บทที่ 343 สารภาพรัก
บทที่ 343 สารภาพรัก
โชว์ดอกไม้ไฟสุดยิ่งใหญ่ตระการตากินเวลาสิบนาทีเต็มก่อนจะจบลง
เด็กหนุ่มสาวที่เสร็จสิ้นพิธีส่งท้ายปีเก่าก็กระจัดกระจายออกไปเหมือนฝูงนก ไปต่อยังสถานบันเทิง
ทันใดนั้นชายหาดก็โล่ง
จินหลิงหรี่ตาลง “ฉันดูดอกไม้ไฟริมทะเลทุกปี แต่ปีนี้ดีที่สุดเลย”
หญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ เธอพูดติดตลกว่า “ดอกไม้ไฟก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละ จุดสำคัญคือคนที่มาชมดอกไม้ไฟกับเธอต่างหาก”
“อย่าพูดไร้สาระน่า”
จินหลิงดึงแขนเสื้อเพื่อนของเธอและชำเลืองมองไปที่ลู่เฉินอย่างประหม่า กลัวว่าเขาอาจได้ยินอะไรบางอย่าง
แต่ด้วยไอคิวของลู่เฉิน เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร?
ส่วนไป๋เสิ่นเฉียวที่ไม่สนใจจะเข้าไปยุ่งกับชีวิตรักของคนอื่นพูดขึ้น “โย่วอี๋ ไปเที่ยวเล่นด้วยกันไหม?”
“เธอบอกว่าจะซื้อเหล้าให้ฉันไม่ใช่เหรอ แล้วเหล้าล่ะ?”
ไป๋เสิ่นเฉียวรู้สึกประหลาดใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของซูโย่วอี๋ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก “งั้นไปตรงนั้นกัน”
ทั้งสองพากันจากไป
ไม่สนใจอีกสามคนที่อยู่ด้วยเลย
จินหลิงเห็นทางสะดวกจึงรวบรวมความกล้าหาญของตัวเอง “ประธานลู่คะ พวกเราไปเดินเล่นที่ชายหาดกันไหมคะ? ตอนนี้ไม่มีคนอยู่พอดี”
“ไม่ล่ะ ผมจะไปหาที่นั่งพัก”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินไปยังที่ที่ไป๋เสิ่นเฉียวอยู่
ทิ้งจินหลิงไว้เพียงแผ่นหลังที่ไม่แยแส
เพื่อนคนนั้นถอนหายใจ “หัวใจของผู้ชายคนนี้ลึกเหมือนมหาสมุทร เธอคิดว่าประธานลู่กำลังคิดอะไรอยู่? ตกลงว่าเขาสนใจเธอหรือเปล่าเนี่ย?”
จินหลิงงอนิ้วของเธอไปมา ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงมึนงง “ฉันไม่รู้ เธอบอกมาหน่อยสิ ฉันเป็นฝ่ายเริ่มถึงขนาดนี้แล้ว แต่เขากลับไม่พูดอะไรเลย เป็นไปได้ไหมว่าฉันเข้าใจผิดไปเอง?”
แต่ถ้าไม่ชอบเธอ ทำไมถึงปฏิบัติกับเธอดีนัก?
เมื่อสามปีก่อน หลังจากที่จินหลิงและป๋ายลิ่นมีความสัมพันธ์ในโรงแรมแห่งหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มเดตกันอย่างเป็นทางการในฐานะแฟน
อย่างน้อยก็จากมุมมองของจินหลิง
ป๋ายลิ่นไม่ได้เปิดเผยเธอต่อสาธารณะ โดยอ้างว่าเป็นความต้องการของบริษัท
“จินหลิง บริษัทรู้ว่าฉันมีแฟน แต่พวกเขาบอกว่าอาชีพการงานฉันกำลังรุ่งและต้องการให้ฉันเลิกกับเธอ”
“ฉันจะยอมได้ยังไง? แม้ว่าฉันจะต้องลาออกจากวงการบันเทิง ฉันก็จะอยู่กับเธอ”
ป๋ายลิ่นกอดเธอแน่น “ฉันไม่เคยชอบใครมากขนาดนี้มาก่อน”
จินหลิงน้ำตาไหล “คุณป๋ายลิ่น ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันจะไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ของเรากับใครแน่”
ป๋ายลิ่นจับหน้าเธอและจูบเธออย่างรักใคร่ “โง่จริง ฉันทำผิดต่อเธอเกินไปแล้ว”
“อย่าเข้าใจผิดนะ ความสัมพันธ์ต้องใช้ความพยายามร่วมกันของทั้งสองฝ่าย และเธอก็จ่ายให้ฉันมามากพอแล้ว”
“แต่ฉันสิยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
ป๋ายลิ่นกอดเธอแน่น “จินหลิง ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะแต่งงานกับเธอ และกลับไปบ้านหลังอาชีพการงานมั่นคงแล้ว”
ด้วยวิธีนี้ พวกเขาออกเดตกันอย่างลับ ๆ เป็นเวลาเกือบ 3 ปี เนื่องจากลักษณะงานของป๋ายลิ่น ตลอดทั้งปีพวกเขาจึงเจอกันแค่ 2-3 ครั้ง และป๋ายลิ่นมักจะเป็นคนมาหาเธอเอง
แม้จินหลิงต้องการไปเยี่ยม แต่ไป๋หลินไม่เคยบอกรายละเอียดกำหนดการเดินทางกับเธอเลย โดยบอกว่ากลัวเธอจะเหนื่อยจากการเดินทาง
จนกระทั่งปีที่แล้ว จินหลิงพบว่าเธอท้อง
เธอโทรหาป๋ายลิ่นอย่างมีความสุข แต่อีกฝ่ายขอให้เธอทำแท้งอย่างไม่แยแส
“ทำไมคะ? ป๋ายลิ่น คุณไม่อยากมีลูกของเราและบ้านของคุณเองเหรอคะ?”
“จินหลิง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อาชีพการงานของฉันไม่ก้าวหน้าเลย และเธอก็ไม่มีงานทำ เราจะไปกันรอดได้ยังไง?”
เป็นครั้งแรกที่จินหลิงสงสัยและไม่พอใจในตัวป๋ายลิ่น
“คุณเอาแต่พูดว่าอยากเลี้ยงฉันและไม่อยากให้ฉันเหนื่อยไปทำงาน ตอนนี้คุณกลับไม่ชอบที่ฉันหาเงินเลี้ยงตัวเองไม่ได้งั้นเหรอคะ?”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“ป๋ายลิ่น ครอบครัวของแรงงานข้ามชาติธรรมดายังเลี้ยงลูกได้ ทำไมคุณเลี้ยงไม่ได้ คุณมี 6 ล้านหยวนจากละครทีวีเรื่องล่าสุด 6 ล้านหยวนนี้มีสักกี่คนที่ชั่วชีวิตก็หาเงินไม่ได้มากมายขนาดนี้ได้ ทำไมคุณถึงเลี้ยงเขาไม่ไหว?”
ป๋ายลิ่นร้อนใจเล็กน้อย “ถ้ามีรายได้มาก ก็ใช้จ่ายมากไม่ใช่เหรอ? กระเป๋าที่ฉันเพิ่งซื้อให้เธอเมื่อสองวันที่แล้วราคา 30,000 หยวน และบ้านที่เธออาศัยอยู่ ทั้งหมดนี้ก็ใช้เงินไม่ใช่เหรอ?”
จินหลิงกลั้นน้ำตาที่กำลังจะร่วงหล่น “แต่งงานกันเถอะค่ะ ฉันไม่ต้องการสินสอดเจ้าสาว และคุณไม่จำเป็นต้องซื้อกระเป๋ากับเครื่องประดับราคาแพงให้ฉันด้วย เรามาเลี้ยงลูกด้วยกันเถอะค่ะ”
“เธอบ้าหรือเปล่า?”
ป๋ายลิ่นดุ “ฉันบอกไปก่อนหน้านี้ว่าฉันไม่สามารถออกเดตอย่างเปิดเผยได้ เธอพยายามทำลายฉันด้วยการทำแบบนี้งั้นเหรอ?”
“จินหลิง ฉันผิดหวังในตัวเธอมาก ฉันคิดถึงเธอและลูก ๆ ของเธอเสมอ และอยากให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่สุดท้ายเธอก็คิดแต่เรื่องของตัวเอง”
“ลองคิดดูดี ๆ ถ้ายังดื้อเก็บเด็กคนนี้ไว้อีก เราก็เลิกกัน”
ตั้งแต่วันนั้น ป๋ายลิ่นก็ไม่เคยคิดที่จะติดต่อเธออีกเลย
เมื่อขาดเงิน จินหลิงมักจะขอเงินหนึ่งหรือสองพันหยวน เพราะเธอไม่มีเงินเก็บสักบาท
ไหนจะค่าตรวจครรภ์อีก ไม่ช้าเงินในมือก็หมด
เธอทำได้เพียงขอให้เพื่อนของเธอขายกระเป๋าและเครื่องประดับที่ป๋ายลิ่นให้
แต่เพื่อนคนหนึ่งบอกเธอว่า “จินหลิง เธอถูกหลอกแล้วล่ะ กระเป๋าและเครื่องประดับพวกนี้เป็นของปลอมทั้งหมด ราคาแค่ไม่กี่ร้อยหยวนเอง”
“ใบเสร็จของเธอยังอยู่ไหม ฉันจะไปคิดบัญชีกับเขาพร้อมกับเธอ!”
“ถ้าไม่คืนเงินก็แจ้งตำรวจกัน”
จินหลิงวางหูโทรศัพท์อย่างว่างเปล่า ปรากฏว่าป๋ายลิ่นเป็นฝ่ายโกหกเธอมาโดยตลอด
เมื่อมองย้อนกลับไปหลายปีที่คบกันมา เธอไม่เคยเจอเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานของป๋ายลิ่นเลยด้วยซ้ำ
แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่บอกเพื่อน ถ้าวันหนึ่งป๋ายลิ่นทิ้งเธอไป จะมีอะไรจะพิสูจน์ได้ว่าทั้งคู่เคยอยู่ด้วยกัน?
แล้วลูกในท้องล่ะ?
จินหลิงร้องไห้ที่บ้านสามวันสามคืนจนกระทั่งผู้จัดการทรัพย์สินมาที่หน้าประตู “สวัสดีค่ะ คุณป๋ายโทรมาเมื่อสองวันก่อน เขาบอกว่าเขาจะไม่ต่อสัญญา เรากำลังติดต่อผู้เช่ารายใหม่ให้มาดูบ้าน ได้โปรดย้ายออกภายในวันนี้ค่ะ”
ดวงตาของจินหลิงบวมเป่งและเสียงของเธอก็แหบพร่า “นี่ไม่ใช่บ้านที่เขาซื้อเหรอคะ?”
เมื่อป๋ายลิ่นพาเธอมาที่นี่เป็นครั้งแรก เขาบอกว่าเขาต้องการมอบบ้านให้เธอ
“ไม่ใช่ค่ะ”
ผู้จัดการทรัพย์สินมองเธอแปลก ๆ “ฉันแจ้งแล้วนะคะ ถ้าคุณไม่ย้าย ฉันคงได้แต่ขอให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเชิญคุณออกไป”
จินหลิงยังคงไม่เข้าใจว่าความรักของพวกเขาคือคำหลอกลวงทั้งหมด
มันเป็นการหลอกลวงที่ทำให้เธอตายด้วยการวาดฝัน
จินหลิงโทรหาป๋ายลิ่น “ป๋ายลิ่น คุณแสดงเก่งจริง ๆ คุณหลอกฉันมาตลอด”
อีกฝ่ายพูดอย่างจริงจังว่า “[ถ้าเธอไม่ยืนกรานที่จะให้กำเนิดลูก ฉันคงไม่ปฏิบัติกับเธอแบบนี้ พูดไปแล้วเธอก็ยังเด็กเกินไป]”
เด็กเกินไป?
จินหลิงอยากจะหัวเราะ “เอาเงินมาให้ฉัน แล้วฉันจะทำแท้ง”
“[ตกลง]”
ครั้งนี้ ป๋ายลิ่นยังเป็นผู้ชายอยู่ หลังวางสาย เขาก็โอนเงิน 10,000 หยวน ตามด้วยข้อความว่า [ฉันจ่ายค่าเช่าให้สามเดือนแล้ว เธออยู่ที่นี่ต่อไปได้ แล้วฉันจะไปพบเธอตอนที่ฟื้นตัว]
หลังจากได้รับเงินแล้ว จินหลินก็จากไปโดยไม่ได้นำอะไรติดตัวไปด้วย
เธอบอกได้ว่าป๋ายลิ่นมองเธอเป็นเพียงเครื่องมือทางเพศเท่านั้น
ทุกสิ่งที่ผ่านมากลายเป็นความอัปยศอดสู
จินหลิงไม่กล้าบอกพ่อแม่ของเธอ เธอเอาเงินไปให้เพื่อนและไปโรงพยาบาลเพื่อทำแท้งลูก
หลังจากพักฟื้นที่บ้านเพื่อนครึ่งเดือน เธอก็ออกไปหางานทำ
เธอเรียนเอกดนตรี เป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะหางาน หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคไปทุกที่เธอก็มาที่คลับเจวี๋ยเซ่อ
ด้วยรูปร่างหน้าตาและประสบการณ์การทำงาน ในไม่ช้า จินหลิงก็เริ่มทำงานเป็นพนักงานต้อนรับที่คลับเจวี๋ยเซ่อ
และที่นี่ยังเป็นที่ที่เธอได้พบกับลู่เฉิน
เพื่อนตบไหล่เธอ “เธอคิดอะไรอยู่?”
จินหลิงดึงตัวเองจากความทรงจำ “ไม่มีอะไร”
เพื่อนเธอชักชวนว่า “ฉันดูเธอมาตลอด มันไม่สำคัญว่าประธานลู่จะชอบเธอหรือเปล่า สิ่งสำคัญคือเธอจะชอบเขาหรือเปล่าต่างหาก”
“เราทุกคนเห็นความใจดีของประธานลู่ ถ้าเธอชอบก็เป็นฝ่ายรุกซะ”
หลังจากพูดจบ เธอก็กล่าวเสริมว่า “ยิ่งตอนนี้ยังมีคู่แข่งอย่างคุณฮัน เธอไม่กลัวว่าประธานลู่จะถูกฉกไปเหรอ?”
จินหลิงเบิกตากว้าง “คุณฮัน? เกี่ยวอะไรกับคุณฮัน?”
“แน่นอนสิ ใคร ๆ ก็บอกว่าเธอคือผู้สืบทอดของหล่อน หรืออีกนัยหนึ่ง หล่อนคือของแท้ ส่วนเธอลอกเลียนแบบ ผู้คนมักชอบของแท้ไม่ใช่เหรอ?”
จินหลิงรู้สึกมึนงง แต่เธอมักจะรู้สึกว่าเรื่องความรู้สึกไม่สามารถเปรียบเทียบแบบนี้ได้
เพื่อนคนนั้นบอกให้เธอมองออกไปข้างหน้า ลู่เฉินก้มหน้าลงเพื่อคุยกับซูโย่วอี๋ ดวงตาของเขาดูจดจ่อและเงียบสงบ
ภาพตรงหน้ามันกลมกลืนและสวยงามจนตาเธอพร่ามัว
จินหลิงรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย
แต่เพื่อนสาวยังคงเติมเชื้อไฟ “ถ้าเธอไม่ใช่เพื่อนฉัน ฉันคงจะชิปประธานลู่กับคุณฮันไปแล้ว อย่ามัวเลือกฟ้าเลือกฝน ไปสารภาพรักคืนนี้เลย”
“เธอต้องยอมตายอย่างเข้าใจ ดีกว่าอยู่อย่างคลุมเครือไปตลอด”
เพื่อนคนนั้นผลักจินหลิงให้นั่งข้างลู่เฉิน “คงไม่รังเกียจถ้าจะนั่งด้วยกันนะคะ”
ลู่เฉินและไป๋เสิ่นเฉียวมองไปที่ซูโย่วอี๋พร้อมกันราวกับว่าให้เธอเป็นคนตัดสินใจ
ซูโย่วอี๋ยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ นั่งลงเถอะ”
เธอไม่สนใจลู่เฉินอีกต่อไป เป็นธรรมดาที่เธอจะไม่สนใจคนอื่น
มีขวดไวน์หลายขวดวางอยู่บนเสื่อปิกนิก ซูโย่วอี๋หยิบขวดสองขวดออกมาจากกระเป๋าด้านข้างและส่งให้พวกเธอ “คุณอยากดื่มอะไรไหมคะ”
จินหลิงโบกมือ “ขอโทษค่ะ ฉันดื่มไม่เป็น”
เมื่อซูโย่วอี๋ชักมือกลับ แต่เพื่อนของจินหลิงก็รีบรับไวน์มา “ฉันดื่มค่ะ”
ในกระเป๋าไม่เหลือไวน์แล้ว
ซูโย่วอี๋เลิกคิ้ว “เสิ่นเฉียว คุณชวนฉันออกมาดื่มข้างนอก แต่มีไวน์แค่นี้น่ะเหรอ?”
ไป๋เสิ่นเฉียวที่กำลังจิบไวน์อยู่พูดขึ้น “ก็ฉันไม่คิดว่าจะมีคนมากมายขนาดนี้นี่”
“อีกอย่าง ฉันก็แค่อยากดื่มเอาสนุก แต่เธอกลับอยากเมาจริง ๆ”
“เหมือนกันแหละน่า”
ซูโย่วอี๋เก็บขยะที่เหลือด้วยถุงพลาสติก
แต่ลู่เฉินกล่าวขึ้นมาก่อน “ผมจัดการเอง”
ซูโย่วอี๋ไม่รอช้า รีบมอบถุงให้เขาทันที
เมื่อเห็นแบบนี้ จินหลิงก็ช่วยเก็บกวาด
เห็นทั้งสองเข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ซูโย่วอี๋พลันรู้สึกไม่สบายใจ เธอจึงหยิบไวน์ที่เหลือขึ้นมาชนแก้วกับไป๋เสิ่นเฉียว “ชนแก้วกัน ฉันไม่รู้ว่าครั้งต่อไปเราจะได้ดื่มด้วยกันเมื่อไหร่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มือของลู่เฉินก็หยุดชะงักและเงยหน้าขึ้น “คุณจะไปแล้วเหรอ?”
“ค่ะ จะออกเดินทางหลังจากเสิ่นเฉียวกับฮันเจ๋อหยางทำพิธีกันเสร็จ”
“คุณกำลังจะไปที่ไหน?”
“ประเทศ M”
ไป๋เสิ่นเฉียวเลิกคิ้ว “ทำไมนายถามเยอะจัง”
หลังจากพูดจบ เธอก็เกาะไหล่ของซูโย่วอี๋ “ดื่มด้วยกันง่ายจะตาย ขอแค่เธอบอก ฉันไปหาเธอได้ทุกที่ ฉันจะปล่อยให้เธอเสียเพื่อนดื่มไปไม่ได้”
“ตกลง”
ซูโย่วอี๋เขย่าขวด เธอเกือบจะเมาแล้ว ขืนเธอยังดื่มอีก เธอคงเมาแน่
“ประธานลู่ เสิ่นเฉียวกับฉันจะกลับบ้านกันก่อน คุณก็… ตามสบายนะคะ”
ลู่เฉินยืนขึ้น “เดี๋ยวผมไปส่ง”
ไป๋เสิ่นเฉียวโบกมือ “ฉันมีคนขับรถแล้ว ไม่ต้องหรอก”
ซูโย่วอี๋ก็อยากจะปฏิเสธเช่นกัน
แต่ทางจินหลิงเรียกลู่เฉินเอาไว้เพราะทนที่เพื่อนยุยงไม่ไหว “ประธานลู่คะ ฉันมีบางอย่างอยากจะบอกคุณค่ะ”