บทที่ 295 ไปร้องเรียนที่หยาเหมิน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 295 ไปร้องเรียนที่หยาเหมิน

บทที่ 295 ไปร้องเรียนที่หยาเหมิน

“อืม” กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า “เขียนใบคำร้องก่อน”

กู้เสี่ยวหวานเคยดูละครโทรทัศน์โบราณ และดูเหมือนว่านางต้องเขียนใบคำร้องก่อนไปยังที่หยาเหมิน*[1]

ก็คงเช่นกับตอนนี้ที่จะไปร้องเรียน การเขียนใบคำร้องจะทำให้ผู้อื่นจะยอมรับได้ง่ายขึ้น

ฉินเย่จือแปลกใจเล็กน้อย จึงยิ่งรู้สึกสงสัยและต้องการสำรวจมากขึ้น บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่ามีอะไรอยู่ในหัวของสาวน้อยผู้นี้ เด็กตัวแค่นี้จะคิดอย่างถี่ถ้วนเช่นนี้ได้อย่างไร

กู้เสี่ยวหวานหยิบพู่กัน หมึก กระดาษ และหินฝนหมึกออกมา หลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก

หลังจากคิดแล้ว นางก็จับพู่กันและเริ่มลงมือเขียน

ลายมือของกู้เสี่ยวหวานนั้นสวยงามมาก และฉินเย่จือก็รู้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามกู้เสี่ยวหวานไม่ค่อยเก่งในการเขียนตัวอักษรแบบดั้งเดิม เมื่อใดก็ตามที่นางต้องการเขียนตัวอักษรแบบดั้งเดิม กู้เสี่ยวหวานจึงต้องคิดเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง นางรู้ว่ามีตัวอักษรแบบดั้งเดิม แต่ไม่รู้ว่าจะเขียนอย่างไร ต่อมานางไม่สามารถเขียนได้ จึงต้องพึ่งพาฉินเย่จือเท่านั้น

กู้เสี่ยวหวานเดาว่าฉินเย่จือน่าจะเขียนได้ อย่างไรก็ตามไม่เคยคิดว่าคำที่เขียนโดยฉินเย่จือนั้นจะดูทรงพลังเช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานเหลือบมองกระดาษอย่างสงสัย และเหลือบมองไปที่ฉินเย่จือ แต่เนื่องจากนางกำลังจะไปทำธุระ จึงไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากที่เขียนใบคำร้องแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็หันศีรษะและบอกกู้หนิงผิงให้ดูแลน้องสาวให้ดี จากนั้นจึงเดินออกจากบ้านไปพร้อมกับฉินเย่จือ

เมื่อกู้เสี่ยวหวานมีคนเคียงข้างคอยวางแผนร่วมกัน ความมั่นใจในหัวใจของนางก็แข็งแกร่งขึ้น

ทั้งสองมาที่หยาเหมิน และตีกลองร้องทุกข์

กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้าเมืองของเมืองนี้ก็ออกมา เขามองไปที่กู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือ แม้ว่าสองคนนี้จะมีท่าทีที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะชายหนุ่มที่หล่อเหลาแต่กลับสวมใส่เสื้อผ้าราคาถูก และสิ่งที่ชายหนุ่มคนนี้สวม ก็ไม่รู้ว่าใส่มานานแค่ไหนแล้ว มีรูด้านหน้า ดูซอมซ่อยิ่งนัก และคาดว่าเขาเป็นปราชญ์ที่ยากจน

เจ้าเมืองแซ่หู นามว่า ฉี เหลือบมองดูพวกเขาอย่างดูถูกเหยียดหยามและพ่นลมอย่างเย็นชา

กู้เสี่ยวหวานสนใจกับท่าทางของชายผู้นี้ เมื่อเห็นท่าทางที่เย่อหยิ่งของเขา หัวใจของนางก็เต้นไม่เป็นจังหวะ ชายผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่ดีเลย!

หูฉีเดินมาที่โต๊ะอย่างช้า ๆ ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้และเอนหลังพิงเก้าอี้ ท่าทางดูเกียจคร้าน และเอ่ยถามอย่างดูถูกว่า “พวกเจ้าสองคนจะฟ้องร้องผู้ใด?”

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นพฤติกรรมของคนผู้นี้ เด็กหญิงลอบถอนหายใจเงียบ ๆ คนผู้นี้ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ที่ทำเพื่อประชาชนหรือไม่? แต่นางอยู่ที่นี่แล้ว จึงทำได้ก้าวไปได้ทีละก้าวเท่านั้น

กู้เสี่ยวหวานหยิบใบคำร้องออกมาและกล่าวว่า “ข้าต้องการฟ้องร้องซุนซีเอ๋อร์และเหลยต้าเซิ่ง”

หูฉีตกใจอย่างเห็นได้ชัด เขานั่งตัวตรงราวกับว่าเขาไม่เชื่อ เขาเอามือแคะหู แล้วถามอีกครั้ง “เจ้าพูดอีกครั้งสิ เจ้า…เจ้าจะฟ้องร้องผู้ใดนะ?”

ฉินเย่จือกลอกตาและมองไปที่เจ้าเมืองอย่างเย็นชา

สถานที่นี้ไม่ใหญ่ แต่ท่าทางของเขาก็ดูไม่น้อย

เจ้าหน้าที่อยู่ด้านข้างหยิบใบคำร้องของกู้เสี่ยวหวานและแสดงให้หูฉีดู

หูฉีมองเนื้อความสิบบรรทัดนั้นเพียงแวบเดียว และไม่รู้ว่าเขาตรวจสอบมากแค่ไหน ดังนั้นเขาก็วางจดหมายลงบนโต๊ะแล้วกล่าวว่า “จำเลยมาที่นี่หรือไม่?”

กู้เสี่ยวหวานส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ไม่ได้มา!”

จากนั้นหูฉีก็ยิ้มเยาะและกล่าวอย่างมุ่งร้าย “ไม่มีจำเลยแล้วข้าจะพิจารณาคดีได้อย่างไร?”

กู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าทางการต้องเรียกจำเลยมาหรือ?”

“ทางการเรียกจำเลยมา? ใครพูดอย่างนั้นกัน!” หูฉีหัวเราะเยาะและกล่าวว่า “ไม่มีจำเลยก็พิจารณาคดีไม่ได้ ยกฟ้อง” หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและจากไป

“หยุด!”

น้ำเสียงของเขาชัดเจน แม้จะไม่ดังมาก แต่ก็เต็มไปด้วยอำนาจ ขณะที่หูฉีกำลังจะลุกขึ้น เขาก็ตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง และเมื่อฟื้นคืนสติ เขาก็เห็นว่าชายหนุ่มที่ยากจนผู้นั้นเรียกเขาเอาไว้ จึงตะโกนไปว่า “ระวังหน่อย ในสถานที่แห่งนี้ เจ้าจะทำเสียงดังได้อย่างไร!”

ฉินเย่จือไม่ได้ใส่ใจคำพูดของหูฉีเลย ด้วยใบหน้าที่มืดมน เขาชำเลืองไปที่ผู้คนในห้องโถงอย่างดุดัน

เมื่อหูฉีสบตาเข้ากับฉินเย่จือ ก็พลันอดตกใจไม่ได้ ชายผู้นั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลาและดวงตาที่เฉียบคมราวกับมีด รูปร่างสมส่วนตามเกณฑ์มาตรฐาน คิ้วคม จมูกโด่ง และริมฝีปากบาง แต่ปิดปากแน่น รังสีบนร่างกายของเขาทำให้คนไม่สามารถละสายตาได้

ในตอนนี้หูฉีเพียงแค่กวาดสายตามองเสื้อผ้าของฉินเย่จือ เห็นเพียงว่าชายผู้นี้หล่อเหลาและจะสามารถฉวยเงินจากร่างนี้ได้มากเพียงใด แต่เขาไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับส่วนที่เหลือ

คราวนี้เมื่อฉินเย่จือจ้องมองเขาอย่างดุดัน หูฉีก็สั่นสะท้าน แต่เมื่อเขาคิดว่าชายผู้นี้เป็นเพียงนักปราชญ์ที่ยากจนที่กล้าจะดูหมิ่นตนเอง ความโกรธในหัวใจของเขาก็เพิ่มขึ้น เขาตบเก้าอี้ไม้และกล่าวอย่างดุดันว่า “เจ้ากล้าที่จะดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ผู้นี้อย่างนั้นหรือ เจ้าจะต้องได้รับการลงโทษที่รุนแรง”

ว่าอย่างไรนะ? กู้เสี่ยวหวานรีบก้าวไปข้างหน้าและยืนขวางหน้าฉินเย่จือเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คุมเข้ามาใกล้เขา

อย่างไรก็ตามฉินเย่จือก็ดันกู้เสี่ยวหวานไปข้างหลังเขาเพื่อปกป้องนางไว้ จากนั้นจึงมองไปที่หูฉีและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ในราชวงศ์ชิงมีกรณีพิเศษเช่นนี้ด้วยหรือ โจทก์ผู้นี้ฟ้องร้องจำเลย และโจทก์ก็ควรไปเรียกจำเลยมาด้วยหรือ?”

“นี่…นี่…” หูฉีพูดไม่ออก จากนั้นเขาก็คิดเกี่ยวกับมันและกล่าวอย่างโกรธเคือง “ข้าอยู่ในเมืองหลิวเจียแห่งนี้ นี่เป็นกฎหมาย ข้าคิดอย่างไรก็ต้องทำเช่นนั้น เมื่อไม่มีจำเลยก็ต้องยกฟ้อง พวกเจ้ามาเอาสองคนที่ดูหมิ่นศาลออกไป!”

“ใครกล้า!” ในเวลานี้ฉินเย่จือกางแขนออกเพื่อปกป้องกู้เสี่ยวหวานที่อยู่ข้างหลังของเขา เพราะกลัวว่าอาวุธของผู้ที่เข้ามาจะทำร้ายกู้เสี่ยวหวาน

รังสีเย็นชาเล็ดลอดออกมาจากร่างกายของฉินเย่จือทำให้คนรอบข้าง ขยับออกห่างจากเขาโดยไม่รู้ตัว!

บางคนที่ไม่กลัวความตายยังคงเดินหน้าต่อไป แต่แล้วพวกเขาทั้งหมดรู้สึกถึงลมหายใจที่เย็นยะเยือก ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงอันตราย

หูฉีหรี่ตา เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่กล้าออกมาข้างหน้า จึงตะโกนขึ้นอีกครั้ง “ยังไม่รีบไปอีก!”

กู้เสี่ยวหวานมองไปที่ผู้คนที่กำลังจะเข้ามาอีกครั้ง ในมือของทุกคนล้วนถืออาวุธ นางจึงหวาดกลัวว่าจะสูญเสียฉินเย่จือไป ดังนั้นนางจึงรีบดึงเสื้อของเขาและกระซิบว่า “ท่านพี่ ไปกันเถอะ”

ฉินเย่จือพยักหน้า ชำเลืองมองผู้คนรอบตัวเขาอย่างเย็นชา จากนั้นเหลือบมองหูฉีอีกครั้ง

หูฉีสั่นสะท้าน โชคดีที่มีโต๊ะแปดเซียนอยู่ข้างหน้าเขาช่วยพยุงไว้เพื่อไม่ให้เขาล้มลง เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนจากไปแล้ว หูฉีก็ยังคงมีความกลัวอยู่ นักปราชญ์ที่น่าสงสารผู้นี้จะมีท่าทีน่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไร

*[1] หน่วยงานราชการในระบบศักดินาของจีน ซึ่งหมายถึงที่ว่าการท้องถิ่น และว่าการโดยข้าราชการสูงสุดที่เป็นผู้ดูแลพื้นที่ในเขตนั้น ๆ