บทที่ 301 หนังสือจะตีพิมพ์แล้ว

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 301 หนังสือจะตีพิมพ์แล้ว

บทที่ 301 หนังสือจะตีพิมพ์แล้ว

อาหารเช้าที่หลากหลายดึงดูดคนจำนวนมาก และลูกค้าที่มากินข้าวก็มากขึ้นเรื่อย ๆ

โดยเฉพาะในย่านนี้ที่เจริญรุ่งเรืองมาก มีทั้งนักศึกษาและคนงาน

ทุกเช้าที่เสี่ยวเถียนไปโรงเรียน เธอจะเห็นย่ากับหลีอวี๋เหนียงยุ่งอยู่หน้าแผงขายของ

และยังมีพวกลูกค้ากำลังพูดคุยกันสนุกสนานอยู่บนม้านั่ง พวกเขารอกินอาหารเช้ากัน

มีผู้คนหลายคนชื่นชมฝีมือของคุณย่าซู เธอรู้สึกภูมิใจมากและเขียนจดหมายหาลูกสาวเพื่อเล่าเรื่องนี้

พอเห็นย่าเป็นแบบนี้ เสี่ยวเถียนก็อดหัวเราะไม่ได้ อย่างที่ว่าคนแก่เหมือนเด็กเลย

หลีอวี๋เหนียงเป็นคนที่อดทนต่อความยากลำบากและตั้งใจทำงาน ตอนแรก ๆ เธอไม่ค่อยพูดเท่าไร แต่พอได้รู้จักคุณย่าซู เธอก็เริ่มพูดเรื่องตัวเองในตอนนั้นมากขึ้น

ตอนนั้นเองที่คุณย่าซูตระหนักว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นภรรยาของครอบครัวเศรษฐี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภรรยาที่ไม่เป็นที่โปรดปราน

“ในเมื่อเขาปฏิบัติกับเธอแบบนั้น แล้วทำไมหลายปีมานี้ถึงคอยดูแลเขาล่ะ?” พอคิดขึ้นมาได้คุณย่าซูก็รู้สึกไม่มีเหตุผล

สามีที่ลุ่มหลงภรรยาน้อย จะมีไปทำไม? เขาไม่มีทางมีความสุขแน่ ความโชคร้ายจะติดตามเขาไป

“ตอนนั้นที่แต่งงานกับเขา แม่ฉันบอกว่าให้เคารพเขาไปตลอดชีวิต ฉันยังจำประโยคนี้ได้อยู่เลย” หลีอวี๋เหนียงกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

“หลังจากนั้นเขาก็แต่งหญิงคนนั้นเข้าบ้านมา ฉันอึดอัดใจนัก ต้องเห็นเขาดูแลประคบประหงม หัวใจฉันเจ็บปวดมาก”

“แต่มนุษย์เป็นสิ่งที่อดทนเก่งนะ ปีแล้วปีเล่าฉันยังก็ทำแบบนี้อยู่ มองพวกเขามีลูก ส่วนฉันก็ใช้ชีวิตแบบสันโดษเหมือนพระไปตลอดชีวิต”

แม้ว่าหลีอวี๋เหนียงจะพูดอย่างใจเย็น แต่คุณย่าซูก็ได้ยินความเศร้าจากคำพูดเพียงไม่กี่คำของเธอ

“ที่จริงฉันก็ไปหอพระจริง ๆ ด้วยนะ พี่คงไม่รู้หรอกว่าหลายปีที่ใช้ชีวิตที่นั่นลำบากมากเลย”

หลีอวี๋เหนียงไม่ได้บอกว่าทำไมมันถึงลำบาก แต่คุณย่าซูก็เดาได้

คงจะแปลกหากภรรยาหลวงมีชีวิตที่ดีภายใต้เงื้อมมือของภรรยาน้อย

“จากนั้นมาลูกของพวกเขาก็แต่งงานออกเรือน แต่งสะใภ้เข้าบ้าน ส่วนฉันก็ยอมแพ้ ใครจะรู้ล่ะว่าฉันเจอเรื่องแบบนี้มา ส่วนผู้หญิงคนนั้นเอาเด็กมาขีดเส้นแบ่ง อันที่จริงต้องบอกว่าเขาโดนแย่งไปต่างหาก”

“ใคร ๆ ก็รู้ว่าต้องขีดเส้นแบ่ง แล้วทำไมเธอยังรั้นอยู่ล่ะ? เลยต้องทุกข์ทนเลยเนี่ย!”

“จะทุกข์หรืออะไรก็ตาม แต่ฉันทนได้จริง ๆ นะพี่ ฉันจะไม่โกหกพี่หรอก แล้วหลังจากนั้นหลายปี ฉันก็ใช้ชีวิตอย่างสบายใจที่สุดแล้วค่ะ!”

ต่อให้ไม่มีอะไรกิน แต่สามีมีเธอคนเดียว ไม่มีหญิงอื่นมาคอยแย่งชิงแค่นี้ก็สบายใจเหลือเกิน

คุณย่าซูมองไปหลีอวี๋เหนียงที่กำลังยิ้มอย่างอ่อนโยน และไม่รู้จะพูดอะไร

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ถอนหายใจ

ช่างเถอะ เธอไม่จำเป็นต้องใส่ใจชีวิตคนอื่นหรอก

หลีอวี๋เหนียงทำงานที่บ้านซู ส่วนถานจื่อสือก็มากับเธอเป็นครั้งคราวเพื่อช่วยทำงาน

แต่ถานจื่อสือไม่เคยทำงานมาก่อน เลยเชื่อใจไม่ได้เลย และทุกครั้งที่เขามา คุณย่าซูจะให้เขานั่งดูอยู่ข้าง ๆ แทน

กระทั่งถึงเที่ยง สองสามีภรรยากลับไป คุณย่าซูก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

ชีวิตดำเนินไปอย่างราบรื่น ฤดูใบไม้ร่วงเปลี่ยนผันเป็นฤดูใบไม้ผลิ และในชั่วพริบตาก็เริ่มปีการศึกษาใหม่

ปีนี้เสี่ยวซื่อและเสี่ยวอู่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย

โรงเรียนตั้งความหวังไว้กับพวกเขาสูงเช่นกัน

ปีที่แล้วไม่มีเด็กบ้านซูไปสอบ โรงเรียนเราก็เลยไม่มีนักศึกษาที่เก่งเป็นพิเศษ ครูใหญ่กัวจึงรู้สึกผิดหวังมาก

หลายปีแล้วนับตั้งแต่ที่เด็กหนุ่มทั้งสองลงทะเบียนสมัคร ครูใหญ่กัวทำได้แค่เทิดทูนเด็กทั้งสองราวพระเจ้า

เพราะพวกเขามีพี่ชายที่แสนโดดเด่น เสี่ยวซื่อและเสี่ยวอู่เลยเครียดมากเพราะกลัวสอบได้ไม่ดี

“พี่สี่ พี่ห้า พี่ไม่ต้องทำเหมือนว่ามันเป็นหน้าที่หรอกนะคะ พี่ได้เรียนในสิ่งที่เรียนแล้ว และไม่เกร็งตอนสอบก็สอบผ่านแน่นอน”

เสี่ยวเถียนเห็นพี่ชายทั้งสองกดดัน จึงรีบเอ่ยปลอบโยน

ฉือเก๋อยิ้ม “เสี่ยวเถียนพูดถูก พวกเธอมีผลการเรียนที่ดี ถ้าสอบได้ตามปกติ ไม่ต้องพูดถึงอันดับหนึ่งหรือสองในจังหวัดเลย ติดห้าอันดับแรกด้วยซ้ำ”

“พี่สี่ พี่ห้า ย่าบอกว่าถ้าพวกพี่สอบได้ จะให้หนูไปส่งแหละ” เสี่ยวเถียนกล่าวอย่างร่าเริง

ให้น้องเล็กไปส่ง?

ไม่ว่าสองพี่น้องจะได้ยินมาอย่างไร แต่รู้สึกว่ามันไม่ค่อยถูกนะ

พวกเขาเป็นชายชาตรี จะให้เด็กผู้หญิงตัวคนเดียวไปส่งเนี่ยนะ? ตลกหรือเปล่า?

“เสี่ยวเถียน อันที่จริงพวกพี่ไปเองได้นะ!” เสี่ยวอู่พูดเสียงต่ำ

“หนูรู้ว่าพวกพี่ไปเองได้ แต่หนูก็อยากไปเมืองหลวงเหมือนกันนะ!” เด็กหญิงพูดด้วยท่าทางน่ารัก

ใช่ว่าน้องเล็กจะอยากไปเมืองหลวงไม่ได้ แต่ไม่ใช่เพิ่งจะพูดว่าไปส่งพวกเขาหรอกหรือ?

“เสี่ยวเถียนอยากไปเมืองหลวงจริงหรือ? ตอนที่ไปต้องไปด้วยกันนะ แล้วขากลับจะทำยังไง?” เสี่ยวซื่อยังคงกังวล

“อาใหญ่บอกว่า วันหยุดฤดูร้อนนี้อาใหญ่กับอาเขยจะไปเมืองหลวงค่ะ ถึงตอนนั้นให้พวกเขารับหนูกลับมาก็ได้” เสี่ยวเถียนคิดคำนวณไว้ดีแล้ว

เธอต้องไปดู เผื่อจะมีโอกาสทำเงินได้บ้าง?

แม้ว่าแผงขายอาหารเช้าของคุณย่าจะทำเงินได้ แต่มันช้าเกินไป

“อากับอาเขยจะเข้าเมืองหลวงหรือ?” เสี่ยวอู่ยังไม่ได้ยินข่าวนี้เลย

“ใช่แล้ว อาเขยจะไปประชุม อาใหญ่จะไปตีพิมพ์หนังสือค่ะ” เสี่ยวเถียนยิ้ม “หนังสือของอาใหญ่จะตีพิมพ์แล้ว หนูต้องไปดูด้วยตัวเองให้ได้!”

เสี่ยวซื่อและเสี่ยวอู่มองหน้ากันด้วยความตกใจ

การที่ญาติในครอบครัวมีอำนาจมากเกินไป อาจไม่ใช่เรื่องดี

พี่ชายทั้งสามก็เป็นนักศึกษาระดับแนวหน้า แถมยังเป็นกลุ่มที่ครูให้ความสนใจด้วย

ยิ่งน้องเล็กไม่ต้องพูดถึงเลย คาดว่าอีกหลายปีที่จะไปสอบต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ได้แน่นอน

ส่วนอาใหญ่ที่ไม่เคยเรียนหนังสือ ตอนนี้มีแนวโน้มว่าหนังสือจะได้รับการตีพิมพ์อีก!

มีแรงกดดันต่อพวกเขามากจริง ๆ

ก่อนที่พี่ชายทั้งสองจะกระจ่าง ปากเล็ก ๆ ของเสี่ยวเถียนก็พูดจ้ออีกครั้ง

“เมื่อไม่กี่วันก่อน คุณปู่คุณย่าบุญธรรมของหนูบอกว่าคิดถึงด้วย พี่เสี่ยวเหมยกับป้าเถาฮวาก็คิดถึง หนูจะไปเยี่ยมให้ได้ค่ะ ไม่งั้นถ้ารอหนูเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็จำหน้าหนูไม่ได้แล้วน่ะสิว่าหน้าตาเป็นยังไง” เสี่ยวเถียนยันศอกบนโต๊ะ มือกุมแก้มแล้วพึมพำ

ถึงบ้านเราจะเป็นคนชนบท แต่หลายปีมานี้พวกเราก็ได้รู้จักคนในเมืองไม่น้อยเลย

รอพวกพี่สอบเสร็จ คุณปู่ฉือและฉืออี้หย่วนก็จะได้กลับไปแล้ว

“เสี่ยวเถียนเป็นเด็กที่ใส่ใจจังนะ” ฉือเก๋อยิ้ม

สหายตู้และภรรยาจำหลานสาวได้ และเด็กคนนี้ก็เขียนจดหมายหาพวกเขาทุกเดือน บางครั้งยังส่งของแห้งไปให้อีกด้วย

ต่อให้เป็นหลานสาวแท้ ๆ ก็ไม่อาจเทียบเคียงกับเสี่ยวเถียนได้เลย