บทที่ 345 ดูลึกลับมาก

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 345 ดูลึกลับมาก

บทที่ 345 ดูลึกลับมาก

ซูโย่วอี๋ตามลู่เฉินออกจากห้องพักผ่อนและกลับไปที่ห้องสำนักงานที่กว้างขวางและสว่างไสว

ตู้เซฟตั้งอยู่ในมุมลับ ลู่เฉินพยักหน้า “คุณซู เริ่มกันเลยเถอะ”

ซูโย่วอี๋เหลือบมองเขา แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดอะไรและย่อตัวลงอย่างยอมจำนน

เธอจ้องมองไปยังรหัสล็อกอย่างทำอะไรไม่ถูก

ตอนนี้เอง ลูกน้องคนหนึ่งได้เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนอีกฝ่ายจะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งพับเพียบอยู่ตรงมุมห้อง

ลำคอด้านหลังเธอดูเรียวยาวและสง่างาม

เมื่อได้ยินเสียงคนเข้ามา ร่างนั้นก็หันใบหน้ามาครึ่งหนึ่ง

ทั้งที่ไม่ได้ทาแป้งหรือแต่งเติมอะไร แต่เธอกลับดูน่าดึงดูดราวกับเทพธิดา

แต่ลู่เฉินกลับกระแอมอย่างไม่พอใจ ลูกน้องคนนั้นจึงมองไปทางอื่น ก่อนรีบส่งมอบสัญญาฉบับแก้ไขให้ “ประธานลู่ครับ แก้ไขจำนวนเงินแล้วครับ ส่วนที่เหลือก็ได้รับการตรวจสอบแล้ว ไม่พบปัญหาใด ๆ”

ลู่เฉินอ่านสัญญาทั้งหมด “ส่งสัญญาให้อวี๋เฉิงเซ็น”

ลูกน้องคนนั้นตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ประธานลู่จะไม่เซ็นสัญญาสำคัญขนาดนี้ด้วยตัวเองเหรอ?

“ยังไม่ไปอีกเหรอ”

ด้วยการจ้องมองของลู่เฉิน ลูกน้องคนนั้นหนีไป

เดิมทีซูโย่วอี๋ต้องการรอให้ลู่เฉินออกไป เธอจะได้ถือโอกาสหนีไปเสียที แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าลู่เฉินตั้งใจแน่วแน่มองดูเธออย่างนี้

จะทำอย่างไรดี?

ก่อนที่เธอจะรู้ตัว ลู่เฉินก็มายืนอยู่ข้างหลังเธอแล้ว

“คุณซูต้องใช้เวลาคิดในการปลดล็อกมันเหรอครับ?”

ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นและยิ้มให้เขาอย่างเขินอาย

“ฉันเรียนนานแล้ว เลยลืมไปเยอะแล้วน่ะค่ะ”

ลู่เฉินย่อตัวลงช้า ๆ จนดวงตาของพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกับเธอ “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่รีบร้อนอะไรอยู่แล้ว”

“เรายังมีเวลาอีกมาก ค่อย ๆ นึกไปก็ได้ครับ”

ซูโย่วอี๋ใจสลาย “ประธานลู่คิดว่าฉันจะเปิดตู้เซฟได้จริง ๆ เหรอคะ?”

“เป็นอย่างอื่นได้อีกเหรอครับ?”

ลู่เฉินจ้องมองมา “ผมตั้งความหวังกับคุณไว้สูงนะ”

แต่ทำไมซูโย่วอี๋ถึงคิดว่าอีกฝ่ายต้องการแกล้งเธอล่ะ?

ซูโย่วอี๋วางมือทั้งสองข้างบนตู้เซฟและคลำไปมา

เธอเห็นรองเท้าหนังสีดำแวววาวของลู่เฉินยืนนิ่งอยู่กับที่จากหางตา

“เจ้าจิ้งจอกเน่า นายช่วยปลดล็อกได้ไหม?”

เจ้าจิ้งจอกเน่านอนอยู่บนเก้าอี้โยก [ซู่จู่ ได้โปรดอย่าไปคุยโม้ข้างนอกอีกล่ะ ฉันต้องลำบากตามเช็ดก้นให้คุณ]

[อย่าลืมสิว่าตอนนี้ฉันกำลังอกหัก ต้องใช้เวลาในการรักษานะ]

ซูโย่วอี๋กลอกตา “นายไม่เคยมีความรักซะหน่อย แล้วอกหักอะไร?”

“ช่วยฉันหารหัสผ่านเร็ว ๆ เข้า รีบแก้ซะ จะได้ออกไปสักที”

เจ้าจิ้งจอกเน่าถอนหายใจ [โลกนี้อยู่ยากจริง ๆ]

[ถึงจะอกหักก็ยังหนีไม่พ้นชะตากรรมของแรงงาน]

จากนั้นมันสะบัดขนเนียนสีฟ้าของมัน ขณะที่ดวงตาเริ่มทำการวิเคราะห์อย่างแม่นยำ

โครงสร้างล็อกปรากฏให้เห็น

ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที รหัสผ่านทั้งหมดก็ถูกจัดเรียงและรวมกันเพื่อจำลองการปลดล็อก

ในการจำลอง ล็อกถูกเปิดสำเร็จ!

[ซู่จู่ ฟังให้ดี รหัสผ่านคือ 970318]

เจ้าจิ้งจอกเน่าอุทาน [นี่ไม่ใช่วันเกิดของคุณเหรอ?]

ซูโย่วอี๋หยุดชะงักทันที “ฉันเข้าใจแล้ว”

[เข้าใจอะไรเหรอ?]

“ในความทรงจำของลู่เฉิน รหัสผ่านยังคงเป็นรหัสที่เขาตั้งไว้ในตอนแรก ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเปิดตู้เซฟได้”

ซูโย่วอี๋กดตัวเลขชุดหนึ่งอย่างรวดเร็ว และแล้วตู้เซฟ… ก็เปิดออก

ดวงตาลึกล้ำของลู่เฉินเบิกกว้าง “คุณเปิดได้จริงเหรอ?”

“อืม… ฉันโชคดีน่ะค่ะ เลยเปิดออกทันทีที่ลอง”

แน่นอนว่าลู่เฉินไม่เชื่อเรื่องไร้สาระแบบนี้

เธอเปิดห้องลับ จากนั้นก็ตู้เซฟ

ถ้าซูโย่วอี๋ไม่ได้เปิดมันต่อหน้าเขา ลู่เฉินคงจะสงสัยจริง ๆ ว่าซูโย่วอี๋มีพลังวิเเศษ

“คุณซูเก่งจริง ๆ ผมประเมินคุณต่ำเกินไป”

“ช่วยบอกรหัสผ่านด้วยครับ”

ซูโย่วอี๋เปิดปากของเธอ “… ลืมไปแล้ว”

“ฉันจะช่วยคุณรีเซ็ตรหัสผ่านค่ะ”

ซูโย่วอี๋กดแป้น 2-3 ปุ่ม ก่อนมีเสียงเตือนมาจากตู้นิรภัย

[รหัสผ่านกำลังถูกรีเซ็ต โปรดป้อนตัวเลขที่ไม่ซ้ำกันหกตัว]

เธอลุกขึ้นและหันหลังให้ตู้นิรภัย ปล่อยให้ลู่เฉินใช้เวลาส่วนตัว

จากนั้นก็มีเสียงของกุญแจกลดังมาจากด้านหลัง

[รีเซ็ตรหัสผ่านสำเร็จ]

จากนั้นเสียงปิดตู้เซฟก็ดังขึ้น

ซูโย่วอี๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ประธานลู่ ฉันขอโทษอีกครั้งนะคะที่บุกรุกเข้าไปในห้องพักผ่อนของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต ฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะ”

“แต่ฉันชดเชยให้โดยการช่วยคุณเปิดตู้เซฟแล้ว กรุณาคืนแหวนให้ฉันด้วยค่ะ”

ลู่เฉินก้าวไปด้านหน้าพร้อมกับความสงสัยในแววตาของเขา

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็จับมือเธอและสวมแหวนสีชมพูให้

“คุณซู คุณดูลึกลับมาก”

ซูโย่วอี๋ดึงมือของเธอออกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต และลดสายตาลงเพื่อหลีกเลี่ยงการจ้องมองจากเขา “อย่าสนใจฉันเลยค่ะ”

“ไม่อย่างนั้น…”

ลู่เฉินถาม “ไม่อย่างนั้น?”

ซูโย่วอี๋ยักไหล่ “คุณจะพบว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”

“ฉันจะไม่รบกวนการทำงานของคุณแล้วค่ะ”

ลู่เฉินหยุดชะงักไปชั่วคราว “ผมจะเลี้ยงอาหารค่ำคุณ”

“ไม่ค่ะ มีคนรอฉันอยู่ที่บ้าน”

หลังจากที่ซูโย่วอี๋จากไป ลู่เฉินก็เปิดตู้เซฟอีกครั้งและหยิบกล่องเครื่องประดับชิ้นหนึ่งออกมา ภายในกล่องบรรจุแหวนมรกตที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นของตระกูลลู่

ทำไมมันถึงมาอยู่ที่นี่ได้?

เขาจำได้ว่าแหวนอยู่กับหนิงเชิง ทำไมมันถึงอยู่ในตู้เซฟได้?

หลังจากคิดไปสักพักแต่ไม่ได้คำตอบ ลู่เฉินก็ใส่เครื่องประดับกลับเข้าไปในตู้เซฟ

ช่วงนี้เขามักจะพบกับสิ่งที่อธิบายไม่ได้

เช่น แหวนบรรพบุรุษหรือรหัสผ่านตู้เซฟ

อีกตัวอย่างหนึ่งคือความรู้สึกของเขาที่มีต่อซูโย่วอี๋

เห็นได้ชัดว่าพวกเราไม่เคยรู้จักกัน แต่มักถูกดึงดูดอย่างน่าประหลาด

ดังนั้นเมื่อสามปีก่อน เขาจึงไม่ได้ไปงานวันเกิดของซูโย่วอี๋ เขาเพียงส่งของขวัญไปให้ในฐานะหุ้นส่วน

แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเขาพบตัวซูโย่วอี๋

เขาให้ความสำคัญกับเธอมากเกินไป

เขาไม่อยากให้เธอสูบบุหรี่ เขาไม่อยากให้เธอดื่ม เขาอยากชวนเธอไปกินอาหารเย็น และเขาอยากส่งเธอกลับบ้าน

อยากเจอเธอ

นี่มันบ้าอะไรกัน?

ลู่เฉินคิดไม่ออกว่าความเป็นห่วงที่อธิบายไม่ได้นี้มาจากไหน

หลังใส่กล่องเครื่องประดับกลับเข้าไปในตู้เซฟ เขาก็เงียบไป

และคิดว่าเขาจำเป็นต้องสงบสติอารมณ์หน่อยแล้ว

เขตชุนเหอ

ฮันเอินจีได้รับโทรศัพท์จากผู้กำกับ อีกฝ่ายเชิญให้เธอเข้าร่วมถ่ายทำรายการวาไรตี้ยอดนิยม

คืนนั้น ที่เธอไปหาฉินสือและยอมเสียสละความบริสุทธิ์ของเธอก็เพียงเพื่อแลกกับโอกาสนี้

“[เจ๋อหยางโทรหาผมและบอกว่าคุณต้องการเข้าร่วมการแสดงนี้ บังเอิญว่ารายการขาดศิลปินหญิงอยู่ คุณจึงเหมาะสมที่สุด]”

“คุณมีเวลาหรือเปล่า?”

เพราะกลัวฮันเอินจีไม่รู้ ผู้กำกับจึงพยายามเตือนเธอว่าเขาทำแบบนี้เพราะใคร

“ถึงจะไม่มีเวลา ก็ต้องหาเวลาไปเข้าร่วมให้ได้ค่ะ มันไม่ง่ายเลยที่จะมีโอกาสเข้าร่วมรายการของคุณ”

ผู้กำกับพอใจกับคำชม “[ขอบคุณครับ ขอให้การร่วมงานของเราราบรื่นนะครับ]”

ฮันเอินจีตอบด้วยรอยยิ้ม “ค่ะ ขอบคุณค่ะผู้กำกับ”

เธอขอบคุณอย่างสุภาพ

หลังจากวางสาย รอยยิ้มบนใบหน้าของฮันเอินจีก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เมื่อก่อน ไม่ใช่เธอที่ต้องเป็นคนเลือกรายการแบบนี้หรอกเหรอ?

เธอขยี้ผมอย่างหงุดหงิดและนัดหมายที่ร้านเสริมสวยที่ไปบ่อย ๆ

เตรียมปรับลุคให้ดีที่สุดก่อนขึ้นโชว์

สองวันต่อมา การประกาศรายชื่อผู้เข้าร่วมรายการวาไรตี้ก็ออกมา

ผู้จัดงานบอกทุกคนในเวยป๋อ

ฮันเอินจีชำเลืองมองมันและโยนโทรศัพท์ไปด้านข้าง แต่โทรศัพท์กลับดังขึ้น

อดีตน้องสาวพลาสติก หลังจากที่ฮันเอินจีล้มลง พวกเธอก็ไม่ได้ติดต่อกันเป็นเวลานาน

โทรมาอะไรตอนนี้กัน?

หลังจากคิดเกี่ยวกับมัน ฮันเอินจีก็ยังคงรับสาย

อีกฝ่ายจงใจทำเสียงตื่นเต้น “[ยินดีด้วย เอินจี เธอได้เข้าร่วมรายการวาไรตี้ชีวิตของเถาหยวน]”

“อืม”

ฮันเอินจีตอบอย่างไม่ใส่ใจ

อีกฝ่ายเม้มริมฝีปาก “[คืนนี้พวกเรานัดเจอกัน เธออยากมาไหม?]”

“ไม่”

“[เฮ้ อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธสิ ชุนฮวาก็มาด้วย เธอเป็นน้องสาวของผู้อำนวยการรายการวาไรตี้ชีวิตของเถาหยวน ไม่อยากรู้จักกับเธอเหรอ?]”

“ส่งเวลากับสถานที่มาที่มือถือของฉัน”

ปลายสายมีเสียงเย้ยหยัน “[จุ๊ ๆ เอินจี เธอเคยดูถูกพวกน้องสาวของผู้กำกับ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเธอกลับยอมมาแล้ว]”

“โลกนี้ช่างไม่เที่ยง”

ฮันเอินจีไม่อายเลย “ใช่ ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไร ควรเผื่อทางรอดไว้สามส่วน เมื่อฮวงจุ้ยผลัดกัน สักวันอาจเป็นวันของฉัน”

คืนนั้น ฮันเอินจีแต่งหน้าสดใส เธอแต่งตัวอ่อนวัยและสวยงามเดินเข้าไปในคลับอย่างมั่นใจ

สาว ๆ ที่เหลือก็มากันแล้ว

หลูเชียนจิน คนนัดหมาย เห็นเธอเข้ามาก็ทักขึ้น “เฮ้ เอินจีมาแล้ว เอินจีของเราที่เคยเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลฮัน”

ใครบางคนในคลับหัวเราะเยาะขึ้น

แต่ฮันเอินจีแกล้งทำเป็นไม่เห็น เธอเดินไปด้านข้างแล้วนั่งลง ในนี้มีเด็กสาวสองหรือสามคนที่คุ้นเคยกันพอสมควรอยู่ แต่ระหว่างการพูดคุย ไม่มีใครมาชวนชนแก้วกับฮันเอินจีเลยสักคน

เหมือนเธอถูกกีดกันออกจากงานเลี้ยง

หลังจากที่หลูเชียนจินรู้เข้าก็แสร้งตำหนิตัวเองว่า “เอินจี พอคนเยอะเกินไป การดูแลเลยไม่ครบถ้วน อยากกินอะไรก็เรียกบริกรมาได้นะ”

ฮันเอินจีไม่อาจปฏิเสธได้

ท่าทีของเธอไม่แยแสราวกับว่าเธอไม่สนใจเลย จนมีคนพูดว่าเธอก้าวร้าว

ฮันเอินจีแค่นเสียง ใครกันแน่ที่ก้าวร้าว?

เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เรียกเธอมาที่นี่เพราะอยากดูถูก

แต่ตัวเธอ ฮันเอินจี ไม่ใช่คนที่จะยุ่งด้วยได้ง่าย ๆ!

หลูเชียนจินปล่อยให้เพื่อนเยาะเย้ยฮันเอินจีไป ก่อนจะพูดว่า “เอินจีไม่ใช่คนแบบนั้นนะ เรายังไม่ได้แสดงความยินดีกับเอินจีเลย เธอกำลังจะเข้าร่วมรายการวาไรตี้ชีวิตของเถาหยวนแล้ว”

แน่นอนว่าบางคนที่ไม่รู้ก็เบิกตากว้าง “ฮันเอินจี เธอไม่ได้ปีนขึ้นเตียงของฉินสือเพื่อรายการวาไรตี้นี้จริง ๆ หรอกใช่ไหม?”

ก่อนที่ฮันเอินจีจะได้พูด ผู้หญิงอีกคนก็พูดขึ้นก่อน

“ไม่ใช่”

หลูเชียนจินเปลี่ยนเรื่อง “ชุนฮวา เธอเป็นน้องสาวของผู้กำกับ ดังนั้นเธอต้องรู้เรื่องวงในแน่ ๆ บอกฉันหน่อยสิ”

“พี่ชายของฉันบอกว่าฮันเจ๋อหยางขอให้เขาทำแบบนั้น เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ฮันเจ๋อหยางต้องเข้าร่วมเป็นแขกรับเชิญในรายการ”

หัวใจของฮันเอินจีรู้สึกอุ่นวาบ หลังจากหลายปีที่ผ่านมา เธอได้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าผู้คนรอบตัวเธอเป็นคนหรือผีกันแน่

มีเพียงฮันเจ๋อหยางเท่านั้นที่จริงใจต่อเธอ

“ไม่ใช่ว่าตระกูลฮันไม่สนใจเธออีกต่อไปเหรอ? ทำไมคุณฮันถึงช่วยเธอล่ะ?”

ฮันเอินจีดื่มไวน์ในแก้วจนหมด “ใครบอกว่าตระกูลฮันไม่สนใจฉัน?”

“ถ้าไม่สนใจฉัน คุณคิดว่าฮันเจ๋อหยางจะช่วยฉันเหรอ?”

สาว ๆ ไม่สามารถหาเหตุผลมาหักล้างได้พักหนึ่ง

หลูเชียนจินชี้ให้เห็นบางอย่าง “ฉันได้ยินมาว่านักแสดงยอดเยี่ยมฮันกำลังจะแต่งงาน ไม่ว่าเขาจะดีกับเธอแค่ไหน สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องมีลูกมีเมีย ถ้าเขามีครอบครัวของตัวเอง เขาก็คงดูแลเธอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”

“สำหรับผู้หญิง สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องหาบ้านที่ไว้ใจได้ให้ตัวเอง”

ฮันเอินจียิ้ม “มีพี่ชายดีกว่าไม่มี จริงไหม?”

“ฉันยังมีบางอย่างที่ต้องทำ ฉันไม่อยู่กับพวกเธอแล้ว เชิญพวกเธอเล่นกันไปก่อน”

ว่าแล้วเธอก็หยิบกระเป๋าเดินออกไป

หลูเฉียนจินส่งสายตาดูหมิ่นเหยียดหยามไปให้คนที่เพิ่งเดินออกไป “คนที่ยอมขายรถและบ้านเพื่อรักษาหน้า ช่างน่าสมเพช”

“เธอไม่ควรเรียกยัยนั่นมาที่นี่เลย”

“ถูกต้อง น่าผิดหวัง ถ้าไม่มีตระกูลฮัน ฮันเอินจีก็เป็นเพียงนักแสดงชั้นสามธรรมดา ๆ”

ฮันเอินจีออกไปและโบกมือให้บริกร

“สวัสดีครับ คุณผู้หญิง”

ฮันเอินจีหยิบภาพของคุณปู่เหมาออกมา 2-3 รูปแล้ววางลงบนถาดของเขา “ส่งเหล้าหลุยส์ที่ 13 สิบขวดไปที่ห้องส่วนตัว 307”

“จำไว้นะว่าให้ส่งทุกอย่างไปหลังจากเปิดฝาแล้ว”

บริกรถาม “ถ้าแขกในห้องส่วนตัวถามว่าใครเป็นคนสั่ง…”

“ไม่ต้องบอก พวกเขาก็รู้”

หลังจากทำทั้งหมดแล้ว ฮันเอินจีก็จากไปโดยไม่หันกลับมามอง