บทที่ 346 ไม่สบายใจ

บทที่ 346 ไม่สบายใจ

ฮันเอินจีกลับบ้านด้วยความเร็วสองร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ก่อนจะได้รับสายโทรเข้าจากหลูเชียนจินตอนก่อนนอน

เธอกดปุ่มรับสายและยกโทรศัพท์ออกห่าง

ทันทีที่รับสาย เสียงคำรามของอีกฝ่ายดังเข้าหู “[ฮันเอินจี ใครให้เธอสั่งไวน์ตั้งมากขนาดนี้]”

“[เธอรู้ไหมว่าไวน์ที่สั่งไปมันราคาเท่าไหร่น่ะ ห๊ะ?]”

ฮันเอินจีถึงกับเอานิ้วอุดหู “ขวดหนึ่งราคา 50,000 สิบขวดก็ 500,000 ขนน่าแข้งเธอไม่น่าร่วงนะ”

“อีกอย่าง เธอบอกจะสั่งอะไรมากินก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”

“หรือเธอแค่ทำเป็นหน้าใหญ่ใจโตกัน?”

ใบหน้าของหลูเชียนจินเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

ไม่ควรใช้เงินสิ้นเปลืองแบบนี้!

“[ฮันเอินจี ฉันจะจำไว้ อย่าให้ฉันเจอตัวอีกนะ!]”

ว่าแล้วก็ตัดสายไป

ฮันเอินจีไม่กลัว ถ้าเธอหมดหวังจริง ๆ ยังไงฮันเจ๋อหยางจะช่วยเธอแน่

เธอหมุนโทรศัพท์โดยไม่รู้ตัวและคิดถึงคำพูดของหลูเชียนจิน

ไม่ว่าฮันเจ๋อหยางจะดีกับเธอแค่ไหน เขาก็จะมีภรรยาในสักวันนึง

ไป๋เสิ่นเฉียวกับเธอไม่ถูกกันมาตลอด ถ้าหลังแต่งงาน… เธอไม่แน่ใจเลยว่าฮันเจ๋อหยางจะช่วยใคร

ดวงตาของฮันเอินจีมืดมนลง ก่อนความคิดหนึ่งจะผุดขึ้นมา

ในเมื่อฮันเจ๋อหยางกำลังจะแต่งงาน แล้วทำไมคนที่เขาจะแต่งด้วยถึงเป็นเธอไม่ได้?

กลางเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อใกล้ถึงเวลาเปิดการฝึกอบรมของวิทยาลัยฮิลเบิร์ต ซูโย่วอี๋ก็เริ่มเรียนทางอินเทอร์เน็ตด้วยตัวเอง

เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่กับซุ่ยซุ่ย

เมื่อนึกถึงเวลาที่เธอต้องแยกจากซุ่ยซุ่ยเป็นเวลานาน ซูโย่วอี๋จึงทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีให้กับลูกชายของเธอในตอนนี้

และตอนนี้ วันแต่งงานของฮันเจ๋อหยางใกล้เข้ามาแล้ว

เขายุ่งมากจนหัวหมุน คืนหนึ่ง เขานำชุดแต่งงานกลับมาและถามความคิดเห็นซูโย่วอี๋

“น้องสาว ช่วยดูหน่อยว่าเสิ่นเฉียวจะชอบแบบไหน?”

ทุกชิ้นประณีตและงดงาม

แต่เสิ่นเฉียวมีเอกลักษณ์และมีความชอบแตกต่างจากคนทั่วไป ชุดแต่งงานพวกนี้อาจไม่ถูกใจเธอ

หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ซูโย่วอี๋ก็บอกว่า “ไม่ว่าเรื่องมันจะเป็นยังไง แต่พี่กับเสิ่นเฉียวได้ตัดสินใจที่จะแต่งงานกันแล้ว ต้องมีความสุขกันให้มาก พี่ไปถามความคิดเห็นของเธอก็ได้นี่”

“ยังไงเธอก็เป็นเจ้าสาว”

ฮันเจ๋อหยางได้ยินคำว่า ‘เจ้าสาว’ แล้วก็มีความสุขขึ้นมา เขาฉีกยิ้ม “พี่เข้าใจสิ่งที่เธอพูด แต่ตอนนี้ผู้เฒ่าไป๋ป่วย เธอเลยไม่มีอารมณ์มาสนใจ พี่เลยต้องจัดการเรื่องนี้”

“ส่วนเสิ่นเฉียวทำแค่รอให้เป็นเจ้าสาวของพี่ก็พอ”

“ส่วนความสัมพันธ์ เราค่อย ๆ พัฒนาหลังแต่งงานก็ได้ พี่มั่นใจ”

ฮันเจ๋อหยางชูชุดแต่งงานสีขาวกับกระโปรงพองขึ้น “แล้วชุดนี้ล่ะ?”

“ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันเคยจินตนาการภาพเสิ่นเฉียวตอนใส่ชุดนี้”

ซูโย่วอี๋จ้องที่ชุดนั้นเป็นเวลานานก่อนที่จะตอบว่า “ก็สวยดี”

ถ้าทำให้ทั้งสองฝ่ายมีความสุขไม่ได้ อย่างน้อยก็ทำให้ฮันเจ๋อหยางมีความสุข

ฮันเจ๋อหยางเดินมายื่นชุดแต่งงานให้เธอ “น้องสาว ช่วยฉันหน่อยนะ”

“หือ?”

“ช่วยฉันส่งชุดแต่งงานให้เสิ่นเฉียวดู แล้วถามดูว่าเธอคิดยังไง”

ซูโย่วอี๋เงียบไปครู่หนึ่ง จากความเข้าใจของเธอที่มีต่อเสิ่นเฉียว แม้ว่าชุดแต่งงานนี้จะมาอยู่ต่อหน้า เสิ่นเฉียวก็จะไม่สนใจจะมองหรอก

ไม่สำคัญว่าจะชอบหรือเปล่า

เสิ่นเฉียวต้องการเพียงการแต่งงานที่ทำให้ผู้เฒ่าไป๋สบายใจ

แค่นั้น

แต่ซูโย่วอี๋ก็ยังตกลง

หลังจากฮันเจ๋อหยางจากไป ซุ่ยซุ่ยก็เงยหน้าขึ้นจากจิ๊กซอว์ “แม่ ลุงรองค่อนข้างถ่อมตัวไปหน่อย”

“แม่ก็ถ่อมตัวกับผู้ชายคนนั้นขนาดนี้เลยเหรอครับ?”

ซูโย่วอี๋ลูบหัวของซุ่ยซุ่ย “ไม่”

“เขาไม่ชอบให้แม่ทำตัวต่ำต้อยแบบนี้หรอก”

ซุ่ยซุ่ยเบิกตากว้าง “เขาปฏิบัติต่อแม่ดีมากเหรอ?”

“ดีมากจ้ะ”

“แล้วทำไมแม่ถึงทิ้งเขาไป”

ซูโย่วอี๋ลดสายตาลงเบา ๆ “แม่ไม่มีทางเลือก”

ซุ่ยซุ่ยวางจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายให้เข้าที่ ก่อนภาพตึกระฟ้าฉบับสมบูรณ์จะเผยโฉม

จู่ ๆ ซุ่ยซุ่ยก็ถามขึ้น “พ่อยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าครับ?”

ตั้งแต่ซุ่ยซุ่ยเกิดมา ไม่มีใครพูดถึงพ่อต่อหน้าเขาเลย

แต่ซุ่ยซุ่ยฉลาดมาก ในไม่ช้าเขาก็ค้นพบว่าครอบครัวของตัวเองแตกต่างจากครอบครัวอื่น

แต่ก็ไม่เคยถาม

นี่เป็นครั้งแรก

ซูโย่วอี๋ไม่ต้องการโกหกเขา “ใช่”

ดวงตาที่สดใสของซุ่ยซุ่ยฉายแววสับสน “ทำไมเขาถึงทิ้งเราไปล่ะครับ?

“เพราะไม่มีทางเลือก”

“ซุ่ยซุ่ย ลูกอย่าคิดมากเลย ล้างมือแล้วไปกินข้าวเย็นเถอะ”

วันต่อมา ซูโย่วอี๋ขอให้เสิ่นเฉียวไปพบที่ร้านกาแฟ อีกฝ่ายตกลงอย่างง่ายดาย

เพราะชุดแต่งงานมีราคาแพง เธอจึงเก็บมันใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง ก่อนใส่ไว้ในท้ายรถแล้วขับรถไปที่ร้านกาแฟ

ซูโย่วอี๋มาถึงก่อน เธอสั่งอเมริกาโนjหนึ่งแก้วและนั่งรอ

เมื่อกาแฟหมดแก้ว เสิ่นเฉียวก็มาถึง

ผมที่ยุ่งเหยิงบางส่วนตกลงมาปรกหน้าผาก ต่างหูส่องแสงแวววาว

“โทษที มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ”

ซูโย่วอี๋ยิ้มและพูดว่าไม่เป็นไร “เธออยากดื่มอะไรไหม?”

ไป๋เสิ่นเฉียวสั่งน้ำมะนาวหนึ่งแก้ว

“มีเรื่องอะไรเหรอ?”

ซูโย่วอี๋หยิบกระเป๋าออกมา “ฮันเจ๋อหยางใช้เวลาเลือกชุดแต่งงานให้เธอนานมากเลย เขาเลยขอให้ฉันมาถามความคิดเห็นเธอน่ะ”

“ฉันได้หมด ไม่ดูดีกว่า”

สีหน้าของไป๋เสิ่นเฉียวไม่เปลี่ยนแปลงเลย ทั้งที่พูดเรื่องการแต่งงานของตัวเองแท้ ๆ เธอกลับนิ่งเฉยมาก

ซูโย่วอี๋ลอบถอนหายใจ เป็นไปตามคาด

ไป๋เสิ่นเฉียวเหลือบมองเธอ “เธอคิดว่าฉันเลวไหม?”

ซูโย่วอี๋งุนงง “ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ?”

“ฉันคิดว่าการแต่งงานเป็นเรื่องเล่น ๆ และใช้ประโยชน์จากฮันเจ๋อหยาง”

“ฉันไม่เคยคิดกับเธอแบบนั้น ” ซูโย่วอี๋เปิดกระเป๋า โชว์กระโปรงของชุดแต่งงานที่มีลวดลายการปักที่ประณีต และเส้นด้ายก็นุ่มและเบา

เพียงแค่มองก็จินตนาการชุดเต็ม ๆ ได้

รู้เลยว่าฮันเจ๋อหยางคงใช้ความพยายามไปมากแค่ไหนในการทำชุดแต่งงานที่สวยขนาดนี้ในช่วงเวลาสั้น ๆ

“เขาเต็มใจ”

ไป๋เสิ่นเฉียวยิ้มแห้ง “เพราะฉันรู้ว่าเขาชอบฉัน ฉันเลยรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม”

“โย่วอี๋ ฉันเลือกคนแปลกหน้ายั’ดีกว่าแต่งงานกับฮันเจ๋อหยาง อย่างน้อยก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดต่อเขา”

“อย่างน้อย ๆ ฉันก็ยังชดเชยเขาด้วยเงินได้ แต่สำหรับฮันเจ๋อหยาง ของพวกนี้ไม่มีผลอะไรเลย”

ซูโย่วอี๋ไม่ต้องการได้ยินความคิดแบบนี้ “แล้วทำไมเธอถึงยังเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ล่ะ?”

“เพราะในสายตาของคุณปู่ ฮันเจ๋อหยางเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”

ในสายตาของชายชรา ถ้าไป๋เสิ่นเฉียวไม่สามารถหาคู่ชีวิตได้ ก็หาคนที่ชอบเธอแทน

การถูกรักมีความสุขเสมอ

ซูโย่วอี๋กุมมือเสิ่นเฉียวแน่น “ฉันสนับสนุนเธอ”

“ตลอดไป”

เสิ่นเฉียวเลิกคิ้ว “เธอรู้ไหมว่าสิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุขที่สุดคืออะไร?”

“คือการได้เป็นพี่สะใภ้ของเธอ”

“ฉันไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะไม่มีใครมาดื่มกับฉันในอนาคต”

ซูโย่วอี๋กุมหน้าผากของเธออย่างจนใจ “เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”

ไป๋เสิ่นเฉียวลุกไปห้องน้ำได้ครึ่งทาง ซูโย่วอี๋ก็พบว่ามีคราบสีดำที่ชายเสื้อสีขาวของเธอ “เดี๋ยวก่อน เสื้อของเธอเลอะ”

เสิ่นเฉียวมองลงไป “ไม่น่าล่ะ”

ซูโย่วอี๋รู้สึกงงเมื่อได้ยินคำพูดไม่มีที่มาที่ไปของอีกฝ่าย “เธอว่าไงนะ?”

“ตอนมาที่นี่ มีคนขับชนท้ายรถฉัน พอลงจากรถ ฉันก็เห็นว่ารถคันข้างหลังเป็นของฮันเจ๋อเหยียน พี่ชายของเธอน่ะ”

เดิมทีเสิ่นเฉียวกำลังรีบมาตามนัด ไม่ได้ตั้งใจที่จะเถียงกับใคร หลังจากเห็นว่าเป็นคนรู้จักก็ไม่มีความจำเป็นต้องพูดถึงค่าเสียหาย

“ท่านประธานฮัน ไม่ต้องสนใจหรอก ฉันไปก่อนนะคะ”

ในเวลานั้น ฮันเจ๋อเหยียนหยิบกระดาษทิชชู่ออกมาแล้วยื่นให้เธอ เขาคงเห็นสิ่งสกปรกบนเสื้อผ้าของเธอ

“คุณไป๋ โปรดทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ไว้ด้วยครับ แล้วผมจะให้ผู้ช่วยติดต่อคุณเพื่อจัดการเรื่องซ่อมรถในภายหลัง”

แต่ไป๋เสิ่นเฉียวหันหลังกลับและโบกมือ “ไม่จำเป็นค่ะ”

แล้วเธอก็ขับรถออกมา

ไป๋เสิ่นเฉียวไม่สนใจมากนัก “ไม่ได้ชนแรงอะไร แค่ประมาณแสนหยวนเอง พี่ชายของเธอพูดซะจริงจังว่าเขาจะจ่ายให้ฉัน”

ขณะพูด โทรศัพท์เธอก็ส่งเสียง ‘ติ๊ง’

เสิ่นเฉียวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พบว่ามันเป็นข้อความแสดงว่าบัญชีธนาคารของเธอมีเงินเข้า 200,000 หยวน

ผู้จ่ายเงินคือฮันกรุ๊ป

“ชิ พี่ชายของเธอเด็ดขาดจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่ฮันกรุ๊ปจะก้าวหน้าขนาดนี้”

ซูโย่วอี๋ไม่ได้คิดว่ามันแปลก “อืม มันเป็นสไตล์ของเขา”

หลังจากครั้งนั้น ทั้งสองก็ไม่ได้พบกันเป็นการส่วนตัวอีกเลย

ในคืนก่อนงานแต่งงาน ฮันเจ๋อหยางถูกเพื่อนของเขาเรียกออกไป โดยบอกว่าพวกเขาต้องการฉลองสละโสดครั้งสุดท้าย

ฮันเจ๋อหยางขับรถมาจอดด้านหน้าซูโย่วอี๋ “น้องสาว เธออยากไปไหม?”

“ไม่ล่ะ”

ซูโย่วอี๋ไม่คุ้นเคยกับเพื่อนของเขา และยังไงในอนาคตก็มีโอกาสพบกันน้อยมาก จึงไม่จำเป็นต้องพบกันสักนิด

ฮันเจ๋อหยางเลิกคิ้วเพื่อพยายามเกลี้ยกล่อม หากพาซูโย่วอี๋ไปที่นั่นด้วย ทุกคนคงจะสนุกขึ้น

“ฮันเจ๋อหยาง พรุ่งนี้พี่ต้องไปรับเจ้าสาวตอนแปดโมงเช้า ต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า อย่าฉลองจนดึกดื่นล่ะ”

“พี่รู้ ไม่ต้องกังวล พี่จะไปรับเสิ่นเฉียวด้วยใบหน้าที่สดใสแน่นอน”

แต่ไม่รู้ทำไม ซูโย่วอี๋มองไปที่ด้านหลังของเขาด้วยความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

“เจ้าจิ้งจอกเน่า จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับฮันเจ๋อหยางใช่ไหม?”

เจ้าจิ้งจอกเน่าไม่สนใจฮันเจ๋อหยางหรือฮันเจ๋อไห่อะไรทั้งนั้น [ถ้าไม่มีการแต่งงานครั้งนี้ก็ดีสิ]

“อย่าพูดไร้สาระน่า”

หลังจากที่ซูโย่วอี๋กล่อมซุ่ยซุ่ยนอน เธอก็นั่งอยู่ตรงระเบียงคนเดียว นับดาวบนท้องฟ้าพลางตรวจดูว่ารถของฮันเจ๋อหยางกลับมาแล้วหรือยัง

เธอนั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่สี่ทุ่มจนถึงตีสอง

สักพักซุ่ยซุ่ยก็ตื่นขึ้นมาแล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ เธอพร้อมกับขยี้ตาที่ง่วงงุน “แม่ครับ ทำไมไม่ไปนอนล่ะครับ?”

“เดี๋ยวก็ไปนอนแล้วจ้ะ”

“แม่รอลุงรองอยู่หรือเปล่าฮะ?”

แม้แต่เด็กก็ยังบอกได้ ซูโย่วอี๋แอบโกรธฮันเจ๋อหยางที่หลอกเธอ เขาเอาแต่พูดว่ารักเสิ่นเฉียวมากอย่างนู้นอย่างนี้ แต่เขากลับไม่กลับบ้านในคืนก่อนวันแต่งงานเนี่ยนะ “แม่กลัวว่าลุงจะเมาน่ะ ลูกไปนอนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ลูกกับจิวจิวมีงานสำคัญนะ”

เป็นเด็กโปรยดอกไม้ไงล่ะ!

ซุ่ยซุ่ยพูดต่อว่า “แม่ครับ งั้นผมไปนอนแล้วนะ”

ซูโย่วอี๋รออย่างอดทนอีกเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็ทนไม่ได้ตอนเกือบตีสาม จึงวางแผนที่จะโทรตามฮันเจ๋อหยางให้กลับบ้าน แต่เธอกลับได้รับข้อความเสียก่อน

[เดาสิว่าฮันเจ๋อหยางอยู่ที่ไหน?]

ผู้ส่งคือฮันเอินจี

ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้วและข้อความอีกอันก็เด้งขึ้นมา

[ห้องเพรสซิเดนเชียลสวีทของโรงแรมอิมพีเรียล จะมาหรือไม่มาก็ได้ ขึ้นอยู่กับเธอ]

ซูโย่วอี๋โทรเข้าเบอร์ของฮันเอินจีทันที แต่ในครั้งแรกที่เธอโทรไป อีกฝ่ายไม่รับสาย

พอครั้งที่สองก็ปิดเครื่อง

เธอโทรหาฮันเจ๋อหยางแต่ไม่มีใครรับสาย

ซูโย่วอี๋ลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็วและเคาะประตูห้องของฮันเจ๋อเหยียน

“พี่คะ มีบางอย่างเกิดขึ้นกับฮันเจ๋อหยาง”

มีเสียงกรอบแกรบดังจากข้างใน จากนั้นประตูก็เปิดออก

ใบหน้าของฮันเจ๋อเหยียนไม่ได้ดูสะลึมสะลือเหมือนเพิ่งตื่นนอน ดวงตาของเขาดูสงบและเงียบขรึม

“เกิดอะไรขึ้น?”

ซูโย่วอี๋ส่งข้อความให้ฮันเจ๋อเหยียนดู “ฉันโทรหาพวกเขา แต่ไม่มีใครรับสายเลย”

ใบหน้าของฮันเจ๋อเหยียนมืดมนลง “พวกเราจะลงไปข้างล่างกันในห้านาที”

“ชอบทำตัวเป็นปัญหาให้คนต้องกังวลจริง ๆ”

ซูโย่วอี๋กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องและตามฮันเจ๋อเหยียนไปทันที

ขณะที่รถกำลังแล่นอยู่ ซูโย่วอี๋ยังคงนึกสงสัยว่าฮันเอินจีมีบทบาทอะไรในเหตุการณ์นี้

จนกระทั่งเธอเห็นเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายในห้อง เธอจึงรู้ว่าตัวเองประเมินฮันเอินจีต่ำไป