ตอนที่ 187 ไม่เช่นนั้น ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ จะเอ่ยสัตย์สาบาน... (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 187 ไม่เช่นนั้น ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ จะเอ่ยสัตย์สาบาน… (1)
หือ? ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จากไปแล้วหรือ? เหตุใดกัน…

เวลานี้ หลี่ฉางโซ่วกำลังนั่งอยู่บนเบาะนั่งสมาธิและฟังข้อความเสียงที่ส่งผ่านเข้ามาในใจ ณ ริมทะเลสาบท่ามกลางผู้คน

‘มาที่ป่าเล็ก ห่างออกไปสามหมื่นลี้ทางตะวันออก ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่น’

นี่คือปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ หรือ?

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ไม่น่าจะล้อกันเล่นขนาดนี้ แล้วจะมีผู้ใดเลียนแบบเสียงของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เพื่อล่อลวงข้าให้ออกไปหาได้?

หลี่ฉางโซ่วพึมพำกับตัวเองแล้วขยับริมฝีปากกล่าวเงียบๆ ว่า “โปรดรู้สึก เข้าใจ ผ่านการส่งข้อความเสียง”

ห่างออกไปสามหมื่นลี้ เวลานี้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ในชุดสีขาวซึ่งยืนอยู่ในป่าเล็กอดจะ… หัวเราะออกมาดัง ๆ ไม่ได้

เสี่ยวฉางโซ่วผู้นี้ยังคงน่าสนใจจริงๆ

เหตุใดกัน? หรือเขาคิดว่า หากมีคนแอบอ้างเป็นข้า ตัวข้าเองจะรับรู้หรือหยั่งรู้ไม่ได้?

ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสะบัดนิ้วเบา ๆ และส่งเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งไท่ชิงออกไปราวกับเชือกที่มองไม่เห็น คลื่นพลังงานสั่นสะเทือนไปตามวิถีจนถึงก้นบึ้งหัวใจของหลี่ฉางโซ่วด้วยเสียงของเต๋าอันยิ่งใหญ่แล้วก่อตัวขึ้นเป็นตัวอักษรขนาดมหึมา ‘มั่นคง’

เช่นนั้นแล้วหลี่ฉางโซ่วกลับเชื่อเพียงเก้าสิบห้าในร้อยส่วนเท่านั้น หลังจากใคร่ครวญถี่ถ้วนแล้ว เขาก็กล่าวกับสงหลิงหลี่ ซึ่งกำลังอ่านตำราอยู่ด้านข้างว่า “อย่าเที่ยวเดินเตร่ ข้าจะไปล่าหาอาหารมาให้เจ้า”

สงหลิงลี่รีบพยักหน้าหงึกหงักพลางจ้องมองเทพแห่งท้องทะเลอย่างกตัญญูรุ้คุณ

หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ไปหาเจ้าสำนักของเขาพร้อมกับพิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียของสถานการณ์นี้อยู่ในใจแล้วเอ่ยตัวลาโดยอ้างว่าเขาสัมผัสได้ถึงการรู้แจ้งในใจ จึงอยากจะออกไปทะลวงฝ่าขอบเขตพลังเอง

จี้อู๋โหย่วจึงขอให้ผู้บริหารดูแลสำนักที่เป็นเซียนเสิ่นพาเขาเดินออกจากสถานที่จัดงานประชุม และหลังจากไตร่ตรองแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ขอให้อาจารย์ลุงจิ่วอูออกไปกับเขาด้วย

จากนั้น จิ่วอูก็ขับเคลื่อนเมฆาไปกับหลี่ฉางโซ่วออกจากหุบเขาไปตามเส้นทางเล็กที่แยกตัวออกไปซึ่งสงบปลอดคน

ในขณะนั้น มีผู้บำเพ็ญจำนวนมากมายนัก จึงมีคนเดินเข้าออกมาก ดังนั้นพวกเขาสองคนจึงไม่เป็นจุดเด่นดึงดูดความสนใจจากผู้ใด

จิ่วอูพาเขาบินไปได้หลายพันลี้ จนหลี่ฉางโซ่วเห็นว่าหินสัมผัสไม่เปล่งแสงอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงหาข้ออ้างเพื่อแยกทางจากจิ่วอูไปพักหนึ่ง

เมื่อเขากลับมา ย่อมแน่นอนว่า จะไม่ใช่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ตัวเดิม แต่จะเป็นตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ใหม่แทน ในขณะนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วก็ยิ้มและกล่าวว่า “ศิษย์ได้รับการรู้แจ้งมากมายจากก้นบึ้งในใจ บัดนี้จะขอนั่งสมาธิอยู่ที่นี่ วอนท่านลุงโปรดรอข้าด้วย”

“ได้สิ” จิ่วอูยิ้มและพยักหน้า จากนั้นจึงจัดวางค่ายกลอย่างง่ายไว้รอบกายของหลี่ฉางโซ่ว

หลังจากนั้น จิ่วอูก็พบก้อนหินสูงสามฉื่อแล้วกระโดดขึ้นไปบนนั้นก่อนจะนั่งขัดสมาธิเพื่อคอยเฝ้าปกป้องหลี่ฉางโซ่วอย่างเงียบๆ ชั่วขณะนั้น ร่างหลักของหลี่ฉางโซ่วได้ใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย พุ่งตรงไปยังสถานที่ที่ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่อย่างรวดเร็ว

เมื่อพบกัน ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูก็หัวเราะและก่นด่าว่า “เหตุใดเจ้าถึงหลบซ่อนตัวมากมายเช่นนี้ จะออกมาพบข้าทั้งที ต้องลำบากมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ!?!”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มขื่นพลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “ระดับพลังปราณของศิษย์ยังตื้นเขินนัก และยังสะสมไม่เพียงพอ … ยามนี้เพื่อเอาตัวให้รอดในโลกบรรพกาล จึงต้องอำพรางกายและระมัดระวังตัวให้มากที่สุดจะได้สบายใจขึ้น หากศิษย์มีสภาพแวดล้อมที่มั่นคง ย่อมไม่ต้องทุ่มเทแรงใจและกายมากมายเช่นนี้ขอรับ”

จะสนใจเรื่องอื่นไปไย มาทำท่าบ้าใบ้[1]กันก่อนก็แล้วกัน!

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูแย้มยิ้มและพยักหน้า ครั้นเมื่อเขาโบกมือ ทันใดนั้นก็มีเมฆขาวลอยขึ้นใต้เท้าของหลี่ฉางโซ่ว จากนั้นปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูก็ยิ้มและกล่าวว่า “ระวังไว้ก็ไม่เลว พวกเราไปกันเถิด ข้าจะพาเจ้าไปยังสถานที่วิเศษแห่งหนึ่ง”

หลี่ฉางโซ่วพลันเงียบงัน…

ช่างเถิด โอกาสเช่นนี้ก็ไม่ได้มีง่ายๆ ในเมื่อมาแล้วก็ปล่อยให้เป็นไปตามวิถีของมัน ขอดูหน่อยสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ผู้ที่เก่งกาจในการใช้เครื่องมือเวทย่อมรู้ดีว่า ต้องทำอย่างไรกับเครื่องมือเวทที่ยอดเยี่ยม

หลี่ฉางโซ่วไม่ได้ถามปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูว่าจะพาเขาไปที่ใด เขาเพียงแค่ยืนอยู่ที่ด้านหลัง ของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูโดยไม่ได้สนใจมอง และไม่สนใจฟังสิ่งต่างๆ โดยรอบ แต่รอให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูกล่าวออกมา

ทว่าเพียงไม่นานหลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกว่าเขาได้ข้ามผ่านภูเขาและแม่น้ำ ครั้นเมื่อมองลงมา ก็พบว่าเขาอยู่เหนือคลื่นสีฟ้าในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่แล้ว…

“เราเกือบจะไปถึงที่นั่นแล้ว” ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูหัวเราะเบาๆ ในขณะที่หลี่ฉางโซ่วไม่ได้ให้ความสนใจ จากนั้นเขาก็พาหลี่ฉางโซ่วลงไปในทะเลลึกเงียบๆ

หลี่ฉางโซ่วเข้าใจแล้วในเวลานี้ มันควรจะเป็นสิ่งที่กลุ่มมังกรสามารถเตือนผู้วิเศษได้

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วเข้าใจแล้วว่า เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์มังกรเพราะคงเป็นเรื่องที่สามารถกระตุ้นปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้

เขาคิดว่าเหตุผลที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่พาเขาไปที่นั่น น่าจะเป็นเพราะ… ต้องการให้ศิษย์น้อยของเขาลงมือจัดการโดยที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เองก็ไม่ต้องการเปิดเผยร่องรอยใดๆ ของตัวเขาเอง รวมทั้งไม่ต้องการแตะต้องกรรมใดๆ

นี่…

เขาทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง เขาทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?

นี่จะไม่เป็นการสิ้นเปลืองพลังการต่อสู้ระดับสูงของข้าอย่างมากหรือ?

หลี่ฉางโซ่วแอบคิดในใจ เขาคิดว่าจะหาวิธีล่อลวงอย่างไรเพื่อให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่แสดงฝีมือ แค่กๆ จะเกลี้ยกล่อมให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ช่วยเขาดำเนินการ ส่วนตัวเขาก็จะทำตัวเหมือนเป็นคนมาซื้อซอสถั่วเหลืองเอง[2]

ในเวลาเดียวกันนั้น หลี่ฉางโซ่วยังได้เตรียมแผนการเอาไว้ก่อนสองอย่างโดยเริ่มตรวจสอบดูว่าตัวเขาเองจะใช้ไพ่ไม้ตายที่เขามักใช้เป็นวิธีการต่อสู้ได้ เช่น ตุ๊กตากระดาษ ค่ายกลขนาดเล็ก โอสถพิษ ผงพิษ และบริการงานศพแบบครบวงจร…

เผื่อว่าเมื่อถึงยามนั้น แล้วเขาให้อีกฝ่ายจัดการไม่ได้ ก็จะได้ไม่ต้องวุ่นวายให้เสียเวลา

ในขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วไม่มีอารมณ์จะชื่นชมกับทิวทัศน์ที่สวยงามแห่งท้องทะเล หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ก็กล่าวว่า “เรามาถึงแล้ว”

หลี่ฉางโซ่วเงยหน้าขึ้นแล้วจึงตระหนักว่า พวกเขามาถึงเมืองใหญ่แห่งหนึ่งในทะเลแล้ว

ทะเลลึกเหมือนม่านที่ลึก ‘เกาะ’ ที่ลอยอยู่เหนือปากปล่องภูเขาไฟใต้น้ำ ห่างจากพื้นผิวทะเลราวหนึ่งพันจั้ง

ขณะนี้ หินหนืดที่ก้นทะเลกำลังเดือด และเกาะอมตะด้านบนก็ถูกกำแพงแสงของค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมรอบ แสงจากกำแพงแสงของค่ายกลสาดส่องผ่านพื้นที่ทะเลใกล้เคียงเป็นระยะทางหลายร้อยลี้ และสามารถเห็นบรรดาสิ่งมีชีวิตในทะเลแหวกว่ายอยู่รอบๆ

หลี่ฉางโซ่วแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ออกไปตรวจสอบค่ายกล และเห็นความโกลาหลเล็กน้อย

มีชนเผ่าทะเลกบฏหลายร้อยคนถูกเหล่าทหารแห่งท้องทะเลที่สวมชุดเกราะรายล้อมและกำราบเอาไว้ เห็นได้ชัดว่า พวกเขายับยั้งการจลาจลครั้งนี้ได้แล้ว

มีชนเผ่าทะเลแปลก ๆ มากมายอาศัยอยู่ที่นั่น

สิ่งมีชีวิตในทะเลบางชนิดสติปัญญาได้พัฒนาขึ้นโดยที่ยังคงรูปเดิม เช่นม้าน้ำ ปลา สิงโตทะเล และอื่นๆ ในขณะที่มีบางชนิดได้แปลงร่างเป็นร่างเต๋าซึ่งมีรูปร่างเหมือนมนุษย์แล้ว และส่วนใหญ่ยังคงลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมัน เช่น เหงือก เกล็ด หาง ครีบและอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ดูแปลกประหลาดอีกมากมายที่ใช้เต๋าแห่งการแปลงร่างเพื่อก้าวข้ามการแบ่งแยกทางเผ่าพันธุ์…

หลี่ฉางโซ่ว ยังเคยเห็นพวกมนุษย์เงือกที่สวยงามเช่นกัน การเดินทางครั้งนี้ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ

มนุษย์เงือกเป็นเผ่าใหญ่ในหมู่ชนเผ่าทะเลและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับเผ่ามังกร ในขณะนี้ พวกเขาทั้งสองคนยืนอยู่กลางทะเล ซึ่งมีอักขระเต๋าบางอย่างไหลวนเวียนอยู่รอบร่างของ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่และปกปิดที่อยู่ของพวกเขา

“ท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่” หลี่ฉางโซ่วกล่าวเบาๆ ว่า “ศิษย์เคยใช้ตัวตนของเทพแห่งท้องทะเลทักษิณเพื่อรายงานเรื่องการปราบเผ่าพันธุ์มังกรต่อองค์เง็กเซียนแห่งศาลสวรรค์แล้ว นอกจากนี้ ยังได้รับอนุญาตจากองค์เง็กเซียนอีกด้วยขอรับ”

“อืม ทำได้ดีมาก”

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูยิ้มและพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ช้าก่อน ข้าเพิ่งหยั่งรู้ได้ว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่ และอยากให้เจ้าปรากฏตัวออกมาเพื่อช่วยข้า ทว่า ดูท่าแล้ว พวกเรามาถึงเร็วไปสักหน่อย”

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น

นั่นเป็นการฝึกบำเพ็ญเยี่ยงใดกัน? เป็นการหยั่งรู้เยี่ยงใดกัน? ต้องฝึกบำเพ็ญถึงระดับใด จึงจะหยั่งรู้ได้ขนาดนี้? ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่สามารถหยั่งรู้อนาคตได้จริงๆ ใช่หรือไม่?

ผู้สนับสนุนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ข้าต้องเกาะขาให้แน่นๆ แล้ว! ในขณะนั้น ทั้งสองคนรออยู่ราวครึ่งชั่วยาม กลุ่มกบฏที่ก่อการจลาจลในเมืองใหญ่นั้นก็ถูกปราบปรามได้แล้ว แต่หลี่ฉางโซ่วก็รับรู้ได้อย่างเฉียบคมว่า ดูเหมือนจะมีอะไรแอบซ่อนอยู่ในเมืองนี้

นอกจากนี้ หลี่ฉางโซ่วยังรู้สึกคุ้นเคยมากอีกด้วย…

หลี่ฉางโซ่วจึงถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ท่านรู้เรื่องหุ่นเชิดยุงเลือดที่โจมตีสำนักตู้เซียนของเราในตอนนั้นหรือไม่ขอรับ?”

……………………………………………………………………

[1] สื่อถึงการเล่นเกมทำท่าบอกใบ้คำกัน

[2] ทำตัวเหมือนเป็นตัวประกอบมาเดินเล่นเฉย ๆ เท่านั้น