บทที่ 297 ฉีกหน้า

บทที่ 297 ฉีกหน้า

คำพูดของซ่งลี่หนักแน่นและดังกึกก้อง แม้จะมีทหารยามยืนเฝ้าอยู่ที่ประตู แต่ซ่งลี่ไม่เกรงกลัวว่าคนผู้นั้นจะได้ยิน หลังจากกัดฟันกรอด และถ่มน้ำลายไปทางที่ว่าการอำเภอ

ทหารยามที่เฝ้าประตูได้ยินการเคลื่อนไหวที่นี่ จึงยื่นหน้าออกมาดู หลังจากได้ยินคำพูดของซ่งลี่ สีหน้าของชายผู้นั้นก็ดูแปลกไปเล็กน้อย

กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าซ่งลี่ผู้นี้ไม่กังวลว่าคนอื่นจะได้ยินคำพูดของเขาเลย เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าเมืองคงสับสนที่จะมอบรางวัลให้แก่เขา

“สาวน้อยกู้ เจ้าคงยังไม่รู้ใช่หรือไม่?” ซ่งลี่ยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าคงยังไม่รู้ว่าชื่อเล่นที่ชาวเมืองหลิวเจียตั้งให้เจ้าเมืองนั้นชื่ออะไร?”

กู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือมองหน้ากัน พลางเอ่ยถาม “ชื่อว่าอะไร?”

“เจ้าเมืองทุจริต!” ซ่งลี่ยิ้มเยาะด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม “ชายผู้นี้ไม่มีหมึก*[1] แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงเป็นเจ้าหน้าที่ได้? ชายผู้นี้รักเงินเท่าชีวิตของเขา ไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่าจะเป็นข้าราชการที่ดีได้อย่างไร น่าเสียดาย…น่าเสียดายที่มีเจ้าหน้าที่ทุจริตในเมืองหลิวเจียของเรา กี่ครอบครัวแล้วที่ถูกข่มเหงและต้องพบเจอกับความโศกเศร้า!”

ซ่งลี่ถอนหายใจและเกลี้ยกล่อม “สาวน้อยกู้ ถ้าเจ้ามาหาเจ้าหน้าที่ทุจริตเพื่อที่ดินของเจ้า มันอาจจะเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ก็ได้ ถ้าเจ้าเข้าไปในที่แห่งนี้ เกรงว่าเจ้าจะต้องจ่ายเงินมากกว่าราคาที่ดินของเจ้าเสียอีก ข้าแนะนำว่าอย่าไปตรวจสอบเลย!”

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินสิ่งนี้ นางกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? ที่ดินผืนนั้นเป็นของข้า แต่ถูกคนอื่นยึดครองไป ท่านต้องการให้ข้ายอมทนต่อไปอย่างนั้นหรือ ในโลกนี้ไม่มีกฎหมายแล้วหรืออย่างไร”

ซ่งลี่หัวเราะราวกับว่าเขาได้ยินเรื่องขบขัน “กฎหมาย? เจ้าไม่ได้ฟังเจ้าหน้าที่ทุจริตนั่นพูดเลยหรือ ในเมืองหลิวเจียแห่งนี้ ตัวเขานั่นแหละคือกฎหมาย!”

หลังจากฉินเย่จือได้ยินเรื่องนี้ก็ตบไหล่กู้เสี่ยวหวานเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ถ้าเราไม่สามารถฟ้องร้องที่นี่ได้ก็ไปที่เมืองรุ่ยเสียนกันเถอะ ขุนนางในราชวงศ์ชิงนี้จะทุจริตเหมือนกันทุกคนเลยหรือ?”

ซ่งลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “สาวน้อยกู้ ถ้าเจ้าอยากจะเอาคืนมาจริง อย่างที่นายท่านบอก เจ้าสามารถไปที่เมืองรุ่ยเสียนได้ ข้าเคยได้ยินมาว่าหลิวจือเสี้ยน เจ้าเมืองคนใหม่ของเมืองรุ่ยเสียนเป็นคนซื่อสัตย์!”

กู้เสี่ยวหวานตัดสินใจและกล่าวขอบคุณซ่งลี่ จากนั้นทั้งสองก็กลับไป เนื่องจากเป็นเวลาสายแล้วทั้งสองจึงกลับบ้านก่อน โดยวางแผนจะกลับไปในเมืองในเช้าวันรุ่งขึ้น

อีกด้านหนึ่ง เหลยต้าเซิ่งไปที่บ้านของกู้ฉวนลู่และบังเอิญว่ากู้ฉวนลู่อยู่ที่บ้านพอดี เมื่อเห็นเหลยต้าเซิ่งกำลังมา เขาก็รีบต้อนรับเหลยต้าเซิ่งเข้ามาด้วยรอยยิ้ม

“หมอเหลย ท่านมาแล้ว!”

เหลยต้าเซิ่งพ่นลมอย่างเย็นชาด้วยสีหน้าไม่พอใจ เมื่อเห็นเช่นนั้นกู้ฉวนลู่ก็รู้สึกหัวใจเต้นแรง

“หมอเหลย ท่านเป็นอะไรไป?” กู้ฉวนลู่เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“จะเรื่องอะไรอีกล่ะ? คราวที่แล้วข้าบอกท่านว่าอย่าคิดไปแย่งที่ดินหลานสาวของท่าน แต่ท่านไม่ฟัง คราวนี้พวกเขาส่งเรื่องฟ้องร้องพวกเราไปที่หยาเหมินแล้ว” เหลยต้าเซิ่งไม่กล่าวอะไรต่อ

กู้ฉวนลู่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินว่าตนเองถูกฟ้องร้อง “ว่าอย่างไรนะ ฟ้องร้องเราหรือ? ใครกัน?”

เหลยต้าเซิ่งจ้องไปที่กู้ฉวนลู่และตอบด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านกำลังถามว่าใครหรือ? จะเป็นใครได้อีกล่ะ นอกจากหลานสาวของท่านแล้วจะมีใครอีกหรือ?”

ทันทีที่เขาได้ยินว่าเป็นกู้เสี่ยวหวานที่ฟ้องร้องพวกเขา กู้ฉวนลู่จึงเอ่ยเยาะเย้ย “ข้าก็นึกว่าเป็นใคร นางเป็นแค่เด็กโกหก หมอเหลยรับมือไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

เมื่อหมอเหลยได้ยินคำพูดของกู้ฉวนลู่ เขาก็กล่าวกลับไปทันทีว่า “เจ้าบ้า ใครบอกว่าข้ารับมือไม่ได้? หึ ไม่รู้หรือว่าเจ้าเมืองเป็นผู้ใด?”

“จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร นางเป็นแค่เด็กหญิงคนหนึ่งที่ไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง จะมาเทียบกับหมอเหลยได้อย่างไร!” กู้ฉวนลู่กล่าวอย่างประจบสอพลอ “หมอเหลย แค่เพียงท่านชี้นิ้วก็สามารถปราบปรามเด็กหญิงผู้นั้นได้โดยไม่ต้องพูดอะไร”

“ก็แค่…” เหลยต้าเซิ่งรู้ว่าเขาสามารถยึดที่ดินจากมือของเด็กหญิงได้ และเขาก็มีวิธีที่จะทำให้นางต้องทนทุกข์จากการสูญเสียนี้ ก็แค่…ต้องใช้เงิน!

เหลยต้าเซิ่งยื่นมือออกมาแล้วบ่นกับกู้ฉวนลู่ “เมื่อสักครู่ข้าเพิ่งไปพบลูกพี่ลูกน้องข้ามา และเขาบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้และบอกว่าเราควรแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ข้าจึงให้เงินแก่เขา…” เหลยต้าเซิ่งใช้มือของเขาวาดตัวเลข กู้ฉวนลู่ตะลึงเมื่อเห็นมัน “หนึ่งร้อยตำลึงเงิน?”

เหลยต้าเซิ่งพยักหน้า

“คราวที่แล้วเจ้าให้เงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินแก่ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือ?” กู้ฉวนลู่กล่าวอย่างไม่พอใจ เขาไม่สามารถจ่ายเงินจำนวนมากได้ ครั้งที่แล้วก็จ่ายเงินไปห้าสิบตำลึงเงิน เดิมทีหวังว่าจะได้ที่ดินยี่สิบห้าหมู่ แต่คราวนี้ยังต้องจ่ายอีกห้าสิบตำลึงเงิน เงินร้อยตำลึงเงินนั้นก็สามารถซื้อที่ดินได้ยี่สิบหมู่แล้ว ไม่คุ้ม ไม่คุ้มเลยสักนิด!

*[1] ไม่มีวัฒนธรรม