ชายวัยกลางคนผู้นั้นมีนามว่าจางจิ่นสยง อายุสามสิบเจ็ดปี ลักษณะเปี่ยมด้วยคุณธรรม แม้อาภรณ์ทั่วทั้งร่างจะดูโอภาวิจิตร แต่กลับให้ความรู้สึกสามัญ แขนเสื้อทั้งสองมีลักษณะกว้าง เขาก็คือศิษย์คนโตรุ่นที่ยี่สิบเจ็ดของสำนักคงต้ง โดดเด่นในวิชาประตูพิศดารมากกว่าศิษย์คนอื่นๆ เป็นตัวเลือกเจ้าสำนักคนถัดไปเพียงหนึ่งเดียว
เดิมทีเขาฝึกวรยุทธ์อย่างมานะบากบั่นโดยไม่มีใจคิดฟุ้งซ่านแม้แต่น้อย ไม่เคยออกจากสำนักง่ายๆ นอกจากออกมาทำธุระตามคำสั่งของเจ้าสำนัก ทว่าสองปีก่อนทูตจากสำนักเฟิงอี้มาเยือนสำนักคงต้งด้วยตนเอง หลังจากสนทนากันอย่างยาวนาน จางจิ่นสยงก็ถูกส่งตัวมาที่นครฉางอันเพื่อเป็นองครักษ์ขั้นสี่
จางจิ่นสยงมีนิสัยซื่อตรง ทำสิ่งใดล้วนจริงจัง ไม่เคยทำสิ่งใดเกินกว่าเหตุ ดังนั้นจึงได้รับความเชื่อใจจากรัชทายาทในเวลาไม่นาน และกลายเป็นหัวหน้าองครักษ์จวนรัชทายาทในที่สุด ปกติเขาไม่สนใจเรื่องการเมืองอันใด นอกจากรับผิดชอบการอารักขาจวนรัชทายาทตามหน้าที่แล้ว สิ่งที่ทำก็มีเพียงการฝึกฝนวรยุทธ์และออกมาร่วมดื่มกินกับองครักษ์ที่สนิทสนมกันเป็นบางครั้งเท่านั้น แม้เขาจะมีนิสัยเย็นชาและขี้ระแวง แต่เพราะความใจกว้างและกระทำสิ่งใดล้วนยุติธรรมตรงไปตรงมา จึงได้รับความเคารพจากลูกน้องเป็นอย่างยิ่ง หากจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็คือ ที่เขาไม่ได้เป็นคนสนิทของรัชทายาทเพราะผู้อื่นทำเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยของรัชทายาทแทนเขา ซึ่งผู้นั้นก็คือสิงซง รองหัวหน้าองครักษ์
เมื่อเขาเห็นเซี่ยจินอี้ก็เผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า ก่อนกล่าวเรียบๆ ว่า เจ้ามาแล้วหรือ มานั่งเถิด คนเหล่านี้ล้วนเป็นลูกน้องข้า ต่อไปเมื่อเจ้าเข้าไปที่จวนแล้วจะต้องให้พวกเขาดูแลให้มากๆ เล่า
เซี่ยจินอี้เดินเข้าไปคารวะ พี่ชายทั้งหลาย ผู้น้องบุ๋นไม่ได้เรื่องบู๊ไม่ได้ความ โชคดีที่ยังพอมีความฉลาดเฉลียวอยู่บ้าง หากพี่ชายทั้งหลายไม่รังเกียจ มีเรื่องอันใดก็มอบหมายให้ข้าได้
ชายวัยกลางคนร่างผอมบางผู้หนึ่งหัวเราะ รู้แล้วๆ ได้ยินผู้ดูแลจางกล่าวถึงมานานแล้ว กล่าวว่าเรื่องกินดื่มเที่ยวหญิงเล่นพนันเจ้าไม่เป็นสองรองใคร เพียงแต่ไม่ตั้งใจฝึกวรยุทธ์ หากมิใช่ว่าเห็นแก่ที่เจ้ารู้จักถอย ผู้ดูแลจางคงไม่ให้เจ้าเรียกเขาว่าศิษย์พี่แม้แต่คำเดียว
เซี่ยจินอี้กล่าวต่อโดยหน้าไม่แดงใจไม่เต้น เป็นเพราะศิษย์พี่เอ็นดูข้าขอรับ ตอนแรกข้าไม่ยอมตั้งใจเรียนจนถูกท่านอาจารย์ไล่ออกมา หากมิใช่เพราะศิษย์พี่ช่วยเหลือ วรยุทธ์ของข้าคงถูกทำลายไปนานแล้ว มาเถิด ผู้น้องขอคารวะศิษย์พี่หนึ่งจอก ต่อไปต้องรบกวนให้ศิษย์พี่และท่านทั้งหลายดูแลให้มาก ผู้น้องไม่กล้าก่อเรื่องวุ่นวายแล้วขอรับ
พวกเขาพากันหัวเราะก่อนดื่มสุราจอกนี้เข้าไป จางจิ่นสยงพึงพอใจในคำพูดและการกระทำของศิษย์น้องตน ส่วนองครักษ์ทั้งหลายก็ไม่รังเกียจชายหนุ่มที่ไม่อาจสั่นคลอนตำแหน่งพวกตนได้ ไม่นานก็เริ่มมีบ่าวรับใช้ที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดียกกับแกล้มอันประณีตเข้ามา องครักษ์นายหนึ่งหยิบตะเกียบขึ้นมาก่อนจะเอ่ยยิ้มๆ บอกว่าอาหารขึ้นชื่อของหนานฉู่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์จริงๆ ทว่าชื่อเรียกกลับดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง เช่นอาหารจานนี้ แม้จะอร่อยแต่กลับถูกเรียกว่าตับคนงาม
เซี่ยจินอี้จึงบรรยายพร้อมรอยยิ้มว่า อาหารจานนี้จะนำตับอ่อนของเป็ดไปผัดรวมกับกึ๋นเป็ด อกไก่ หน่อไม้และเห็ด โดยใช้น้ำมันจากเป็ดมาผัด ส่วนชื่อเรียกก็มีที่มาที่ไปเช่นกัน ว่ากันว่าตอนนั้นมีอัจฉริยะบุคคลผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในหนานฉู่คนหนึ่งรับประทานอาหารในงานเลี้ยงที่หอชิวสุ่ยซึ่งเป็นในหอสุราที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในท้องที่ ผู้ใดจะทราบว่าพ่อครัวของหอสุราจัดอาหารมาน้อยไปหนึ่งชนิด หากทำอาหารขาดไปหนึ่งชนิดจะไม่เป็นการทำลายชื่อเสียงหรือไร พ่อครัวผู้นั้นมองไปมองมาก็ถูกตับอ่อนเป็ดสีชมพูระเรื่อที่แช่อยู่ในน้ำดึงดูดจึงนำไปประกอบอาหารโดยการนำไปผัดกับอกไก่โดยใช้น้ำมันเป็ด ผลก็คือแขกชื่นชอบเป็นอย่างยิ่งจึงถามถึงชื่ออาหาร คนที่ยกอาหารขึ้นโต๊ะเห็นตับสีขาวอมน้ำมันส่องประกายระยิบระยับจึงกล่าวไปตามปากว่า ‘ตับคนงาม’ ทำให้อาหารจานนี้มีชื่อเรียกเช่นนี้ ความจริงหนานฉู่ยังมีอาหารขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าลิ้นไซซีด้วยขอรับ
องครักษ์ทั้งหลายกล่าวอย่างประหลาดใจ ลิ้นไซซีหรือ
เซี่ยจินอี้หัวเราะ ความจริงเป็นหอยทะเลชนิดหนึ่ง ว่ากันว่ามีเนื้อที่อุดมไปด้วยไขมันสีขาว มีเนื้อสัมผัสอ่อนนุ่ม เป็นอาหารเลิศรสในใต้หล้า หากินได้ง่ายบริเวณริมฝั่งทะเลเท่านั้น
องครักษ์ผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า สหายเซี่ยมีความรู้กว้างขวางจริงๆ หากมีโอกาสควรลองลิ้นไซซีนี่เสียหน่อย
เซี่ยจินอี้คิดในใจครู่หนึ่งแล้วค่อยเอ่ยขึ้นว่า ความจริงผู้น้องชอบอาหารโอชาของสู่จงมากที่สุด ได้ยินมาว่าฉางอันมีหอสุราอาหารที่เชี่ยวชาญทำอาหารชวน (เสฉวน) ไม่น้อย เช่นหอหงอวิ๋นในมหานครฉางอันและหอซีจื่อในเมืองลี่เหรินก็ล้วนมีอาหารชวนอันยอดเยี่ยม
องครักษ์นายหนึ่งหัวเราะออกมา สหายเซี่ยยังกล่าวว่าคุ้นเคยกับนครฉางอันได้อีกหรือ เจ้าเผยช่องโหว่เสียแล้ว ข้าเป็นคนพื้นที่ของนครฉางอัน ไม่ว่าหอสุราอาหารใดข้าล้วนรู้จักทั้งสิ้น หอหงอวิ๋นเป็นหอสุราที่มีอาหารชวนจริงๆ ไท่ไป๋ยาของที่นั่นนับว่าเป็นอาหารชั้นยอดในแผ่นดิน ทว่าหอซีจื่อนั้นนับเป็นผู้โดดเด่นในหมู่หอคณิกา ข้ารู้ดีว่าสาวงามในนั้นแต่ละนางล้วนร่างงามเพรียวบางสะท้านใจผู้คน ทั้งยังมีสตรีหนานฉู่อยู่ไม่น้อย ว่ากันว่าถูกขายมาจากหนานฉู่เป็นการส่วนตัว แม้สุราอาหารจะไม่เลวแต่ก็ไม่มีความโดดเด่นอันใด ได้ยินว่าเถ้าแก่ของที่นั่นเป็นคนท้องที่ของต้ายง จะมีอาหารชวนอันโดดเด่นได้อย่างไรเล่า
เซี่ยจินอี้จงใจเอ่ยด้วยท่าทีประหลาดใจ เอ๋ พวกท่านไม่ทราบหรือขอรับ ผู้น้องเดินทางไปทั่วแผ่นดิน เถ้าแก่ของหอซีจื่อเป็นผู้ใดข้าก็รู้จักดี เขาคือเหอเถี่ยซานจากสำนักชิงเฉิง วิชากระบี่ไม่เลวเลย ฮ่าๆ ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านก็ทราบว่าอาจารย์ที่ผู้น้องไปคารวะในภายหลังเคยเป็นนักพรตเต๋านิกายเทียนตู ดังนั้นผู้น้องจึงมักนำยาขี้ผึ้งไปขายอยู่บ่อยๆ ทำให้รู้จักกับเหล่าเหอโดยบังเอิญ นั่นเป็นเรื่องเมื่อห้าหกปีก่อน ได้ยินว่าเขาเป็นผู้ดูแลของท่านอ๋องแห่งแคว้นสู่ ไม่นึกว่าวันนี้จะกลายเป็นเถ้าแก่ใหญ่ไปได้ แต่หากว่ากันตามจริง คนในยุทธภพอย่างพวกเราล้วนต้องหาเงินกันทั้งนั้น ทว่าผู้ที่หันมาทำกิจการหอคณิกาเช่นเขานับว่าหาได้ยากจริงๆ
องครักษ์ทุกคนรวมไปถึงจางจิ่นสยงหน้าเปลี่ยนสีไปโดยพลัน จางจิ่นสยงรีบกล่าวเสียงต่ำว่า เจ้าไม่ได้จำผิดคนใช่หรือไม่
เซี่ยจินอี้ยิ้มตอบ จะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ ศิษย์พี่ ท่านก็ทราบถึงความสามารถของข้าดี ตอนที่ผู้น้องเพิ่งมาถึงฉางอัน ขณะที่พักอยู่ในสมาพันธ์กวนจง มีอยู่ครั้งหนึ่งข้ารู้สึกเบื่อหน่ายจึงออกมาเดินเล่น จึงได้พบเถ้าแก่เหอหน้าประตูหอซีจื่อครั้งหนึ่ง ทว่าสถานที่เช่นนั้นสิ้นเปลืองเงินทองเกินไป ผู้น้องรู้สึกอับอายกับถุงเงินที่ว่างเปล่าจริงๆ เลยไม่ได้เข้าไป
เมื่อเห็นสีหน้าเขียวคล้ำของจางจิ่นสยง เซี่ยจินอี้ก็รู้สึกขบขันนัก คำพูดนี้ของเขานับว่าเป็นจริงเจ็ดส่วน เขาเคยพบเถ้าแก่เหอจริงๆ ทั้งยังเคยไปสู่จงมาจริงๆ กระทั่งเรื่องขายยาก็เป็นความจริง ทว่าเถ้าแก่เหอไม่เคยมาซื้อยาจากเขา และเขาก็ไม่ทราบว่าเถ้าแก่เหอจะเป็นยอดฝีมือของสำนักชิงเฉิง อดีตผู้ดูแลของท่านอ๋องแห่งแคว้นสู่ นี่เป็นเพียงข้อมูลที่ได้รับมาจากใต้เท้าเจียงแห่งจวนยงอ๋อง
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศในห้องผิดแปลกไป เซี่ยจินอี้จึงรีบสั่งให้ยกสุราอาหารเข้ามาโดยไม่รอให้ศิษย์พี่ของตนกล่าวถาม สุราเลิศรสไหหนึ่งถูกยกเข้ามา ขณะที่จางจิ่นสยงคิดจะถามต่อไปจู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงเย็นยะเยือกดังแว่วมาก่อน เซี่ยจินอี้ ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า
เซี่ยจินอี้เผยสีหน้ากระวนกระวายออกมาพลางมองไปยังจางจิ่นสยงโดยพลัน จางจิ่นสยงปรายตามองเขาครู่หนึ่งจากนั้นจึงกล่าวเสียงดังว่า ผู้ใดเอะอะโวยวายอยู่ด้านนอก ข้าจางจิ่นสยง องครักษ์ขั้นสี่ ผู้ดูแลองครักษ์แห่งจวนรัชทายาท
เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจดังแว่วมาจากด้านนอกตามมาด้วยเสียงคนผู้หนึ่งที่ขึ้นกล่าวว่า ข้าหูเวย องครักษ์ขั้นสี่ รองหัวหน้าองครักษ์แห่งจวนยงอ๋อง ใต้เท้าจาง ข้าได้รับคำสั่งให้มาจับตัวผู้กระทำผิดที่ล่วงเกินใต้เท้าเจียง ผู้เป็นซือหม่าแห่งจวนแม่ทัพเทียนเช่อ ต้องการจับกุมเจ้าคนเสเพลเซี่ยจินอี้นั่น เหตุใดใต้เท้าจางอยู่ที่นี่ได้เล่า
จางจิ่นสยงถลึงตาใส่เซี่ยจินอี้อย่างดุดัน เซี่ยจินอี้หน้าซีดทันควันรีบประสานมือคารวะ จางจิ่นสยงกล่าวอย่างเย็นชาว่า ใต้เท้าหู เชิญเข้ามาพูดคุยกันก่อนเถิด
ประตูถูกเปิดออก บุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามา เขามีบุคลิกผึ่งผายสีหน้าดุดัน สวมชุดขุนนางที่ทำด้วยแพรไหมทั้งร่าง เมื่อเดินเข้ามาก็คารวะจางจิ่นสยงโดยไม่มองเซี่ยจินอี้แม้เพียงหางตา ใต้เท้าจาง ข้าได้รับคำสั่งให้มาจับตัวผู้กระทำผิด โปรดอำนวยความสะดวกด้วย
จางจิ่นสยงตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แม้ศิษย์น้องของข้าผู้นี้จะเหลวไหลไปบ้าง แต่จะรบกวนให้ใต้เท้าหูเดินทางมาถึงที่นี่ได้อย่างไร
หูเวยเอ่ยตอบ ใต้เท้าจางคงไม่ทราบกระมัง ตอนนี้ข้าได้รับคำสั่งให้คอยคุ้มครองใต้เท้าเจียงเจ๋อผู้เป็นซือหม่าแห่งจวนแม่ทัพ เมื่อวานใต้เท้ามาดื่มสุราที่นี่ บังเอิญพบเซี่ยจินอี้ปะทะกับสมาพันธ์กวนจงพอดี ศิษย์น้องของท่านถึงกับใส่ความกล่าวหาใต้เท้าจนเกือบต้องปะทะกับสมาพันธ์กวนจง ใต้เท้าจึงออกคำสั่งให้จับตัวศิษย์น้องของท่านไปมอบให้สมาพันธ์กวนจงเสีย ดังนั้นขอให้ใต้เท้าอำนวยความสะดวกด้วย
จางจิ่นสยงรู้สึกกดดันยิ่ง เขารู้จักซือหม่าแห่งจวนแม่ทัพเทียนเช่อดี คนผู้นั้นเป็นขุนนางคนสำคัญอันดับต้นๆ ที่อยู่ใต้บัญชาของยงอ๋อง ตนเองเป็นเพียงหัวหน้าองครักษ์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จะอย่างไรก็ไม่อาจขวาง แต่เมื่อเห็นสีหน้าขาวซีดของศิษย์น้องตนก็ทำได้แต่กล่าวไปอย่างเย็นชาว่า ศิษย์น้องเซี่ยไม่ได้ทำผิดกฎหมายและพวกท่านก็มิใช่เจ้าเมือง ยังไม่มีคุณสมบัติมาจับกุมเขา ยิ่งไปกว่านั้น หากปล่อยให้ท่านพาตัวเขาไปต่อหน้าต่อตา ข้าจะยังมีหน้าอันใดไปพบรัชทายาทอีกเล่า
หูเวยขมวดคิ้วมุ่น องค์ชายเคยรับสั่งไว้แล้วว่าจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของใต้เท้าซือหม่า หากตนทรยศ เกรงว่าคงมิอาจเลี่ยงโทษทัณฑ์ได้ แต่สิ่งที่จางจิ่นสยงกล่าวก็นับว่ามีเหตุผล จวนรัชทายาทและจวนยงอ๋องเป็นดั่งน้ำกับไฟ ทุกคนล้วนกระจ่างแจ้งแก่ใจ หากใต้เท้าจางปล่อยให้ตนพาคนไปเช่นนี้ เกรงว่าคงเป็นการหักหน้ารัชทายาทแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ยงอ๋องคงไม่พอใจในพฤติกรรมของตนเป็นแน่ คิดไปคิดมาก็ยังไม่เห็นวิธีการอื่นใด
เขามองไปยังจางจิ่นสยงครู่หนึ่ง แม้จางจิ่นสยงจะมีนิสัยซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาแต่ก็ไม่ใช่คนโง่เขลา เขามองออกว่าหูเวยลำบากใจ หลังจากคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า ช่างเถิด เอาเช่นนี้แล้วกัน ศิษย์น้องของข้าผู้นี้ก็ปล่อยให้ข้าพาตัวกลับไปก่อน ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาออกไปจากเมืองฉางอันเป็นแน่ อีกสองสามวันข้าจะพาเขาไปจัดการเรื่องนี้ที่สมาพันธ์กวนจงด้วยตนเอง และจะให้เขาไปรับโทษกับใต้เท้าเจียงอีกครั้ง เพียงแต่วันนี้มิอาจปล่อยให้ท่านพาตัวเขาไปได้เป็นอันขาด
หูเวยใคร่ครวญคิดว่านี่คงเป็นวิธีเดียวแล้ว ในเมื่อใต้เท้าจางรับประกันเช่นนี้ ข้าก็จะปล่อยเขาไปก่อนครั้งหนึ่ง ให้ข้ากลับไปรายงานใต้เท้าซือหม่าเสียก่อนค่อยวางแผนกันอีกครั้ง กล่าวจบก็คารวะอำลาโดยมีจางจิ่นสยงทางเดินมาส่งด้วยตนเอง จะอย่างไรตอนนี้ยงอ๋องและรัชทายาทก็ยังไม่ได้หักหน้ากันอย่างสิ้นเชิง เรื่องของศักดิ์ศรีหน้าตายังต้องดูแลให้ครบถ้วน ยิ่งไปกว่านั้น จางจิ่นสยงเองก็ไม่ได้เป็นคนไร้มารยาทอันใด
หลังจากส่งหูเวยไปแล้ว จางจิ่นสยงก็จ้องเซี่ยจินอี้เขม็งด้วยความโกรธเกรี้ยว ดียิ่ง คราวที่แล้วเจ้าบอกว่าเจ้ากระทำการเลอะเลือน ที่แท้เจ้าถึงกับล่วงเกินจวนยงอ๋องอย่างสาหัสนี่เอง แล้วจะเก็บกวาดอย่างไรเล่า
ตอนต่อไป