บทที่ 364 แผนการของเสี่ยวเป่า
หลังจากหนานกงสือเยวียนเอ่ยจบ เขาก็อุ้มเสี่ยวเป่าออกไป เยว่หลีก็ทำท่าจะตามไปด้วย
หนานกงหลีรีบก้าวไปด้านหน้าหยุดเด็กหนุ่มเอาไว้แล้วพาเดินไปอีกด้าน
“ผิดทางแล้ว ทางนี้”
เยว่หลีใช้เวลาสองอึดใจก่อนตอบสนอง เขายื่นมือออกไปทันที “เสี่ยวเป่า”
หนานกงฉีอิงก้าวออกไปด้านหน้า ช่วยเสด็จอาเจ็ดดึงตัวคนเดินไปทิศตรงข้าม
เสี่ยวเป่าอันใด เจ้าเมาเช่นนี้แล้วยังคิดตามเสี่ยวเป่าอีก ไม่กลัวจะถูกทุบตีไล่ออกมาเสียเลย!
ขี้เมาน้อยเสี่ยวเป่ายืนกรานจะกินช็อกโกแลตและอมยิ้ม ทว่าไม่มีผู้ใดเข้าใจว่านางกำลังพูดถึงสิ่งใด
หนานกงสือเยวียนวางนางลงบนเตียง ป้อนน้ำให้นางเล็กน้อยแล้วออกคำสั่งเสียงเรียบ “ไปทำถังหูลู่มาสักไม้”
ถังหูลู่ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ฝีมือมากมายในการทำ เพียงไม่นานถังหูลู่ไม้หนึ่งก็ถูกนำมาอย่างรวดเร็ว
“ให้เจ้า อมยิ้มที่เจ้าต้องการ”
เสี่ยวเป่าถือ ‘อมยิ้ม’ แล้วก็สงบลงทันที นั่งบนเตียงแกว่งเท้าแทะถังหูลู่อย่างสบายอารมณ์
ใบหน้าน้อย ๆ แดงระเรื่อ แม้จะอยู่ในความมึนงงแต่ก็ยังไม่ลืมท่านพ่อของตน เงยหน้าขึ้นมองแล้วยื่น ‘อมยิ้ม’ แบ่งให้เขากิน
“อร่อย ท่านพ่อกินด้วยสิ”
หนานกงสือเยวียนถอนหายใจออกมา เขาบีบแก้มนุ่ม ๆ อย่างหมั่นเขี้ยว
“ข้ากินอิ่มแล้ว เจ้ากินเถิด”
เสี่ยวเป่าส่งเสียงตอบรับอย่างว่าง่าย ก่อนจะเลียถังหูลู่อีกครั้ง
ขณะเดียวกันก็นับนิ้วพึมพำบางอย่างไปด้วยระหว่างกิน
หนานกงสือเยวียนขยับเข้าไปใกล้ขึ้นด้วยความใคร่รู้ จนในที่สุดก็ฟังออก
“หมักสุรา ดอกฝ้าย น้ำมันถั่วเหลือง น้ำตาลอ้อย น้ำตาลหัวผักกาด มันเทศ มันฝรั่ง ซังข้าวโพด ถ่านหิน? อืม…ยังมีสิ่งใดที่ต้องบอกท่านพ่ออีกนะ ต้องจำไว้ ต้องจำไว้”
หนางกงสือเยวียนฟังเหมือนเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
ลูกสาวของเขาเอ่ยถึงสิ่งใดกัน
หนานกงสือเยวียนยิ้มจนใจ ลูบหัวเด็กน้อยแล้วเอ่ยออกมา “หลับเสีย”
เสี่ยวเป่าส่งเสียงอืมตอนรับ ส่งถังหูลู่ในมือให้ท่านพ่ออย่างว่าง่าย จากนั้นก็เช็ดทำความสะอาดมือ
เสร็จแล้วก็ปีนขึ้นเตียงตัวเองพร้อมมุดลงไปใต้ผ้าห่มก่อนจะนิ่งไป
หนานกงสือเยวียนมองดูนางนอนเอาปลายเท้าชี้หมอน “…”
เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็จัดท่าทางร่างเด็กน้อยให้นอนดี ๆ
เสี่ยวเป่าดื่มสุราเพียงนิดเดียว แม้จะคออ่อนยิ่ง แต่เมื่อหลับไปแล้วหลังตื่นก็ฟื้นคืนสติกลับมาอย่างสมบูรณ์
แต่นางก็เกียจคร้านเป็นอย่างยิ่ง ถึงตื่นแล้วแต่ก็ยังคงอยู่บนเตียงจนกระทั่งถึงเวลาอาหาร
ภายในพระราชวังแห่งนี้ไม่มีคนคอยควบคุมจัดการนาง ไม่เช่นนั้นด้วยธรรมเนียมอันเคร่งครัดของพระราชวัง คงเป็นเรื่องแปลกที่นางจะสามารถตื่นสายได้ถึงเพียงนี้
“ท่านพ่อใกล้จะขึ้นว่าราชการแล้ว รีบแต่งตัวให้ข้าเถิด”
เสี่ยวเป่านอนคว่ำหน้าเขียนหนังสือบนเตียง ไม่รักษาภาพลักษณ์แม้แต่น้อย ทว่านางก็ไม่ได้สนใจ
นางยังเด็กถึงเพียงนี้ ต้องการภาพลักษณ์อันใดกัน!
รอจนใกล้ถึงเวลา นางก็วางสิ่งที่เขียนเอาไว้แล้วไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
บนกระดาษที่นางทิ้งเอาไว้ สามารถเห็นคำว่า ‘หนังสือแผนการของเสี่ยวเป่า’ ที่พยายามเขียนให้ตัวอักษรตรงที่สุด
แผนการแรกคือสุรา นางไม่เพียงแต่ต้องการจะหมักเหล้าองุ่นเท่านั้น แต่ปีนี้นางยังต้องการจะหมักเหล้าขาวอีกด้วย
ส่วนพืชผลที่นำมาหมักสุราย่อมต้องมาจากหมู่บ้านของนางเอง ตอนนี้นางมีอยู่สองหมู่บ้าน แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมานางจะไม่อยู่ แต่พี่ใหญ่ก็สั่งให้คนในหมู่บ้านปลูกข้าวขึ้นใหม่
เก็บส่วนใหญ่เอาไว้ แบ่งมาส่วนหนึ่งเพื่อใช้หมักสุรา
ไม่ได้ ไม่ได้ ทั้งหมดล้วนเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดี เช่นนั้น เช่นนั้นก็เอาเงินไปซื้อมาบางส่วน
รออีกอย่างมากสุดสองปี เมล็ดข้าวชั้นดีก็จะสามารถพบได้ทั่วไป จากนั้นนางก็จะสามารถทำสุราชั้นยอดให้ท่านพ่อได้
นางลอบวางแผนในใจ เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วนางก็รีบวิ่งตรงไปหาท่านพ่อทันที
ทว่าเพียงเพิ่งก้าวเท้าออกไปก็ต้องถอยกลับทันที แดดด้านนอกแรงเกินไปแล้ว!
“องค์หญิง ร่มเพคะ”
ชุนสี่รีบเดินตามมาพร้อมพัดกระดาษน้ำมัน
เสี่ยวเป่ารับมาทันที “ข้าถือเอง”
นางตัวเตี้ยเกินไป เหล่านางกำนัลต้องก้มตัวลงเพื่อกางร่มให้นาง แค่มองก็ทำให้นางรู้สึกปวดหลังแทนแล้ว จึงเลือกจะถือด้วยตัวเอง
เสี่ยวเป่ากางร่มออกแล้ววางพาดบนไหล่เล็ก ๆ ของตน มืออีกข้างจับกระโปรงยกขึ้น วิ่งออกไปด้วยก้าวน้อย ๆ
“ไปที่ห้องโถงข้าง ๆ ก่อน เสี่ยวเป่าจะทำน้ำบ๊วยให้ท่านพ่อ”
อากาศร้อนเป็นอย่างยิ่ง ขนาดเสือทั้งสองยังไม่เต็มใจจะออกไปด้านนอก ทุกวันนี้กินแตงโมงเย็นสองลูกจึงจะยอมหยุดนิ่ง
ถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
ใส่น้ำผึ้งที่นำติดมาด้วยลงไป น้ำบ๊วยเปรี้ยวหวานเย็นฉ่ำก็พร้อมดื่ม!
หลังจากทำน้ำบ๊วยเสร็จแล้ว นางก็ยังใส่น้ำแข็งลงไปด้วย
“อันนี้ถือตามข้าไป ส่วนตรงนั้นส่งให้พวกท่านพี่ ส่วนที่เหลือให้กับเหล่าพระสนม”
เหล่าท่านพี่ช่างน่าสงสาร ยามนี้ก็ยังคงต้องเรียนอยู่ คิก คิก คิก…
เยว่หลีเองก็ถูกลากไปเรียนด้วย นางสามารถนั่งเล่นรอกับท่านพ่อได้ ไว้อากาศไม่ร้อนค่อยไปหา
เมื่อได้น้ำบ๊วยเย็นฉ่ำมาแล้ว เสี่ยวเป่าก็ถือร่มวิ่งตามทางไปหาท่านพ่อ
นางนับได้ว่าโชคดีเป็นอย่างยิ่ง ได้พบกับขบวนเสด็จของท่านพ่อที่กลับมาพอดิบพอดี
ฝูไห่ที่เห็นเด็กน้อยถือร่มด้วยตนเองวิ่งเข้ามาหาก็พลันอุทานด้วยความรู้สึกทุกข์ใจ
“อากาศร้อนเช่นนี้ เหตุใดองค์หญิงจึงวิ่งออกมา ทั้งยังถือร่มด้วยตนเอง!”
เขาถลึงตามองบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลังเสี่ยวเป่า “พวกเจ้าทำสิ่งใดอยู่ เหตุใดจึงปล่อยให้องค์หญิงน้อยถือร่มด้วยตนเองเช่นนี้”
ชุนสี่และคนอื่น ๆ คุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเป่าส่งเสียงเรียกท่านพ่ออย่างมีความสุข หลังจากนั้นนางก็เอ่ยเสียงหวานกับฝูไห่
“ฝูไห่กงกงอย่าได้โกรธเลย เสี่ยวเป่าอยากมาหาท่านพ่อ และเสี่ยวเป่าก็อยากถือร่มเอง เช่นนี้สะดวกกว่า”
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่านำน้ำบ๊วยเย็น ๆ มาให้ ท่านพ่อทำงานเหน็ดเหนื่อย เสี่ยวเป่าปวดใจนัก”
หนานกวสือเยวียนเหลือบมองนาง “ขึ้นมา”
บนเกี้ยวขบวนเสด็จของฮ่องเต้มีน้ำแข็งอยู่ ดังนั้นเสี่ยวเป่าจึงนั่งด้วยความสบายเป็นอย่างยิ่ง
แต่เมื่อมองดูคนที่คอยถือพัดขนาดใหญ่โบกให้พวกเขาแล้ว ก็รู้สึกว่าพัดนี้ช่างลมอ่อนและใช้แรงคนยิ่ง
ในใจรำพึงต้องการไปหาพี่สาม ลองดูว่าจะสามารถทำพัดลมออกมาได้หรือไม่
แม้นางจะไม่มีความสามารถด้านนี้ แต่นางก็เห็นมามากแล้วว่า ถ้าต้องการสิ่งใดก็สามารถบอกให้พี่สามวาดออกมานำไปศึกษาลองดูด้วยตัวเอง
“ท่านพ่อดื่มน้ำบ๊วยเถิด เปรี้ยว ๆ เย็น ๆ คลายร้อน”
หลังจากส่งน้ำบ๊วยให้ท่านพ่อแล้ว เสี่ยวเป่าก็เริ่มออดอ้อน “ท่านพ่อบอกให้พวกชุนสี่ยืนขึ้นได้หรือไม่ เสี่ยวเป่าต้องการมาหาท่าน เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านพ่อ ท่านพ่อไม่คิดถึงเสี่ยวเป่าหรือ?”
ภายในพระราชวังแห่งนี้ผู้ใดจะมีทักษะการออดอ้อนมากที่สุดกัน หากเสี่ยวเป่าบอกว่าตนเองเป็นที่สอง เช่นนั้นก็จะไม่มีใครกล้าเรียกตนว่าเป็นที่หนึ่ง
มุมปากของหนานกงสือเยวียนยกขึ้นเล็กน้อย เขาลูบหัวนางไม่แรงไม่เบา
“ลุกขึ้น”
เขาเอ่ยกับพวกชุนสี่ด้วยเสียงเย็นชา
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ขอบพระทัยองค์หญิง”
ขบวนเสด็จเดินทางกลับตำหนักฉินเจิ้งต่อ ส่วนเสี่ยวเป่านั่งอยู่ด้านข้างท่านพ่อพร้อมคุยจ้อเกี่ยวกับแผนการของตนเอง
“หมักสุรา ท่านพ่อ เครื่องลายครามสวยงามเหล่านั้นจะขายเช่นไรดี ปีนี้แตงโมและเฉาเหม่ยปลูกไว้เยอะมาก เรื่องเถียนช่ายมีข่าวคราวหรือไม่ แล้วยาของท่านพ่อเล่า”
ความคิดของเด็กน้อยข้ามไปข้ามมายามพูด ทำให้คนฟังไม่อาจเข้าใจได้อย่างเต็มที่ว่านางกำลังเอ่ยถึงสิ่งใด
หนานกงสือเยวียนจิบน้ำบ๊วยที่นางส่งให้แล้วเอ่ยตอบ
“มีข่าวคราวบ้างแล้ว”
ดวงตาของเสี่ยวเป่าเบิกกว้าง ทั้งร่างเอนลงบนตักของท่านพ่อ ไม่รังเกียจว่าจะร้อนแต่อย่างใด
“จริงหรือ” ดวงตาสีดำขลับของนางเปล่งประกาย