บทที่ 302 ไม่อยากจากไป

บทที่ 302 ไม่อยากจากไป

ก่อนหน้านี้ฉืออี้หย่วนคิดเสมอเลยว่าอยากกลับเมืองหลวงให้ไวที่สุด แต่ในตอนที่เขากำลังจะได้ไป เขากลับเกิดความลังเลขึ้นมา

เพราะทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้เขาทนไม่ได้คือ ซูเสี่ยวเถียน ผู้มอบความอบอุ่นให้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด

ถ้าให้พูดอีกก็คงจะเป็นสมาชิกตระกูลซู

เป็นครอบครัวที่จิตใจดีจริง ๆ

ในยามค่ำคืนดึกสงัด เขาเคยคิดด้วยซ้ำว่า หากไม่มีเสี่ยวเถียนและไม่มีคนตระกูลซู หรือไปอยู่ที่แห่งอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่ เขาจะยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ไหม?

ฉืออี้หย่วนยิ้มอ่อนโยนขณะลูบผมเด็กหญิง ก่อนจะพบว่าผมเธอนุ่มและลื่นมาก

ตอนเราพบกันครั้งแรก ผมของอีกฝ่ายแห้งฟูเป็นสีน้ำตาลเหมือนกับวัชพืช แต่ตอนนี้ผมของเธอเป็นสีดำเข้มแล้ว

ใช่แล้ว เด็กตรงหน้าไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อยในวันนั้นอีกแล้ว แต่เป็นเด็กสาวตัวผอมเพรียว

ฉืออี้หย่วนมองเสี่ยวเถียน

สาวน้อยที่ทั้งงดงามและน่ารักขนาดนี้ พอโตขึ้นก็ไม่รู้ว่าใครจะได้ไป!

พอคิดถึงเรื่องนี้ ฉืออี้หย่วนรู้สึกเศร้าขึ้นมา เขาไม่อยากกลับเมืองหลวง เขาจะทำอย่างไรดี?

แต่ไม่ว่าจะอยากหรือไม่ วันเวลาล่วงเลยผ่านไปวันแล้ววันเล่า

อีกไม่นานก็จะถึงวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว

คุณย่าซูเครียดเหมือนเดิม

แต่เธอได้ฟังคำหลานสาวมาแล้ว และไม่อยากให้ความเครียดของตัวเองส่งผลต่อเด็ก ๆ จึงแสดงออกว่าอารมณ์ดีให้เห็น

ก่อนหน้านี้เสี่ยวซื่อและเสี่ยวอู่เคยเครียด แต่ก่อนหน้าวันสอบหนึ่งวันก็ฉุกคิดได้ว่า

ต่อให้เครียดหรือไม่ อย่างไรเสียก็ต้องสอบอยู่ดี

“พี่สี่ พี่ห้า ไม่เครียดเลยหรือคะ?”

เดิมทีเสี่ยวเถียนนึกคำพูดสร้างความมั่นใจให้พี่ ๆ เป็นกระบุงเลย แต่สุดท้ายมันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดีไม่ใช่หรือ?

“ไม่เครียดแล้ว ถึงเครียดไป พรุ่งนี้พระอาทิตย์ก็ยังขึ้นอยู่ดี และก็ต้องเข้าสอบด้วยเหมือนกัน” เสี่ยวซื่อพูดตรง ๆ

“พี่เคยคิดว่าถ้าสอบเข้าที่อยากเรียนได้ก็จะได้ไปเรียนที่นั่น แต่ถ้าสอบเข้าไม่ได้ก็อาจจะต้องรอเรียนอีกปีแทน แล้วสอบพร้อมกับเสี่ยวลิ่วและเสี่ยวชี”

เสี่ยวอู่พูดตรง ๆ

พวกเขาอายุยังน้อย ต่อให้เรียนซ้ำอีกปีก็ยังอายุน้อยกว่าเด็กคนอื่นอยู่ดี ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบ

พอเสี่ยวเถียนได้ยินคำตอบ เธอก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่พวกพี่คิดจริง ๆ

“พี่สี่ พี่ห้า พี่ต้องเชื่อมั่นในตัวเองนะ เข้านอนไวหน่อย หนูก็จะไปพักด้วยเหมือนกัน!”

ปีนี้เสี่ยวซื่ออายุสิบแปด แต่เสี่ยวอู่เพิ่งอายุสิบเจ็ด

ถ้าพูดเรื่องอายุ พวกเขาสองคนนี้อายุน้อยเกินไปจริง ๆ

เรียนซ้ำอีกปีใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

แต่พี่ ๆ จำเป็นต้องเรียนซ้ำด้วยหรือ?

ส่วนตัวคิดว่าไม่จำเป็นด้วยซ้ำ

เพราะผลการเรียนของพวกเขาดีมากอยู่แล้ว

ถึงนักเรียนที่เข้าสอบในปีนี้จะไม่เหมือนเด็กรุ่นแรก แต่เธอคิดแตกต่างและเชื่อว่าพี่ ๆ จะสอบได้

สามวันต่อมาการสอบก็สิ้นสุดลง

ยังคงเป็นฉือเก๋อที่ประเมินพวกเขา

จากคะแนนที่อีกฝ่ายประเมิน เด็กทั้งสองมีผลการเรียนอันยอดเยี่ยม โดยเฉพาะเสี่ยวอู่

ฉือเก๋อบอกว่าผลการเรียนแบบนี้ การจะเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวงไม่น่ามีปัญหาอะไร

“มหาวิทยาลัยเมืองหลวงมีอะไรน่าสนใจกัน!” เสี่ยวอู่ยิ้ม “ผมอยากไปโรงเรียนเตรียมทหาร!”

จริง ๆ แล้วเสี่ยวอู่อยากเข้าร่วมกองทัพมานานแล้ว แต่เสี่ยวเถียนคอยกระตุ้นให้พวกเขาอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย

พลังของอิทธิพลน่ากลัวมาก พอเวลาผ่านไปเสี่ยวอู่ก็รู้สึกว่าเขาควรจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วย

และต่อมาก็รู้โดยบังเอิญว่าหลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เขายังสมัครเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้

ฉือเก๋อคิดว่าเสี่ยวอู่จะคิดเช่นนี้

สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร?

“เสี่ยวอู่ เธอต้องรู้นะว่าการเป็นทหารมันไม่ง่าย โรงเรียนเตรียมทหารไม่เหมือนโรงเรียนทั่วไป เธอต้องทนทุกข์อีกมากเลยนะ”

เสี่ยวอู่ยิ้มสดใส “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่กลัวลำบาก”

“แล้วเธอตัดสินใจหรือยังว่าจะเข้าที่ไหน?”

ฉือเก๋อไม่ใช่คนยึดติดกับกฎเกณฑ์ เห็นเสี่ยวอู่พูดอย่างยิ่งใหญ่แบบนั้นก็รู้ว่าเขาคิดมาอย่างดีแล้วแน่นอน

“คุณปู่ฉือ ระหว่างมหาวิทยาลัยทหารและการเมือง กับมหาวิทยาลัยป้องกันประเทศ ผมควรเลือกอะไรครับ?”

ต้องบอกว่ายังตัดสินใจไม่ได้เลย เพราะปัญหาอยู่ที่สองแห่งนี้

มหาวิทยาลัยทหารและการเมืองตั้งอยู่ที่เมืองหลวง ถ้าเลือกที่นี่จะได้อยู่กับพวกพี่ ๆ

ดั่งคำกล่าวที่ว่า จะล่าเสือต้องพวกเราเหล่าพี่น้องเท่านั้น และเขารู้สึกว่าการอยู่กับพี่น้องของเขาดีที่สุด

แต่เขาก็ชอบมหาวิทยาลัยป้องกันประเทศเช่นกัน

แล้วต้องเลือกที่ไหน?

รอยยิ้มของฉือเก๋อสดใสขึ้นเรื่อย ๆ

“สองแห่งนี้ดีทั้งคู่เลยนะ ถ้าเป็นฉันก็แนะนำว่าเรื่องมหาวิทยาลัยป้องกันประเทศดีกว่า”

“ทำไมหรือครับ?” เสี่ยวอู่สงสัย

“ฉันรู้ว่าเธออยากเข้าที่นี่ เพราะจะได้อยู่กับพวกพี่ ๆ”

เสี่ยวอู่ถอนหายใจ ผู้เฒ่าฉือก็ยังเป็นผู้เฒ่าฉือ แม้แต่ความคิดของเขาอีกฝ่ายก็ยังรู้

“ปู่พูดถูก ผมมีพี่ชายอีกสามคนที่นู่นด้วย ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพี่สี่ พี่เขาก็น่าจะไปเมืองหลวงด้วย ส่วนอนาคตพวกน้อง ๆ ก็อาจจะได้ไปด้วย ผมไม่อยากแยกอยู่คนเดียว!”

เสี่ยวอู่ยอมรับความคิดที่แท้จริงของตน

“แต่ถ้าเธอเลือกเข้าร่วมกับกองทัพ ก็ต้องเลือกที่จะละทิ้งสิ่งรอบข้างนะ”

นี่เป็นการทดสอบที่แท้จริง

เสี่ยวอู่ยังเด็ก ไม่รู้จะเข้าใจความหมายของการเข้าร่วมกองทัพหรือเปล่า

เสี่ยวอู่เงียบไปครู่หนึ่ง

ฉือเก๋อยิ้ม “ยังมีเวลาอีกสองวันก่อนที่จะกรอกใบสมัคร ลองคิดดูก่อนแล้วกัน”

เสี่ยวอู่พยักหน้าตอบตกลง

หลังจากที่คุณย่าซูรู้ว่าหลานชายอยากเข้าโรงเรียนทหาร เธอจึงไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

ตอนซื่อเลี่ยงนั้นมันไม่มีทางเลือก แต่เสี่ยวอู่แตกต่าง เด็กคนนี้มีผลการเรียนดี เขาสามารถเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีและมีหน้าที่การงานดี ๆ ในอนาคตได้

คุณย่าซูเป็นคนใจกว้าง เธอไม่ได้บังคับหลาน

หลานชายโตแล้ว ไปไหนก็ได้ตามต้องการ

อีกอย่างหลานชายเดินทางไปหลายพันลี้ถึงเมืองหลวงแล้ว หากจะมีสักคนไปทหารก็ไม่เป็นไรหรอก

เสี่ยวเถียนประหลาดใจมากที่พี่ชายมีความคิดเช่นนี้

ที่จริงเธอไม่ค่อยเต็มใจให้พี่ชายเข้าร่วมกองทัพ เพราะเส้นทางนี้มันยากจริง ๆ หากเลือกเดิน

ในยุคที่สงบสุขเช่นนี้ มันไม่ง่ายเลยที่จะมีผลการเรียนแบบนี้ได้ และถ้าผลการเรียนแย่ เส้นทางที่จะต้องเลือกก็แคบลงยิ่งไปอีก

“พี่ตัดสินใจแล้วหรือยังคะ?” เสี่ยวเถียนนั่งเก้าอี้และเอ่ยถาม

“พี่ตัดสินใจดีแล้ว เสี่ยวเถียน เดิมทีพี่คิดจะคอยอยู่ปกป้อง แต่ว่า…”

ถ้าเขาเข้าเลือกเข้ากองทัพ เขาจะปกป้องน้องไม่ได้อีก

เสี่ยวเถียนยิ้ม

“ไม่เป็นไรนะพี่ ทุกคนต้องไปตามทางของตัวเอง อนาคตหนูจะไปไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน!”

คำพูดเสี่ยวเถียนทำให้เสี่ยวอู่ตัดสินใจได้ในที่สุด!

เพราะเขาตัดสินใจสมัครเข้ามหาวิทยาลัยป้องกันประเทศในทันที ฉือเก๋อและฉืออี้หย่วนจึงต้องรออยู่พักหนึ่ง

ไม่ใช่อะไร นี่ก็เพื่อคุ้มครองเสี่ยวเถียนระหว่างไปเมืองหลวง

ส่วนเสี่ยวอู่ เขาเลือกที่จะเป็นทหารและตั้งมั่นพัฒนาตนเอง

พอถึงตอนนั้น ต่อให้ไปทางตอนใต้คนเดียวก็ไปได้

เสี่ยวเถียนต้องมีคนคอยดูแล ระยะทางไปเมืองหลวงไกลมาก ไม่มีใครดูแลเธอ

ตอนที่คุณปู่ฉือเสนอความเห็น เขากลัวจริง ๆ ว่าหลานชายจะคัดค้าน

หลายปีแล้วที่อี้หย่วนอยากจะกลับบ้านมาตลอด

เพื่อให้เสี่ยวซื่อและเสี่ยวอู่ได้ทบทวนบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น พวกเขาจึงเลื่อนเวลาออกไปอีกเดือน…

“เสี่ยวหย่วน ถ้าไม่เห็นด้วยพวกเราเปลี่ยนวันได้นะ!”

ถึงการดูแลลูกหลานคนอื่นจะสำคัญ แต่ในใจเขา หลานชายสำคัญที่สุด

“คุณปู่ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากกลับนะ แต่ผมแค่อยากใช้ชีวิตตามปกติเท่านั้น และตอนนี้เราได้กลับกันแล้ว ไม่สำคัญหรอกว่าจะช้าหรือเร็วกว่านั้น”

แม้แต่ฉือเก๋อก็มองไม่ออกว่าความคิดที่แท้จริงของหลานชายในตอนนี้คืออะไร

ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉืออี้หย่วนตื่นเต้นแค่ไหนในตอนที่ได้ยิน

เดิมทีก็เสียใจที่ต้องไปจากเสี่ยวเถียน แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว เพราะอีกสักพักก็ต้องไปด้วยกันอยู่ดี