ยนออดอ้อนคลอเคลีย แต่หวานหว่านไม่มีปฏิกิริยา ฝ่ามือใหญ่จึงสอดเข้าไปในเสื้อของนาง จีหว่านคว้ามือซุกซนของเขาออกมา เขาก็ซุกศีรษะเข้าไปอีก พรมจูบดูดดึงอยู่พักหนึ่ง

จีหว่านดันศีรษะของเขาออก “อย่าวุ่นวายสิ”

“เป็นอะไรไปหวานหว่าน” ความต้องการไม่ได้รับการตอบสนอง หลินซูเยี่ยนจึงเอ่ยปากถาม ถามจบก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ กล่าวขึ้นว่า “หวานหว่าน ข้าเพิ่งสังเกตว่าวันนี้เจ้าไม่ส่องกระจก!”

จีหว่านผู้ต้องส่องกระจกเจ็ดสิบถึงแปดสิบหนในแต่ละวันถอนหายใจ “ไม่มีอารมณ์ ไม่รู้ว่าเด็กน้อยคนนั้นเป็นเช่นไรบ้าง น้องชายของข้าหาตัวเจอแล้วหรือยัง”

จีหมิงซิวแช่อยู่ในน้ำมาสองชั่วยามแล้ว จากริมทะเลสาบจนถึงกลางทะเลสาบล้วนไม่มีร่องรอยของลูกชาย

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโผล่ศีรษะขึ้นมาจากน้ำแล้วหอบหายใจหนักหน่วง “ไม่มี นายน้อย ไม่พบสิ่งใดเลย!”

ไม่นานนักยิ่นอ๋องก็ทะลึ่งตัวขึ้นมาจากน้ำด้วย แต่ดูจากสีหน้าย่ำแย่นั่น เห็นชัดว่าไม่พบสิ่งใดเช่นกัน

จิตใจของพวกเขาหม่นหมองอย่างยิ่ง หามาหลายชั่วยามแล้วก็ยังหาไม่พบ หากจิ่งอวิ๋นยังอยู่ในน้ำจริง น่ากลัวว่าคงจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี

ในถ้ำมืดสนิทแห่งนึ่ง กองไฟกองหนึ่งถูกจุดให้แสงสว่างเลือนราง แสงไฟกระทบบนผนังหินอันเย็นเยียบแล้วส่องบนพื้นที่ปูด้วยหญ้าแห้ง

เด็กน้อยอายุห้าขวบคนหนึ่งนอนอยู่กลางพื้นที่ถูกปูไว้ ทั่วร่างเปียกโชก เครื่องหน้างดงาม รูปโฉมประหนึ่งภาพวาด

ด้านข้างเด็กน้อย มีมือน้อยดำปิ๊ดปี๋ข้างหนึ่งกำลังถือใบไม้ใบหนึ่งเกาปลายจมูกของเด็กน้อยเบาๆ

“จูเอ๋อร์ อย่าเล่น” หมอพเนจรจับมือน้อยดำปี๋ข้างนั้นออก

จูเอ๋อร์กระโดดขึ้นไปบนหัวไหล่ของหมอพเนจร พลางมองสำรวจเด็กบนพื้นอย่างใคร่รู้

ไม่รู้ว่าเด็กน้อยหลับอยู่หรือตายไปแล้ว เขาหลับตา นิ่งไม่กระดุกกระดิกมาตลอดทั้งบ่าย

หมอพเนจรไปรินยา พร้อมกับวางจูเอ๋อร์ลงบนพื้น

จูเอ๋อร์ฉวยโอกาสที่หมอพเนจรไม่ทันสนใจ ยกขาน้อยๆ อันงดงามขึ้นมาเหยียบลงบนหน้าท้องของเด็กน้อย

[1] ตั่งกุ้ยเฟย ตั่งประเภทหนึ่ง หัวฝั่งหนึ่งทำเป็นพนักพิงให้เอนตัวนอนได้ คล้ายกับตั่งหญิงงาม แต่เป็นที่นิยมกันคนละยุคและมีรูปลักษณ์ค่อนข้างโบราณ