ตอนที่ 297 ใจใหญ่เสียจริง
อีกด้านหนึ่งนายทหารใต้บัญชาของแม่ทัพกัวก็จับกุมกบฎทุกคนมัดไว้และเตรียมตัวลงจากหุบเขา เจียงโม่หานนึกถึงโศกนาฏกรรมในอำเภอจิงหยุน มันเกิดขึ้นประมาณช่วงไม่กี่วันก่อนเข้าสู่ฤดูหนาวพอดี
ปีนี้ภัยแล้งรุนแรง น่าจะเป็นเพราะเสบียงอาหารในค่ายไม่เพียงพอ พวกมันจึงพุ่งเป้ามาที่หมู่บ้านอันมั่งคั่งเหล่านี้ และเพื่อชาวบ้านนับหมื่นรอบอำเภอจิงหยุนแล้ว เจียงโม่หานคิดว่าอย่างไรก็ควรเตือนแม่ทัพกัวเสียหน่อย
“ท่านแม่ทัพ ! ” เจียงโม่หานเดินเข้าไปหาแม่ทัพกัว
แม่ทัพกัวหัวเราะพลางกล่าวว่า “บัณฑิตเจียง เจ้าสร้างผลงานชิ้นใหญ่อีกแล้ว ! คราวก่อนเครื่องกรองน้ำที่เจ้าประดิษฐ์ก็ได้รับความนิยมในกองทัพมาก ! บัณฑิตเจียงต้องมีอนาคตสดใสแน่นอน ! ”
มีชื่อเสียงต่อหน้าพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้ ขอแค่สอบผ่านเท่านั้น แม้จะอยู่ในอันดับปลายแถว อนาคตก็ไม่เลวร้ายแน่นอน ! เพราะสิ่งที่ราชสำนักขาดแคลนคือคนมีความสามารถซึ่งใช้งานได้จริง !
ทันใดนั้นแม่ทัพกัวก็เริ่มรู้สึกเสียดาย “บัณฑิตเจียง เจ้าไม่คิดจะเข้าร่วมกองทัพกับข้าจริงหรือ ? ข้าเสนอตำแหน่งกุนซือให้เจ้า ไม่ปล่อยให้เจ้าต้องลงไปในสนามรบเพื่อตัดศีรษะใครหรอก ! ”
เจียงโม่หานกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในทันใด บัณฑิตไร้เรี่ยวแรงอย่างตนสามารถเป็นคนมีชื่อเสียงในกองทัพได้ถึงเพียงนี้ก็นับเป็นเรื่องที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนในชีวิต เขาหันไปโค้งคำนับแม่ทัพกัว “ขอบคุณในความเมตตาของท่านแม่ทัพ แต่ความทะเยอทะยานของข้าน้อยไม่ได้หยุดอยู่แค่ตรงนั้นขอรับ ! ”
แม่ทัพกัวทราบผลลัพธ์นานแล้วจึงไม่ได้ผิดหวังสักเท่าไร “วางใจเถิด ผลงานในคราวนี้จะไม่ตกหล่นชื่อของเจ้าแน่นอน ! ”
“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยไม่ได้มาหาท่านเพราะเรื่องนี้ ! ” เจียงโม่หานกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านลองคิดสิว่าหมู่บ้านฉือหลี่โกวเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กที่มีชาวบ้านไม่มากนัก ภัยแล้งก็รุนแรงกว่าที่อื่น ทว่ายังตกเป็นเป้าของพวกกบฏ ดังนั้นหมู่บ้านที่ไม่ได้เผชิญกับภัยแล้งหรือพวกที่ภัยแล้งเริ่มลดทอนความรุนแรงลงแล้วจะไม่…”
แม่ทัพกัวหุบยิ้มแล้วพยักหน้ารับทันที “บัณฑิตเจียงกล่าวมีเหตุผล คนแซ่จางพาทหารมาไม่กี่ร้อยนายเท่านั้น แล้วคนอื่นอยู่ที่ใด ? คงไม่ได้อยู่เฉยหรอก พวกกบฏไม่เหมือนพวกเราที่มีเสบียงและเบี้ยหวัดจากราชสำนักไว้เลี้ยงคนจำนวนมาก พอเข้าฤดูหนาวก็ต้องใช้อาหารเยอะมากไม่ใช่หรือ ? ไม่ได้การ ข้าต้องพาพวกทหารไปดูที่อำเภอจิงหยุนเสียหน่อย…”
แม่ทัพกัวทิ้งทหารม้าไว้กลุ่มหนึ่ง เมื่อส่งตัวนักโทษกลับค่ายแล้ว เขายังส่งคนไปรวบรวมทหารที่ค่ายให้มากกว่าเดิม จากนั้นให้ตรงไปที่อำเภอจิงหยุนทันที ! พื้นที่โดยรอบอำเภอจิงหยุนเป็นพื้นที่เดียวในภาคเหนือที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ดังนั้นอาจตกเป็นเป้าหมายของพวกกบฏได้ !
“หืม ? เหตุใดแม่ทัพกัวจึงออกไปเร็วเช่นนั้น ? ข้ายังอยากทำอาหารให้สักโต๊ะเพื่อเลี้ยงขอบคุณที่มาช่วย ! ” ขณะมองตามแผ่นหลังที่ออกไปอย่างรีบร้อนของแม่ทัพกัว หลินเว่ยเว่ยก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย
เจียงโม่หานคิดในใจ ‘ยังไม่รู้เลยว่าที่บ้านถูกพวกกบฏทำลายจนเป็นเช่นไรบ้าง ! เจ้ายังมีอารมณ์มาเลี้ยงข้าวคนอื่น ช่างใจใหญ่เสียจริง !
ต่อจากนั้นเขาก็เดินมาหาหลินเว่ยเว่ย หลังมองส่งพวกทหารแล้วเขาก็เล่าถึงสาเหตุที่แม่ทัพกัวรีบจากไป “แม่ทัพกัวต้องพาทหารไปดูแลความปลอดภัยของชาวบ้านในอำเภอจิงหยุน…”
“เจ้าหมายความว่า…” ทันใดนั้นดวงตาของหลินเว่ยเว่ยก็เบิกกว้าง สวรรค์ ! อำเภอจิงหยุนมีชาวบ้านอาศัยอยู่มากมายเช่นนั้น แต่เหมือนว่าไม่มีทหารคอยเฝ้ารักษาการณ์สักเท่าไหร่ ถ้าพวกกบฏคิดจะปล้นที่ตัวอำเภอก็หมายความว่า…
“พวกกบฏสมควรตาย ! หวังว่าแม่ทัพกัวจะไปช่วยได้ทันเวลา ! ” หลินเว่ยเว่ยพลันนึกถึงคุณชายบ้านนายอำเภอจิงหยุนที่โยนเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อกวางของนาง แม้เขาจะดูโอ้อวดไปมาก แต่ก็ไม่ใช่คนชั่วโฉดอันใด หวังว่าอำเภอจิงหยุนจะปลอดภัย !
ต่อจากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็เดินเข้ามาอีกคน เขาพูดกับหลินเว่ยเว่ยว่า “นางหนูรอง พวกชาวบ้านเป็นห่วงที่บ้าน เจ้าคิดว่า…ตอนนี้เราสามารถลงเขาได้หรือยัง ? ”
“พวกกบฏด้านล่างโดนทหารรักษาการณ์เมืองจงโจวจัดการหมดแล้ว ในหมู่บ้านจึงปลอดภัย สามารถลงเขาได้ ! ” หลินเว่ยเว่ยหันไปมองชาวบ้านที่บาดเจ็บหนัก จากนั้นนางจึงเดินไปตัดกิ่งไม้ท่อนหนาแล้วใช้เส้นหวายมาทำเป็นเปลหาม คนที่บาดเจ็บค่อนข้างหนักหรือบาดเจ็บที่ขาจึงถูกเปลหามลงไปทั้งสิ้น
ทหารที่แม่ทัพกัวทิ้งไว้กำลังขุดหลุมสำหรับนำศพพวกกบฏที่ตายไปฝังให้ลึกเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าขุดขึ้นมากิน หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิดก่อนจะกล่าวว่า “ทางนี้มีหมาป่าโผล่มาให้เห็นหลายครั้งแล้วก็พวกสัตว์ตัวเล็ก ข้าคิดว่าเผาดีกว่า จะได้ไม่เป็นการล่อให้พวกสัตว์แห่มาขุดคุ้ย ! ”
ด้านทหารในกองทัพก็สละชีพจำนวนหนึ่ง การเผาศพย่อมมีเพื่อนทหารช่วยนำเถ้ากระดูกกลับไปให้ครอบครัวแทนได้ แม่ทัพน้อยที่อยู่ต่อคือนายทหารหนุ่มที่เคยคิดจะงัดข้อกับหลินเว่ยเว่ย เขาสั่งให้ลูกน้องตัดกิ่งสนที่แห้งตายแล้วมากองรวมกันจากนั้นก็วางศพไว้ด้านบน ในไม้สนมีน้ำมันอยู่ แค่จุดก็ทำให้เปลวไฟลุกโชน
ทันใดนั้นในอากาศก็มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ปรากฏขึ้น หลินเว่ยเว่ยปิดจมูกแล้วพูดกับแม่ทัพน้อยว่า “แม่ทัพน้อย พวกท่านออกเดินทางมาตั้งแต่เช้าตรู่ ยังไม่ได้กินข้าวเช้ากันเลย ประเดี๋ยวพอลงเขาแล้วต้องอยู่ต่อที่บ้านข้าก่อน ให้พวกเราได้แสดงน้ำใจของเจ้าบ้านและแสดงความรู้สึกซาบซึ้งใจของเราสักหน่อย”
แม่ทัพน้อยส่ายหน้า “น้ำใจนั้นข้ารับไว้แล้ว ! แต่ในกองทัพมีกฎว่าจะรับเงินจากราษฎรแม้แต่อีแปะเดียวไม่ได้ เจ้าอย่าให้ข้าทำผิดกฎเลย อีกอย่างในปีแห่งภัยแล้งเช่นนี้ พวกเจ้าก็มีอาหารไม่มาก…”
ดูสิ แค่นี้ก็แตกต่างกันแล้ว ! ได้ใจชาวประชาทั่วหล้าอย่างแน่นอน สาเหตุที่แต่ละราชวงศ์ล่มสลายก็ไม่ใช่เพราะสูญเสียหัวใจจากราษฎรหรอกหรือ ? พวกกบฏโหดเหี้ยมอำมหิตเห็นชีวิตของชาวบ้านเหมือนผักปลา พวกมันจึงเป็นได้แค่หางกระต่าย…ไม่สามารถเติบโตได้อีก !
ต่อจากนั้นชาวบ้านฉือหลี่โกวก็ช่วยประคองซึ่งกันและกันลงจากเขา ตอนกลับมาถึงหมู่บ้านก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว ทุกคนมายืนที่หน้าบ้านของตนแล้วมีความรู้สึกเหมือนมาอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง มีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยร้องไห้ออกมา…อีกแค่นิดเดียวพวกตนก็จะไม่ได้กลับมาอีก !
นี่เป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญยิ่งนัก ! ถ้าไม่มีคำเตือนของบุตรสาวคนรองตระกูลหลินและบัณฑิตเจียง หากไม่มีการตัดสินใจอย่างทันท่วงทีของคนทั้งหมู่บ้าน ถ้าไม่มีหลีชิงนำพาพวกตนไปซ่อนตัวในป่าสนแดง หากไม่มีการต่อสู้แบบร่วมแรงร่วมใจกันในหุบเขา และถ้าบุตรสาวคนรองตระกูลหลินพาทหารรักษาการณ์มาช่วยไม่ทัน…หมู่บ้านฉือหลี่โกวในเวลานี้ก็คงจะเหลือแต่เศษซากปรักหักพัง !
ผู้ใหญ่บ้านหลั่งน้ำตาต่อหน้าหลินเว่ยเว่ย “นางหนูรอง เจ้าช่วยชีวิตคนทั้งหมู่บ้านไว้อีกแล้ว ! ข้าขอขอบใจเจ้าแทนคนทั้งหมู่บ้าน…”
เมื่อเห็นผู้ใหญ่บ้านกำลังจะคุกเข่าลงเบื้องหน้า หลินเว่ยเว่ยก็ตกใจจนหน้าถอดสีและรีบเข้าไปประคองอีกฝ่ายทันที “ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้าน ท่านกำลังจะทำอันใด ? นี่ไม่ใช่กำลังลดอายุขัยของข้าหรอกหรือ ! อีกอย่างคราวนี้บัณฑิตเจียงเป็นผู้สังเกตเห็นความผิดปกติได้ก่อน ถ้าจะขอบคุณ ท่านก็ควรขอบคุณเขา ! ”
“ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเจ้ากับบัณฑิตเจียงก็มีบุญคุณกองเท่าภูเขาต่อพวกเราชาวฉือหลี่โกว ! วันหน้าถ้ามีสิ่งใดให้พวกเราช่วยเหลือ แม้ข้าหลิวต้าซวนจะต้องบุกน้ำลุยไฟก็ไม่ปฏิเสธ ! ” หลิวต้าซวนตาแดงก่ำและให้สัญญาอย่างฮึกเหิม
ชาวบ้านคนอื่นก็เข้าร่วม ครอบครัวที่เคยมีอคติต่อบ้านตระกูลหลินและหลินเว่ยเว่ยล้วนก้มหน้าด้วยความละอายใจ
หลินเว่ยเว่ยกลัวเหตุการณ์เช่นนี้ที่สุด นางจึงกล่าวด้วยความอึดอัดทันที “คนหมู่บ้านเดียวกันจะพูดเกรงใจแบบนั้นเพื่อเหตุใด ? รีบไปดูเถิดว่าในบ้านมีสิ่งใดหายบ้าง ? ”
เกวียนสองสามคันนอกหมู่บ้านเต็มไปด้วยกระสอบข้าว ไม่รู้ว่าย้ายออกมาจากบ้านหลังใดบ้าง เมื่อตรวจสอบแล้วก็มีครอบครัวไม่น้อยที่ข้าวของในบ้านเสียหาย แต่โชคดีที่พวกเขานำทรัพย์สินมีค่าติดตัวไปทั้งหมด จึงไม่เสียหายร้ายแรงมากนัก