บทที่ 296 เครือญาติ

บทที่ 296 เครือญาติ

หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ในที่สุด หูฉีก็รับใบคำร้องมาดูอีกครั้งพลางส่งเสียงหัวเราะอย่างเต็มเสียง และสั่งเจ้าหน้าที่ผู้น้อยที่อยู่ข้าง ๆ เขาว่า “ยังไม่รีบไปตามหาเหลยต้าเซิ่งมาอีก”

เจ้าหน้าที่ผู้นั้นพยักหน้าและรีบออกไปทันที

หูฉีถือใบคำร้องไว้ในมือ และเดินเอามือไพล่หลังไปด้วยสีหน้าที่พึงพอใจ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เหลยต้าเซิ่งก็เข้ามายังที่ว่าการอำเภอผ่านประตูหลัง

เหลยต้าเซิ่งผู้นี้คุ้นเคยกับที่ว่าการอำเภอแห่งนี้เป็นอย่างดี และมาถึงห้องของหูฉีอย่างง่ายดาย

หูฉีกำลังจิบชาหอมกรุ่นอยู่ในศาลา และมีสาวงามสองคนที่อ่อนโยนและมีกลิ่นกายหอมเย้ายวนอยู่ข้าง ๆ ดังนั้นเขาจึงพอใจกับสายลมฤดูใบไม้ผลิมาก

“ท่านหู” เหลยต้าเซิ่งเดินมาหยุดลงตรงหน้าหูฉี และก้มลงวางกระเป๋าทันที

หูฉีตอบรับ และสาวสวยที่อยู่ถัดจากเขาก็ก้าวถอยหลังออกไปทีละคน ในเวลานี้เหลยต้าเซิ่งก้าวไปข้างหน้าและอยู่ห่างจากหูฉีเพียงหนึ่งก้าว เอ่ยเรียกอย่างประจบสอพลอ “ท่านพี่…”

ปรากฏว่าหูฉีผู้นี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเหลยต้าเซิ่ง ไม่น่าแปลกใจที่โรงหมอของเหลยต้าเซิ่งยังคงเปิดอยู่ในเมืองหลิวเจียได้

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้ข้าเรียกเจ้ามาด้วยเหตุอันใด?” หูฉีโยนใบคำร้องจากกู้เสี่ยวหวานลงบนโต๊ะตรงหน้าขิงเหลยต้าเซิ่ง “ดูให้ดี”

เหลยต้าเซิ่งเหลือบมอง และตื่นตระหนก “กู้เสี่ยวหวานหาข้าพบได้อย่างไร?”

“ข้าจะรู้ได้อย่างไร? คราวนั้นข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่ามีความคิดคดโกงเช่นนี้ ที่ดินของครอบครัวนี้ได้รับการจดทะเบียนโดยทางการแล้ว และโฉนดอย่างเป็นทางการในมือของพวกเขาก็ออกโดยทางการและประทับตราด้วยตราประทับของทางการด้วย หากเจ้าไปยุ่งกับที่ดินของผู้อื่น อย่างไรเสีย คนอื่นก็จะหาเจ้าพบแน่นอน”

เหลยต้าเซิ่งรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วเช่นนี้ “แล้วท่านพี่ ข้าควรทำอย่างไรดี?”

“ข้าไล่พวกเขาออกไปแล้ว” หูฉีดื่มชาอีกถ้วยแล้วกล่าวว่า “เด็กหญิงผู้นี้ เกรงว่ามันจะเป็นเรื่องยากที่จะรับมือ!”

เหลยต้าเซิ่งจึงขอร้องทันที “ท่านพี่ ท่านเป็นเจ้าเมืองของเมืองหลิวเจีย หวังว่าคงไม่มีอะไรที่ท่านไม่สามารถทำได้”

หูฉีพยักหน้า “อืม เรื่องนี้ข้าจะช่วยจัดการให้ เจ้าไปเรียกซ่งลี่มา ข้าจะให้เขาจัดการเรื่องนี้”

เหลยต้าเซิ่งพ่นลมหายใจทันทีและกล่าวว่า “ซ่งลี่ผู้นั้นทั้งเหม็นและแข็งราวกับก้อนหินในคูน้ำ หากไม่ใช่เขา สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร แค่ขีดฆ่าบันทึกของเด็กหญิงคนนั้นทิ้งไป คงจะดีถ้าจะผลักดันเรื่องทั้งหมดนี้ไปที่ข่งฟาง ทำให้เรื่องกลายเป็นว่าข่งฟางขายที่ดินผืนเดียวให้กับสองครอบครัว”

หูฉีพยักหน้า “อืม เป็นวิธีที่ดี เจ้ากลับไปก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องนี้ทีหลัง แต่ซ่งลี่ผู้นี้…ข้าเกรงว่าจะรับมือยากไปสักหน่อย!”

ซ่งลี่ผู้นี้ เดิมทีเป็นคนของอดีตเจ้าเมือง ครานั้นอดีตเจ้าเมืองต้องไปดำรงตำแหน่งสำคัญที่เมืองอื่น เขาจึงให้ซ่งลี่ประจำการอยู่ที่เมืองนี้และได้ฝากฝังซ่งลี่ไว้กับหูฉีว่าให้ซ่งลี่ผู้นี้ช่วยเหลืองานในราชการอย่างซื่อตรงตามความเห็นชอบของหูฉีได้เลย

เพียงแต่ว่าซ่งลี่ผู้นี้ มีนิสัยเฉกเช่นอดีตเจ้าเมือง เขาเป็นผู้มีคุณธรรม ยึดมั่นในหลักการ เช่นเดียวกับหินในคูน้ำ มันเหม็นและแข็ง ยากที่จะกำจัด

หูฉีเคยบอกให้ซ่งลี่ให้มอบบันทึกให้เขาแล้ว แต่ซ่งลี่ก็เด็ดเดี่ยวยิ่งนักโดยบอกว่าบันทึกนั้นไม่สามารถนำออกมาจากตู้ได้เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่ดีขึ้น

หูฉีโกรธจัด ทุกอย่างในเมืองหลิวเจียอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา การที่เขาจะดูบันทึกแล้วจะเป็นอะไร แต่ซ่งลี่ตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่ให้ดูและเก็บมันไว้ในตู้อย่างดี มีเพียงซ่งลี่เท่านั้นที่มีกุญแจ หูฉีคิดจนหัวแทบระเบิดว่าจะเอามันออกมาจากตู้ได้อย่างไร แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างก็คิดไม่ออก ดังนั้นเขาทำได้เพียงยอมแพ้

ในความสิ้นหวัง เขาทำได้เพียงทำโฉนดทางการอีกสองฉบับและประทับตราของทางการ

ไม่มีใครคิดว่ากู้เสี่ยวหวานผู้นี้จะฉลาด และคิดที่จะตรวจสอบบันทึกก่อน หลังจากตรวจสอบบันทึกแล้ว นางก็รู้ว่าที่ดินผืนนี้เป็นของนาง และแน่นอนว่าสามารถฟ้องร้องได้เช่นกัน

เมื่อเหลยต้าเซิ่งเห็นว่าหูฉีตอบรับว่าจะช่วยเหลือตนเองแล้ว เขาก็พยักหน้าและโค้งคำนับประจบสอพลอทันที ทั้งยังหยิบเงินถุงขนาดใหญ่ออกมาจากอกของเขาและยื่นมันไปให้หูฉีด้วยมือทั้งสองข้างอย่างเคารพและกล่าวว่า “ท่านพี่ นี่เป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ท่าน”

“นี่เจ้าทำอะไร เราก็เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น!” แม้หูฉีจะกล่าวเช่นนั้น แต่เขากลับเอื้อมมือออกไปหยิบถุงเงินมาทันที จากนั้นก็พลิกดูมันอย่างโจ่งแจ้ง เกรงว่าคงจะมีเงินอยู่ในนี้มากมาย จากนั้นก็เผยรอยยิ้ม “ได้ เรื่องของซ่งลี่ข้าจะจัดการเอง”

เหลยต้าเซิ่งกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนจะจากไป หลังจากออกจากที่ว่าการอำเภอ เขาก็ไปที่บ้านของกู้ฉวนลู่แทนที่จะกลับไปที่โรงหมอ

เมื่อสักครู่เขาได้แสดงความเคารพต่อลูกพี่ลูกน้องด้วยเงินจำนวนมาก ดังนั้นต้องไปหากู้ฉวนลู่เพื่อเอาเงินนั้นคืน

เมื่อกู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือออกจากหยาเหมิน ความรู้สึกของพวกเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

“เจ้าหน้าที่บิดเบือนกฎหมาย!” หลังจากออกมา กู้เสี่ยวหวานมองไปที่สิงโตหินสองตัวที่ประตูทำที่ว่าการอำเภอและก่นด่าอย่างดุเดือด

ฉินเย่จือก็เรียนรู้ที่จะก่นด่าเช่นกัน “เจ้าหน้าที่ทุจริต!”

กู้เสี่ยวหวานกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ราวกับมดบนกระทะร้อน คราวนี้นางก่นด่าอย่างหยาบคาย ฉินเย่จือเองก็ก่นด่าเช่นกัน หลังจากพ่นคำเหล่านั้นออกมาเพื่อระบายความคับแค้นในใจก็ทำให้รู้สึกร่างกายเบาโหยง “เจ้าหน้าที่ทุจริตเหล่านี้ที่ไม่ได้ทำเพื่อประชาชนสมควรไล่ออกและถูกสอบสวน!”

ฉินเย่จือพยักหน้า

เขาเหลือบมองที่ว่าการอำเภออย่างครุ่นคิด ที่นี่ไม่ใหญ่และเจ้าหน้าที่ก็ไม่มีอำนาจขนาดนั้นเช่นกัน แต่กลับทำตัวกร่างเพราะกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้

“หือ? สาวน้อยกู้?” เมื่อกู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือกำลังจะกลับไป พวกเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยอยู่ด้านหลัง

กู้เสี่ยวหวานหันกลับไปและเห็นว่าเป็นซ่งลี่ที่พบกันเมื่อวานนี้ และนางจึงรีบไปพบเขา

เมื่อเห็นพวกเขาสองคนยืนอยู่ที่ประตูที่ว่าการอำเภอ ซ่งลี่ก็สงสัยเล็กน้อย “พวกเจ้าสองคนมาทำอะไรที่นี่?”

“ข้ามาธุระเรื่องเกี่ยวกับที่ดินของข้า” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างโกรธเคือง

“เจ้าสองคนเป็นคนตีกลองที่โถงเมื่อสักครู่อย่างนั้นหรือ?” ซ่งลี่ถามด้วยความไม่เชื่อ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง

เมื่อเห็นดวงตาที่เบิกกว้างของซ่งลี่และสีหน้าไม่เชื่อของเขา ฉินเย่จือก็ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ทำไมท่านถึงมีสีหน้าเช่นนั้น? ถ้าประชาชนมีปัญหาแล้วมาให้เจ้าหน้าที่ช่วยแก้ไข เช่นนี้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

“เหอะ…” ซ่งลี่ยิ้มเยาะและมองไปยังที่ว่าการอำเภอด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม “สาวน้อยกู้ นายท่านฉิน พวกเจ้าไม่เคยได้ยินว่าประตูหยาเหมินเปิดต้อนรับ แต่ไม่มีเหตุผลที่จะเข้ามาโดยไม่มีเงิน*[1] อย่างนั้นหรือ?”

“น่าเกลียดยิ่งนัก!”

“หืม ไม่ใช่แค่น่าเกลียด แต่ว่ามันน่ารังเกียจต่างหาก!” ซ่งลี่กัดฟันกรอด “อดีตเจ้าเมืองอยู่ที่นี่เป็นเวลาห้าปี เขารักประชาชนราวกับเป็นลูกและเขาก็เป็นที่รักของผู้คนอย่างสุดซึ้ง ต่อมาเขาได้เลื่อนตำแหน่งและไปประจำการที่เมืองอื่น เขาไม่ได้คิดว่าคนที่มาแทนจะเป็นคนเช่นนี้ คนผู้นั้นเป็นเจ้าหน้าที่ที่ทุจริต รักเงินเท่าชีวิตและปล้นสะดมของประชาชน!”

*[1] การไปฟ้องร้องถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถชนะคดีได้ ในสมัยก่อนรู้จักแต่เงินไม่ใช้เหตุผล