บทที่ 365 แต่ข้าท่องได้

เยว่หลีผู้รวมเป็นหนึ่งกับดอกสามชีวานั้นสำคัญกับการรักษากู่ในตัวท่านพ่อมาก มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถดึงกู่กัดกินหัวใจออกมาได้

แต่ก็ใช่ว่าดึงออกมาแล้วจะจบเพียงเท่านั้น เพราะกู่นี้อาศัยอยู่ในหัวใจ หากดึงมันออกมา หัวใจของหนานกงสือเยวียนก็จะเสียหาย แม้ไม่ตายแต่อายุขัยก็จะสั้นลงครึ่งหนึ่ง

จึงจำเป็นต้องมียารักษาและฟื้นฟูหัวใจที่เสียหาย

การรักษาจะเริ่มต้นขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกอย่างพร้อม เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและสุขภาพระยะยาวของหนานกงสือเยวียน ฉะนั้นแล้ว แม้เยว่หลีจะสามารถดึงกู่ออกมาและทำลายมันได้ในตอนนี้ แต่หากยังไม่พบตัวยาที่เหลืออยู่ ผู้ใดจะกล้าลงมือ

แม้พลังวิญญาณของเสี่ยวเป่าจะมีความสามารถในการรักษา แต่การบาดเจ็บภายในที่รุนแรงอย่างความเสียหายของหัวใจ ก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้ในคราวเดียว

เรื่องนี้หมายถึงชีวิตของท่านพ่อ นางต้องมีสติและใจเย็น ต้องหายารักษาให้พบเสียก่อน

แต่พอได้ยินท่านพ่อบอกว่ามีข่าวคราวเกี่ยวกับตัวยาสำคัญ เสี่ยวเป่าพลันเงยหน้ามองตาแป๋ว

“ตอนนี้เรารู้เพียงข้อมูลของไหมเหมันต์พันปีกับสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์อย่างโสมเหมันต์หมื่นปีจากเขาเทียนซาน”

ไหมเหมันต์เป็นกู่ประเภทหนึ่ง ไหมที่ได้จากตัวกู่จะกลายเป็นผลึกน้ำแข็งใช้ผนึกหัวใจให้ด้านชา

ต้องใช้มันผนึกหัวใจไว้ชั่วคราว เพื่อลดความเจ็บปวดและช่วยให้หัวใจเสียหายน้อยที่สุดในระหว่างที่กู่ถูกทำลาย หลังจากนั้นต้องดื่มยารักษาโดยเร็วที่สุด ก่อนจะสลายผลึกน้ำแข็งด้วยส่วนผสมพิเศษที่สกัดจากดอกเถ้ากระดูก

มันเป็นวิธีที่อันตรายมาก แต่นี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้หัวใจไม่บุบสลาย โดยไม่กระทบต่ออายุขัยและสุขภาพในระยะยาว

หนานกงสือเยวียนไม่กลัวตาย เพราะตอนนี้เขามีรัชทายาทผู้สืบราชบัลลังก์แล้ว

แต่เขายังไม่อยากตายตอนนี้ เขายังไม่ได้เห็นเสี่ยวเป่าเติบโต เฝ้ามองเสี่ยวเป่าของเขาออกเรือน เขาผู้เป็นพ่อจะต้องอยู่ปกป้องคุ้มครองนาง ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ ราชบุตรเขยอย่าคิดรังแกนางแม้เพียงปลายเส้นผม!

หนานกงสือเยวียนลูบหัวเสี่ยวเป่า แม้ไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ทว่าสัมผัสนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกล้นเปี่ยม

“มีรายงานเกี่ยวกับไหมเหมันต์มาว่า ในดินแดนทุ่งหญ้ามีสถานที่หนึ่งที่เรียกว่าฉางเฉิงเทียน เป็นภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ ที่นั่นอันตรายมาก ชาวเผ่าทุ่งหญ้าเรียกที่นั่นว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ฉางเซิงเทียนเป็นที่ตั้งของเผ่าลึกลับเผ่าหนึ่ง เป็นชนเผ่าเร่ร่อนนามว่าเยว่จือ มีบันทึกไว้ว่าครั้งหนึ่งเยว่จือเคยปกครองดินแดนทุ่งหญ้าทั้งหมด ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนกล้าหาญและเก่งกาจการต่อสู้ แต่ต่อมาเกิดความขัดแย้งภายใน ชาวเผ่าเยว่จือที่เหลือจึงอพยพไปตั้งรกรากที่ฉางเฉิงเทียน และไม่ออกมาให้ผู้ใดพบเห็นอีกเลย

ชนเผ่าทุ่งหญ้ายังขนานนามพวกเยว่จือว่าเผ่าบุตรแห่งสวรรค์ คนในเผ่าเลี้ยงไหมเหมันต์มาหลายพันปี ทว่าในช่วงหลายร้อยปีมานี้ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเผ่าเยว่จืออยู่ที่ใด และยังไม่มีผู้ใดพบเห็นพวกเขา”

หนานกงสือเยวียนเล่าด้วยเสียงทุ้มต่ำ ไม่เร็วไม่ช้า

เพราะเป็นเสี่ยวเป่า หากเป็นผู้อื่น หนานกงสือเยวียนคงไม่เสียเวลาเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง

“แต่ข้าได้รับรายงานมาว่าเสวี่ยเฟยในกษัตริย์ซยงหนูองค์ก่อนเป็นคนเผ่าเยว่จือ บุตรชายของนางอาจรู้ที่ตั้งของเผ่าเยว่จือ หลังจากสังหารกษัตริย์ซยงหนู เขาก็หนีไปที่เขาเหมันต์ฉางเฉิงเทียนและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”

เสี่ยวเป่ากังวล “แล้วเราจะตามหาไหมเหมันต์พันปีพบได้อย่างไรเพคะ”

หนานกงสือเยวียน “รอก่อน รอจนกว่าคนของข้าจะพบเส้นทางหลบหนีของคนผู้นั้น”

ตอนนี้คนผู้เดียวที่สามารถควบคุมกู่ได้ยังอยู่กับพวกเขา แถมยังเชื่อฟังบุตรสาวของเขาอย่างยิ่ง เรื่องนี้จึงไม่จำเป็นต้องกังวลอันใดให้มากนัก

แต่ยิ่งปล่อยไว้นาน ความเสียหายก็จะยิ่งมากขึ้น กู่จะกลืนกินพลังชีวิตของหนานกงสือเยวียน สรุปก็คือ ตราบใดที่กู่กัดกินหัวใจยังอยู่ในตัว อายุขัยของเขาก็จะลดลงเรื่อย ๆ

แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังหนุ่มร่างกายแข็งแรงและฟื้นตัวได้ดี แต่อีกสิบกว่าปีข้างหน้า อวัยวะภายในโดยเฉพาะหัวใจก็จะเข้าสู่สภาวะชราอย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้เสี่ยวเป่าจึงเป็นกังวลมาก

ตอนนี้พวกเขามีเพียงข้อมูลของไหมเหมันต์พันปี ทว่าตัวยาสำคัญที่เหลือกลับไร้ร่องรอย

แต่กังวลไปก็ไม่ได้ทำให้สิ่งใดดีขึ้น เวลานี้เสี่ยวเป่าได้แต่หวังว่าตนจะกลับไปโบยบินได้อย่างในชาติก่อนตอนเป็นภูตพฤกษา นางจะออกตามหาทั่วทุกหนทุกแห่งโดยไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใด

หากทำได้ดั่งใจคิด นางก็จะช่วยท่านพ่อตามหายาได้เร็วขึ้น แต่ตอนนี้… นางไร้ประโยชน์มาก

เสี่ยวเป่าห่อเหี่ยวใจจนหนานกงสือเยวียนต้องปลอบโยนอยู่พักหนึ่งถึงจะดีขึ้น

หลังมื้อเที่ยง ด้านหนานกงสือเยวียนไปสะสางงานต่อ ในขณะที่เสี่ยวเป่าเดินกางร่มไปหาเหล่าพี่ชายกับเยว่หลี

วันนี้เป็นวันแรกที่เยว่หลีไปสำนักศึกษา นางไม่รู้ว่าเขาจะปรับตัวได้หรือไม่

ในเมื่อเป็นครั้งแรก เขาย่อมไม่คุ้นเคย!

นี่เป็นคราแรกที่เข้ามาเหยียบสำนักศึกษา เยว่หลีจึงรู้สึกแปลกเล็กน้อย แต่พอชั้นเรียนแรกผ่านไป เขาพลันเกิดความสับสนว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ไหน

บอกได้คำเดียวคือน่าเบื่อ น่าเบื่อมาก คำพูดพวกนั้นมันไม่รู้จักข้า แล้วข้าก็ไม่รู้จักพวกมัน เราไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดถึงต้องมาทรมานกันด้วย!

วิชาแรกผ่านไป หนานกงฉีจวินเห็นว่าเขาดูแววตาเลื่อนลอยจึงตบไหล่เยว่หลีอย่างเข้าอกเข้าใจ

“ยากมากใช่หรือไม่ รู้สึกเหมือนฟังคัมภีร์สวรรค์ใช่หรือไม่ ง่วงมากใช่หรือไม่!”

หนานกงฉีจวินร้องลั่นระบายความอัดอั้นตันใจ

เยว่หลีพยักหน้าซ้ำ ๆ เป็นเช่นนั้นจริง!

หนานกงฉีเฉิน “ไม่เป็นไร เจ้ายังไม่เคยเล่าเรียนมาก่อน ไม่แปลกที่จะไม่เข้าใจ ท่านราชครูให้เราช่วยสอนเจ้าอีกแรง เขายังบอกอีกว่าจะจับตาดูเจ้าเป็นพิเศษ”

หนานกงฉีจวินขำแห้ง การได้รับความสนใจจากอาจารย์เป็นพิเศษนับเป็นเกียรติของศิษย์ แต่ถือเป็นหายนะสำหรับศิษย์ที่หัวไม่ดี!

หนานกงฉีจวินพยายามหุบยิ้ม ในที่สุดเขาก็มีเพื่อนร่วมชะตากรรม จะไม่ให้เด็กหลังห้องอย่างเขาดีใจได้อย่างไร

“อย่าเศร้าไปเลย ข้าเองก็ไม่เข้าใจบทเรียนที่ราชครูกับท่านอาจารย์คนอื่น ๆ สอนเช่นกัน ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำ แหะ ๆ”

เหล่าพี่ชาย “…”

ขอประทานโทษนะ เรื่องนี้มันน่าภาคภูมิใจตรงไหนมิทราบ

เยว่หลีเอียงหัวมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง ปอยผมขาวดุจหิมะสัมผัสกับพื้นโต๊ะด้านหน้าอย่างแผ่วเบา

“ข้าไม่เข้าใจ แต่ข้าจำได้นะ”

หนานกงฉีจวิน “???”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ เจ้าท่องได้แล้วหรือ”

คนที่เหลือตกตะลึงไปตาม ๆ กัน

“เจ้ารู้อักษรแล้วหรือ อักษรในตำราพวกนี้เจ้าก็อ่านออกหมดแล้วหรือ”

หนานกงฉีหลิงรู้มาว่าเขาไม่เคยได้รับการศึกษา อย่าว่าแต่อ่านออกเขียนได้เลย กระทั่งทักษะการใช้ชีวิตที่มนุษย์ควรมีเขายังแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ

เยว่หลีส่ายหัว “ไม่”

หนานกงฉีหลิง : …

ลืมคำพูดเพ้อเจ้อเมื่อครู่ของตนแล้วหรือไร รู้อักษรไม่กี่ตัว กลับคิดจะท่องตำรา

หนานกงฉีจวินกลอกตาหนึ่งหน “แต่เจ้าบอกว่าเจ้าท่องได้”

เยว่หลีเริ่มท่องทันใด “ขงจื่อกล่าวว่า การปกครองด้วยคุณธรรม ผลที่ได้ย่อมเหมือนกับดาวเหนืออันมีดาวดวงอื่นล้อมรอบ

ขงจื่อกล่าวว่า กวีสามร้อยบท สรุปได้ในประโยคเดียว คือ ‘ไม่คิดอกุศล’

ขงจื่อกล่าวว่า หากใช้กฎหมายปกครอง ใช้โทษทัณฑ์เข้าควบคุม แม้ราษฎรไม่กล้ากระทำผิด ทว่าไร้สำนึกต่อความผิด หากใช้คุณธรรมนำทาง ใช้จารีต พิธีการเข้าขัดเกลา ราษฎรไม่เพียงแต่เคารพกฎเกณฑ์ แต่ยังพาบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง

ขงจื่อกล่าวว่า สิบห้าหมั่นศึกษา สามสิบมั่นคง สี่สิบไม่งุนงงสงสัย ห้าสิบรู้แจ้งอาณัติสวรรค์ หกสิบรับฟังได้ทุกสิ่ง เจ็ดสิบทำสิ่งใดตามใจปรารถนา ทว่าอยู่ในกฎเกณฑ์”

ในระหว่างที่เยว่หลีท่อง ดวงตาของหนานกงฉีจวินก็เบิกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่เยว่หลีกำลังท่องคือ หลักการบริหารบ้านเมืองในคัมภีร์หลุนอวี่ที่ราชครูให้พวกเขาอ่านในชั้นเรียน

ท่องได้จริงด้วย!