บทที่ 393 กลับ
บทที่ 393 กลับ
“ตายซะ!” หนึ่งในกลุ่มคนที่พุ่งเข้าถึงตัวอู๋ฝานก่อน ใช้กระบี่เล่มยาวในมือเหวี่ยงสะบัดหมายฟันใส่
อู๋ฝานยังคงเผยสีหน้าสงบนิ่ง ทั้งยังไม่คิดหลบเลี่ยง แต่เลือกที่จะโจมตีตอบโต้ กระทืบเท้าดีดตัวกับพื้น ทั้งตัวคนถูกดีดทะยาน เมื่อร่างพุ่งสู่อากาศ ขาขวาพลันเตะเข้าใส่กระบี่ในมือของอีกฝ่าย
เมื่ออีกฝ่ายเห็นการเคลื่อนไหวของชายหนุ่ม มุมปากก็กระตุกยิ้มเผยท่าทีดุร้ายออกมา กระทั่งลอบคิดไปว่าเขาช่างไม่รู้จักประมาณตนเอง เพราะกระบี่ของตนกำลังจะตัดขาอู๋ฝานให้ขาดเป็นสองท่อน!
แต่ก่อนที่กระบี่จะปะทะกับขาของอู๋ฝาน ขานั้นกลับพลิกเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศหลบเลี่ยงคมกระบี่ ทันทีที่พลาดเป้า ขาของอู๋ฝานก็เตะต่อเนื่องอย่างเฉียบคม ฟาดเข้าใส่ด้ามกระบี่ยาวในมือของคู่ต่อสู้ แรงปะทะอันรุนแรงบังเกิด ทำให้ตัวคนบิดเบี้ยวไปตามแรงที่กระบี่ถูกกระทำ
ทว่าลูกเตะของอู๋ฝานยังไม่ได้จบลงที่ตรงนี้ หลังเตะกระบี่ยาวของอีกฝ่ายแล้ว ขานั้นก็ไม่ได้ถอนกลับคืน แต่เตรียมส่งแรงเตะอีกครั้ง ทั้งยังเป็นการเตะยาวต่อเนื่องไปยังทิศทางเดิม ฟาดเข้าใส่ศีรษะของอีกฝ่าย
“ตึง!”
ร่างของคู่ต่อสู้เกิดรู้สึกราวกับถูกค้อนยักษ์ฟาดหวดใส่ เสียงอื้ออึงดังขึ้นจนร่างราวกับจะแตกร้าวได้ทุกเมื่อ จากนั้นการมองเห็นจึงมืดบอด ทั้งร่างล้มลงหมดสติกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง
เป้ยอวี่ฉวนที่เห็นเรื่องราวถึงกับต้องประหลาดใจ เธอที่ตอนแรกตกอยู่ในความสิ้นหวัง ตอนนี้ลืมตาขึ้นพร้อมตระหนักว่าแม้สองฝ่ายจะห้ำหั่นลงมือกัน แต่ที่ได้เห็นคือความได้เปรียบของอู๋ฝาน กระทั่งว่าเอาชนะได้แล้วคนหนึ่ง
‘เขาเป็นใครกัน? แข็งแกร่งมาก!’ เป้ยอวี่ฉวนนึกทึ่งอยู่ในใจ เธอที่เพิ่งต่อสู้กับคนกลุ่มนี้ย่อมทราบความแข็งแกร่งของพวกเขาดี ไม่มีใครในพวกเขาที่อ่อนแอ ทว่าอู๋ฝานกลับสามารถล้มคู่ต่อสู้จนหมดสติได้อย่างง่ายดายเพียงแค่หนึ่งกระบวนท่า มันเป็นอะไรที่แม้แต่เธอในสภาพพร้อมที่สุดก็ไม่สามารถทำได้
หรือเธอจะยังมีความหวังอยู่?
ท่ามกลางความสิ้นหวังที่มืดมิด ใจของเป้ยอวี่ฉวนเกิดคาดหวังขึ้นมา
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป กลุ่มคนที่ปิดล้อมเล่นงานอู๋ฝานต่างต้องประหลาดใจกับความแข็งแกร่ง แต่ในเมื่อตัดสินใจลงมือแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจหยุดหรือว่าถอย อีกทั้งชายหนุ่มยังทำร้ายเพื่อนพ้องของพวกเขาจนล้มพับหมดสติ ตอนนี้จึงเกิดโทสะคิดหาทางแก้แค้นให้เพื่อน กระทั่งสาบานว่าจะฆ่าอีกฝ่ายที่เข้ามาขัดขวางให้จงได้!
แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่คิด เพราะการเอาชนะอู๋ฝานไม่ใช่เรื่องง่าย
กลุ่มคนไม่คาดคิดว่าแม้อีกฝ่ายจะถูกปิดล้อมเล่นงานพร้อมกัน แต่ก็ยังไม่อาจจัดการได้ กระทั่งว่าอู๋ฝานกลับกลายเป็นหมาป่าท่ามกลางฝูงแกะ หากคิดจะขย้ำเหยื่อที่เป็นแกะแสนอ่อนแอก็เป็นเรื่องง่ายดาย สุดท้ายพวกเขาจึงตระหนักว่าพวกตนไม่อาจจัดการคู่ต่อสู้ได้ อีกทั้งชายคนนั้นก็ยังเร็วเกินไป ร่างกายเคลื่อนไหวประหนึ่งภูตผี กระบี่ของพวกเขาคล้ายจะฟันผ่าร่างของอีกฝ่ายได้ ทว่าทุกครั้งกลับทำได้เพียงฟาดใส่อากาศธาตุ กระทั่งชายเสื้อของอู๋ฝานก็ไม่มีด้ายหลุดแม้สักเส้น
ขณะที่ขาของอู๋ฝานนั้นเปรียบดังสปริงที่ดีดอย่างต่อเนื่อง แต่ละครั้งที่เตะขาออกมาจะรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้า พวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะหลบเลี่ยง
ในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที กลุ่มคนที่ปิดล้อมหมายเล่นงานอู๋ฝาน กลับเป็นฝ่ายล้มพับหมดสติกับพื้นจนครบทุกคน
เป้ยอวี่ฉวนนิ่งค้างขณะรับชมเรื่องราวของผู้ที่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ ในใจเธอทั้งแตกตื่นและเกิดข้อสงสัย
อีกฝ่ายเป็นศิษย์สำนักไหน? ในแวดวงผู้ฝึกตนปรากฏยอดฝีมือเปี่ยมพรสวรรค์อายุเท่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ไหวไหมครับ? ลุกได้ไหม?” อู๋ฝานเอ่ยถามขณะนั่งยอง ๆ ลงถามเป้ยอวี่ฉวน
“ไหวค่ะ” เป้ยอวี่ฉวนตอบรับ
ช่วงที่รับชม ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ให้เธอได้นั่งพัก แม้อาการบาดเจ็บตามร่างกายยังหนักหนา แต่อย่างน้อยก็พอจะฟื้นคืนเรี่ยวแรงกลับมาได้บ้าง การลุกขึ้นเดินสามารถทำได้ไม่ยาก เพียงแต่การเคลื่อนไหวอาจเชื่องช้ากว่าปกติพอสมควร
“พักอยู่ที่ไหนครับ? ผมไปส่งก็แล้วกัน” เมื่อเห็นเป้ยอวี่ฉวนในสภาพนี้ อู๋ฝานจึงไม่อาจวางใจ ดังนั้นจึงคิดส่งอีกฝ่ายกลับที่พัก
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเดินไปเองได้” เป้ยอวี่ฉวนปฏิเสธ
“ไหวแน่นะครับ?” อู๋ฝานยังไม่วางใจ
เป้ยอวี่ฉวนพยักหน้ารับ “ขอบคุณที่ช่วยเหลือค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ” อู๋ฝานตอบรับ
แม้อู๋ฝานสงสัยว่าเพราะอะไรกลุ่มคนถึงปิดล้อมเล่นงานหญิงสาว เห็นได้ชัดว่ามันจะต้องมีเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลัง แต่เขาก็เป็นเพียงผู้รับชมที่บังเอิญผ่านมาจนสุดท้ายเข้าไปเกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงไม่คิดถามรายละเอียดให้มากความ
เป้ยอวี่ฉวนก็ไม่มีท่าทีคิดอธิบายเรื่องราวใดด้วย
หลังเอ่ยขอบคุณ เป้ยอวี่ฉวนจึงเดินจากไป อู๋ฝานมองแผ่นหลังอีกฝ่ายเดินไปไกล ก่อนจะมองกลุ่มคนที่ล้มกองกับพื้น เขาเองก็ต้องไปจากที่นี่เช่นกัน
อู๋ฝานจากไปไม่นาน เป้ยอวี่ฉวนก็กลับมาปรากฏตัวในตรอกอีกครั้ง แม้ใบหน้าจะซีดเผือด แต่กลับเผยความเกลียดชังอย่างเปี่ยมล้น กระบี่ยาวในมือเธอไม่รีรอหรือลังเลที่จะแทงใส่กลุ่มคนที่หมดสติ
อู๋ฝานไม่ได้มีความแค้นอะไรกับกลุ่มคน สาเหตุที่เขาลงมือก็เพราะต้องการช่วยคนที่ถูกรุมรังแก ดังนั้นจึงไม่ได้เล่นงานจนถึงตายหรือพิการ ชายหนุ่มแค่ทำให้พวกเขาหมดสติ
ขณะที่เป้ยอวี่ฉวนไม่ใช่ เธอมีความแค้นฝังลึกกับกลุ่มคน และตอนนี้ก็คือโอกาสที่จะได้ล้างแค้น ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่คิดใจอ่อนหรือลังเล ทั้งยังเชื่อว่าหากเมื่อครู่อู๋ฝานไม่ปรากฏตัว เธอก็คงมีสภาพเป็นคนตายที่ชวนสังเวชยิ่งกว่าคนเหล่านี้
หลังจัดการกลุ่มคนจนครบถ้วน เป้ยอวี่ฉวนจึงเดินกลับไปอีกครั้ง และครั้งนี้เธอไม่เหลียวหลังกลับมาอีก ทำให้ทั้งตรอกแห่งนี้กลับคืนสู่ความเงียบงัน
ขณะอู๋ฝานกลับไปที่โรงแรม เขาไม่ทันรู้ตัวว่าด้านหลังของหน้าต่างบานหนึ่งที่ชั้นบนจะมีหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ยืนมองอยู่ เมื่อเห็นเขากลับมา เธอจึงดึงผ้าม่านปิดไป
“เธอดูอะไรอยู่?” ถังอวี่เฟยที่ออกมาจากห้องน้ำเอ่ยถาม เธอใส่ชุดนอนเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้กำลังเป่าผมให้แห้ง
“ไม่มีอะไร” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์หันกลับมาจากทางหน้าต่าง
“ฉันเสร็จแล้ว เชิญเธอตามสบาย” ถังอวี่เฟยตอบกลับมา
หลิ่วเหยียนเอ๋อร์หยิบชุดที่เตรียมไว้ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
ถังอวี่เฟยเดินไปยังหน้าต่างบานเดิม ดึงผ้าม่านออกเล็กน้อยและมองออกไป แต่ก็ไม่พบเห็นอะไร สุดท้ายจึงกระซิบกับตัวเอง “แม่ภูเขาน้ำแข็งนั่นมองอะไรอยู่กันนะ”
หลังจากนั้นเธอจึงปิดผ้าม่านลงอีกครั้ง และทอดกายนอนลงบนเตียงพลางครุ่นคิดอยู่ในใจ ‘ไม่รู้เลยว่าอู๋ฝานไปทำอะไร แต่ตอนนี้น่าจะกลับมาแล้วมั้ง’
อู๋ฝานกลับมาที่ห้องในโรงแรมแล้วจริง ๆ และตอนนี้หลี่ปิงก็แยกไปอยู่อีกห้องเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้ครอบครองห้องเพียงลำพัง ทำให้สามารถเทเลพอร์ตไปยังโลกแห่งเกมได้สะดวก ไม่เช่นนั้นแล้วช่วงทัศนศึกษาครั้งนี้คงไม่ได้ทำการเทเลพอร์ต
หลังเที่ยงคืน อู๋ฝานตัดสินใจเทเลพอร์ต และเพียงแค่ชั่วพริบตา ทั้งร่างของเขาก็เลือนหายไปจากในห้อง
ร่างของอู๋ฝานปรากฏตัวขึ้นที่จวนในเทศมณฑลชิงหยวน ตอนนี้ท้องฟ้าภายนอกเพิ่งเริ่มทอแสงได้ไม่นาน อู๋ฝานเปิดประตูห้องนอน ก่อนจะพบว่าผู้ใต้บัญชาและคนอื่นในจวนแห่งนี้ต่างก็ตื่นมาทำงานกันหมดแล้ว
“นายท่านตื่นแล้วหรือขอรับ?” ขณะอู๋ฝานเดินอยู่ในจวนได้ไม่นาน ซุนเลี่ยงก็ปรากฏตัวขึ้น แม้จะไม่ใช่ทหารในค่ายอีกต่อไปแล้ว แต่ซุนเลี่ยงยังรักษากิจวัตรเช่นการนอนเร็วตื่นเช้าอยู่ทุกวันเหมือนเช่นเคย
“อืม” อู๋ฝานพยักหน้าตอบรับ “ข้าคงต้องออกเดินทางแล้ว หวังปิงน่าจะเข้าเมืองมาในอีกไม่นาน แจ้งให้เขาส่งธัญพืชและพืชผักมาที่เทศมณฑลในการเดินทางครั้งถัดไปด้วย นำพวกมันไปวางขายที่ร้านขายของชำ …จะว่าไปแล้ว พวกเนื้อของมอนสเตอร์ก็ขายได้เหมือนกัน”