บทที่ 392 ถูกบังคับให้แสดงตัว
บทที่ 392 ถูกบังคับให้แสดงตัว
‘คนนั้นใช้วิชาอะไรกันนะ? ดูน่าทึ่งไม่น้อยเลย’
‘ส่วนคนนั้นก็ดุดันดีจริง ๆ รุมเล่นงานผู้หญิงยังจะเอาหน้าที่ไหนไปพบผู้คนอีก?’
‘ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ใช่เล่น น่าเสียดายที่บาดเจ็บอยู่ ทำให้การเคลื่อนไหวไม่ค่อยปราดเปรียวสักเท่าไหร่ ไม่งั้นคงไม่เสียเปรียบคนพวกนี้แน่’
อู๋ฝานซ่อนตัวในเงามืดรับชมการต่อสู้ ในใจก็ครุ่นคิดพลางแสดงความเห็นไปด้วย
ระหว่างทางกลับก่อนหน้านี้ อู๋ฝานตระหนักได้ว่าใกล้ ๆ มีผู้ฝึกตนกำลังต่อสู้กันอยู่ ดังนั้นจึงเกิดความสนใจคิดอยากมารับชม ส่วนหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็รู้ได้เช่นเดียวกัน ทว่าเธอไม่ได้สนใจเรื่องราวเหล่านี้ จึงไม่ร่วมทางมาดูเหมือนดังชายหนุ่ม หลังบอกให้ระวังตัวแล้ว เธอจึงลากถังอวี่เฟยกลับโรงแรมไป
ส่วนอู๋ฝานตอนนี้คือผู้ชมที่บังเอิญผ่านทางมาจึงแวะเวียนมาดู
เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังตัวคนเดียว ขณะนี้ก็ยังเผชิญสถานการณ์เสียเปรียบ
เพียงแต่อู๋ฝานไม่มีเจตนาเข้าไปแสดงตัวเป็นฮีโร่ผดุงธรรม เขาแค่แวะมารับชมเรื่องสนุกอย่างการต่อสู้กันภายในของเหล่าผู้ฝึกตน ไม่ได้จะเข้าไปแทรกแซงเรื่องราวของผู้อื่น
“ตึง!”
ขณะอู๋ฝานกำลังรับชมอยู่ ผู้หญิงคนดังกล่าวที่มีเพียงสองมือย่อมไม่อาจเอาชนะกลุ่มคนที่ปิดล้อมไว้ได้ ทำให้เพลี่ยงพล้ำถูกเตะใส่หน้าท้อง ร่างจึงกระเด็นลอยลงมากองกับพื้นอย่างรุนแรง และบริเวณที่ลงมาล้มอยู่นั้น ก็บังเอิญเป็นหัวมุมที่ชายหนุ่มกำลังซ่อนตัวอยู่
ฝ่ายหญิงไม่มีความคิดท้อถอยหรือยอมแพ้ แม้โดนเล่นงานอย่างรุนแรง ทั้งยังบาดเจ็บอยู่แต่เดิม เธอก็ยังพยายามจะดิ้นรนลุกขึ้นเพื่อต่อต้านอย่างถึงที่สุด
เพียงแต่อาการบาดเจ็บที่ได้รับกลับหนักหนาจนเกินไป หลังพยายามดิ้นรนอยู่สองสามครั้งก็พบว่าไม่อาจลุกขึ้นได้ และในช่วงที่ดิ้นรนอยู่นั้นเอง สายตาก็บังเอิญไปเห็นอู๋ฝานที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด
ทันทีที่สายตาของคนทั้งสองสบกันโดยบังเอิญ ต่างฝ่ายต่างชะงัก ฝ่ายหญิงไม่คิดว่าใกล้ ๆ นี้จะมีผู้แอบมารับชม ส่วนอู๋ฝานก็ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะสายตาดีขนาดเห็นตนเอง
มันจึงเกิดเป็นสถานการณ์ชวนลำบากใจขึ้นมา
ทว่าหลังสบตา สายตาของหญิงสาวก็ผ่านเลยไป เธอยังพยายามดิ้นรนลุกขึ้น หาได้เรียกร้องความช่วยเหลือใด ๆ จากอู๋ฝาน ทั้งยังไม่เปิดโปงชายหนุ่มที่ซ่อนตัวรับชมเรื่องราว
เมื่อเห็นดังนั้นอู๋ฝานจึงถอนหายใจโล่งอก อีกฝ่ายไม่ต้องการลากเขาไปข้องเกี่ยว และชายหนุ่มเองก็ไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยอยู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงถอยออกไปอีกประมาณหนึ่งอย่างเงียบ ๆ เพื่อรับชมเรื่องราวต่อ
“ฮ่า ฮ่า สู้จนตัวตายงั้นเหรอ เป้ยอวี่ฉวน วันนี้เธอหนีไม่รอดแน่!”
“ศิษย์สำนักในของเจ้าหอคันธะสงัด ในที่สุดก็ตกอยู่ในกำมือของพวกเรา!”
“ฉันเคยลิ้มลองผู้หญิงมามากก็จริง แต่ยังไม่เคยได้ลิ้มรสผู้หญิงจากหอคันธะสงัดเลย วันนี้ได้มีโอกาสลิ้มลองสักที ขอฉันก่อนก็แล้วกัน”
กลุ่มคนปิดล้อมหญิงสาวพลางเอ่ยอย่างสนุกปาก ทั้งที่ได้เปรียบอีกฝ่ายถึงขนาดสามารถสังหารให้ตายได้ แต่กลับคิดทรมานเหยียดหยามหมิ่นเกียรติของอีกฝ่าย
อู๋ฝานที่ได้ฟังจึงขมวดคิ้ว เขาคิดว่ามันเป็นแค่การต่อสู้ทั่วไป เป็นเพียงการประมือจากการกระทบกระทั่งเล็กน้อยหรืออะไรทำนองนั้น ทำให้แวะเวียนมารับชมด้วยความนึกสนุก แต่แล้วตอนนี้เรื่องราวกลับไม่ใช่ที่คิดเอาไว้แล้ว
“ถ้าพวกแกมีความสามารถก็ฆ่าฉันสิ!” ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับอย่างดุร้าย
“ฆ่าเธอมันไม่ง่ายเกินไปรึไง? ถ้าปรนเปรอพวกเราได้ดี ไว้ฉันจะทำให้เจ็บถึงทรวงเอง ฮ่า ฮ่า!”
“อย่าแม้แต่จะคิด! พวกแกเล่นงานศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักของฉัน สังหารท่านอาจารย์ พวกแกมันเลวชั่วยิ่งกว่าเดรัจฉาน! ฉันขอสาปแช่งตัวเองที่ไร้ความสามารถไม่อาจปกป้องศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักและล้างแค้นให้ท่านอาจารย์ได้ เมื่อไหร่ที่ฉันตาย เมื่อนั้นฉันจะขอเป็นภูตผีมาหลอกหลอนพวกแก!” หญิงสาวตอบกลับมา
“กลัวแล้วจ้า กลัวแทบตายแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
“ศิษย์พี่ศิษย์น้องของเธอก็ของดี น่าเสียดายที่ไม่ตกถึงมือให้พวกเราได้ลิ้มลอง แต่วันนี้ฟ้ามีตาเปิดโอกาสให้ได้ลิ้มลองแล้ว และยังงดงามกว่าพี่น้องคนอื่นของเธอซะด้วย นับเป็นวันที่ดีจริง ๆ”
เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนไม่สะทกสะท้านต่อคำขู่อาฆาตของหญิงสาวแม้แต่น้อย
“ฉันขอตายที่นี่ อย่าคิดว่าจะแตะต้องตัวฉันได้!” จบคำ หญิงสาวจึงเงื้อกระบี่ยาวขึ้นมาเตรียมเชือดคอตัวเอง เธอรู้ดีว่าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไปจะเกิดเรื่องใดขึ้น เธอไม่อาจสู้ต่อได้ ทั้งยังไม่อาจหลบหนี แทนที่จะมีชีวิตต่อโดยถูกเหยียดหยามความเป็นมนุษย์ถึงขนาดนั้น เธอยอมฆ่าตัวตายเพื่อหนีความอัปยศซะยังดีกว่า!
เพียงแต่กระบี่ยาวที่เพียงเงื้อขึ้นก็ถูกเท้าของหนึ่งในกลุ่มคนที่ปิดล้อมเตะกระเด็น เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่คิดปล่อยให้เธอมีโอกาสฆ่าตัวตาย …อย่างน้อยก็ในตอนนี้
“อยากตายเหรอ? ไม่ง่ายขนาดนั้น!”
กลุ่มคนที่ปิดล้อมส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันขณะเดินเข้าหา หญิงสาวหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง น้ำตาไหลอาบแก้ม
“บ้าฉิบ ตกใจแทบตาย!”
ขณะกลุ่มคนกำลังจะได้ทำตัวเลวทรามกับหญิงสาว เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นจากหัวมุมของตรอกซอย ก่อนที่พวกเขาจะเห็นร่างของคนผู้หนึ่งทะยานออกมา
“แกเป็นใคร? เสนอหน้ามาทำอะไรที่นี่!” หนึ่งในกลุ่มคนที่ปิดล้อมหญิงสาวตะโกนถาม
“ก็แค่ผู้ชมที่บังเอิญผ่านทางมา แล้วกระบี่ที่พวกแกเตะมานั่นเกือบจะโดนฉัน” อู๋ฝานตอบกลับ
คนที่ปรากฏตัวตอนนี้คืออู๋ฝาน เดิมเขาคิดเพียงแค่ซ่อนตัวรับชมเรื่องราว แต่พอได้เห็นสถานการณ์จึงเกิดลังเลว่าควรจะช่วยหญิงสาวหรือไม่ เพราะอาศัยเพียงแค่บทสนทนาของคนกลุ่มนี้และพฤติกรรมปิดล้อมเล่นงาน มองอย่างไรก็เป็นตัวร้ายในละครหลังข่าว
ทว่าก่อนที่อู๋ฝานจะตัดสินใจว่าควรลงมือหรือไม่ กระบี่เล่มหนึ่งกลับพุ่งเข้ามาหา ทำให้ตอนนั้นเขาไม่อาจคิดอะไรอื่นได้อีกจนต้องแสดงตัว
และกระบี่ที่พุ่งไปนั้น ก็เป็นกระบี่ที่เดิมที่อยู่ในมือของหญิงสาว เพราะถูกเตะกระเด็น และบังเอิญตรงไปหาอู๋ฝาน ซึ่งก็ไม่แน่ชัดว่าคนกลุ่มนี้เตะส่งมาเพราะรู้หรือว่าไม่รู้ว่าที่ตรงนั้นมีคนอยู่
เมื่อเห็นอู๋ฝานมาเพียงคนเดียว ทั้งยังดูเป็นคนธรรมดา กลุ่มคนที่ปิดล้อมหญิงสาวถึงกับคลายความระมัดระวังโดยไม่รู้ตัว “ไสหัวไป ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของแก ถ้ายังไม่อยากมีปัญหาก็รีบไปให้พ้นได้แล้ว!”
ส่วนหญิงสาวนั้น เธอยังคงหลับตาด้วยความสิ้นหวัง จากออร่าที่แผ่ออกมาก็พอทราบได้ว่าเป็นความสิ้นหวังแบบไร้ซึ่งความหวัง ก่อนหน้านี้เธอเห็นอู๋ฝานแล้ว แต่อีกฝ่ายมีแค่คนเดียว ดังนั้นไม่น่าจะสามารถช่วยเธอให้รอดพ้นไปได้ ต่อให้ตอนนี้อีกฝ่ายแสดงตัวออกมา เธอก็ไม่คิดจะฝากความหวังเอาไว้แม้แต่น้อย
“ฉันไสหัวไปก็ได้ แต่ขอฉันพาเธอไปด้วยได้ไหม?” อู๋ฝานชี้ไปทางผู้หญิงคนนั้น
“หา? ไอ้หนู แกอยากตายรึไง?!” กลุ่มคนเดือดดาลกันขึ้นมา เพราะคำขอของอู๋ฝานเป็นการหยามหน้าของพวกเขา ประหนึ่งกำลังถูกหยอกล้อก็ไม่ปาน
“อยากตายเหรอ? ไม่ใช่แบบนั้น นี่กำลังเจรจาอยู่ไง” อู๋ฝานตอบกลับ
“แล้วถ้าพวกเราไม่ตกลง?”
“ไม่ตกลง? งั้นฉันแค่ใช้กำลังพาตัวเธอไปก็แล้วกัน” อู๋ฝานหุบยิ้ม พร้อมเอ่ยด้วยท่าทีเย็นยะเยือก
ตอนนี้เองที่กลุ่มคนตระหนักว่าออร่าที่ปล่อยออกมาจากตัวอู๋ฝานไม่ใช่ของคนธรรมดา แต่เป็นผู้ฝึกตนเหมือนดังพวกเขา!
“ไอ้หนูนี่คิดช่วยเป้ยอวี่ฉวน ฆ่ามัน!” กลุ่มคนตะโกนพร้อมบุกทะยานหมายสังหารอู๋ฝาน
“ทำไมวันนี้เจอแต่เรื่องวุ่นวายกันนะ?” อู๋ฝานบ่นพึมพำขณะเคลื่อนตัวเข้าหากลุ่มคน