ภาค-2-ตำนานเฟิงอี้ ตอนที่ 14 อนาคตของจิ่นซิ่ว (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

หลี่จื้อนับเป็นคนฉลาดคนหนึ่งจึงเข้าใจกระจ่างโดยพลัน “ที่แท้ทุกสิ่งล้วนอยู่ในการควบคุมของท่านนานแล้ว ส่วนข้ากลับกังวลเกินเหตุ ท่านเจียง คนที่ท่านว่าถูกจัดแจงอย่างเหมาะสมแล้วหรือไม่”

ข้ากล่าวเนิบช้า “องค์ชายโปรดจำไว้ให้ดีว่าพวกเราไม่ได้จัดแจงผู้ใด ยามนี้องค์ชายนับเป็นขุนนาง รัชทายาทนับเป็นเจ้า ขุนนางจะส่งสายลับไปอยู่ข้างกายรัชทายาทได้อย่างไร”

หลี่จื้อฉีกยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจ “ท่านเจียง ในวันปีใหม่เสด็จพ่อจะจัดงานเลี้ยงฉลองกับเหล่าขุนนาง ท่านเป็นซือหม่าของจวนแม่ทัพเทียนเช่อ กินตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ สามารถเข้าเฝ้าจักรพรรดิได้แล้ว อีกทั้งเสด็จพ่อยังตรัสด้วยว่าต้องการพบท่านเสียหน่อย ไม่ทราบว่าท่านคิดเห็นเช่นไร”

เดิมทีข้าไม่สนใจนัก แต่ข้าคิดใช้โอกาสนี้พบหน้ารัชทายาทและเหล่าขุนนางดูเสียหน่อย นี่นับว่ามีประโยชน์ต่อข้าเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าจึงพยักหน้ารับ “กระหม่อมเองก็อยากพบขุนนางอัจฉริยะในราชสำนักเช่นกัน”

ณ บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ในตัวเมือง ภายในห้องลับมีชายวัยกลางคนผู้มีสีหน้ามืดครึ้มอยู่สองคน หนึ่งนั่งหนึ่งนอน ท่าทีหดหู่ยิ่ง ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่มองไปยังตะเกียงน้ำมันที่ส่องแสงริบหรี่ จู่ๆ ก็กล่าวขึ้นว่า “นายท่านกง สหายของท่านผู้นี้พึ่งพาได้จริงหรือ”

ชายวัยกลางคนที่กำลังทอดตัวนอนแย้มยิ้มตอบ “ท่านหลิว ท่านวางใจเถิด คนแซ่หานเคยเป็นสายลับของกองทัพ ลอบสังหารคนดั่งผักปลา แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงร่ำรวยขึ้นมาได้ แต่ท่านลองคิดดูเถิด หากไม่มีข้อมูลข่าวกรองของเขา หากไม่มีห้องลับแห่งนี้ พวกเราคงเข้าไปอยู่ในคุกของต้ายงแล้ว”

ชายวัยกลางคนที่อยู่ในท่านั่งทอดถอนใจออกมา “แม้จะกล่าวเช่นนี้แต่ลองคิดดูเถิด ตอนนี้พวกเราอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม ส่วนเขากลับมั่งคั่งร่ำรวย เขาแสดงความเป็นมิตรเช่นนี้ ทำให้ข้ารู้สึกวางใจไม่ลงจริงๆ”

นายท่านกงคิดกล่าวคัดค้าน ทว่าประตูห้องลับกลับถูกเปิดออกเสียก่อนพร้อมเสียงกระจ่างใสเสียงหนึ่งที่ดังแว่วมา “ผู้บัญชาการหลิว ท่านมีใจคิดสงสัยไม่เบาเลยทีเดียว ยามนี้ผู้แซ่หานร่ำรวยแล้ว หากมิใช่ว่าเห็นแก่ที่เป็นประชาชนแคว้นสู่ดุจเดียวกัน ผู้ใดจะวุ่นวายเรื่องของพวกท่านให้มากความเล่า ทุกท่านทราบหรือไม่ว่าหากเหล่าเจ้านายทราบเรื่องนี้ ชีวิตของผู้แซ่หานคงหามีไม่ เกรงว่าคงถูกถลกหนังเป็นแน่แท้”

ผู้บัญชาการหลิวรีบลุกขึ้นยืน “เป็นผู้น้องกล่าวผิดไปแล้ว ขออภัยด้วยขอรับ ไม่ทราบว่านายท่านของสหายหานคือผู้ใด”

หานอู๋จี้ยิ้ม “นี่กลับไม่ใช่ความลับอันใด ตอนนี้ผู้แซ่หานเป็นผู้ดูแลของหอกลไกสวรรค์ ท่านเจ้าหอของพวกเรามิได้มีงานอดิเรกอื่นใด เพียงชมชอบเงินทองทรัพย์สมบัติเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นที่ใดหรือผู้ใด ขอเพียงทำเงินได้ก็จะเป็นร่มเงาให้พวกเราแล้ว”

ผู้บัญชาการหลิวดวงตาเปล่งประกาย “ที่แท้ก็เป็นหอกลไกสวรรค์นี่เอง ผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าหอกลไกสวรรค์มีอิทธิพลในหนานฉู่มาก เกรงว่าพ่อค้าใหญ่ของหนานฉู่คงเป็นสมาชิกของสมาคมกลไกสวรรค์ถึงสามสี่ส่วนแล้วกระมัง คิดไม่ถึงว่าตำแหน่งของสหายหานในหอกลไกสวรรค์จะน่านับถือเพียงนี้ เลื่อมใสจริงๆ เลื่อมใส”

หานอู๋จี้กล่าวอย่างเรียบเฉย “ไม่มีอะไรมากหรอก หากกล่าวตามจริงแล้ว หอกลไกสวรรค์มีความลับมากมาย แม้ข้าจะเป็นผู้ดูแล แต่จริงๆ ก็เป็นเพียงคนคอยออกหน้าจัดการธุระเท่านั้น อำนาจที่แท้จริงมิได้อยู่ในมือข้า แต่เรื่องของเงินทอง ผู้น้อยยังจัดการได้บ้าง ความจริงผู้น้องมีใจคิดอยากทำกิจการร่วมกับกลุ่มพันธมิตรของท่านเสียหน่อย”

ผู้บัญชาการหลิวมีสีหน้าหวั่นไหว “สหายหานโปรดอธิบายด้วย ขอเพียงมีประโยชน์ต่อกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วของพวกเรา ผู้น้อยจะกลับไปประสานงานอย่างเต็มกำลังแน่นอน”

หานอู๋จี้กล่าวด้วยสีหน้าลึกลับ “หากกลุ่มพันธมิตรของท่านคิดก่อกบฏ เกรงว่าคงต้องการอาวุธและเสบียงเป็นจำนวนมาก หากผู้น้อยช่วยเหลือได้ พวกท่านจะว่าอย่างไร”

ผู้บัญชาการหลิวกล่าวด้วยท่าทีตื่นตะลึง “อะไรนะ ท่านช่วยเหลือได้จริงหรือ หากเป็นเช่นนี้หัวหน้ากลุ่มพันธมิตรของพวกเราจะต้องรู้สึกขอบคุณมากเป็นแน่ หากพวกเราทำการใหญ่สำเร็จย่อมเป็นผลดีต่ออนาคตของสหายหานด้วยเช่นกัน”

หานอู๋จี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านเองก็ทราบถึงอิทธิพลของหอกลไกสวรรค์ในหนานฉู่ดี ไม่นานมานี้ขุนนางของหนานฉู่แต่งตั้งองค์ชายสามจ้าวหล่งเป็นเจ้าแคว้นแล้ว ต้นปีหน้าจะมีพิธีสืบราชบัลลังก์ ตอนนี้หลายอย่างในหนานฉู่ถูกระงับไว้เพื่อรอการดำเนินการใหม่อีกครั้ง กองทัพแห่งต้ายงสยบหนานฉู่มาเกือบครึ่งปีแล้ว ทั้งยังปล้นสะดมเจี้ยนเย่ไปมาก หากกล่าวให้ไม่น่าฟังเสียหน่อยก็คือก็คือกองกำลังของแว่นแคว้นถูกจัดการจนว่างเปล่า อาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพก็ถูกทำลายจนอนาถ ไร้กำลังจะหามาทดแทน ทว่าจะอย่างไรหนานฉู่ก็เป็นแดนอู่ข้าวอู่น้ำ กำลังการผลิตเสบียงในปีนี้นับว่าไม่เลวเลย ตอนนี้หนานฉู่ขาดแคลนเงินทอง ส่วนต้ายงแม้จะชนะสงครามและได้รับสินสงครามไปมากมาย ทว่าปีนี้ต้ายงแห้งแล้งจึงขาดแคลนเสบียง หากพวกท่านใจกล้าคิดเดินผ่านทางนี้ก็ให้ขโมยม้าและอาวุธไปจากต้ายง จากนั้นก็นำไปแลกเปลี่ยนกับเสบียงและผ้าฝ้ายที่หนานฉู่ แล้วนำกลับมาขายให้ต้ายงอีกครั้ง เช่นนี้แล้วไม่เพียงแต่จะเติมเต็มความต้องการของพวกท่านได้ ทั้งยังจะทำเงินได้มากอีกด้วย”

ผู้บัญชาการหลิวขมวดคิ้วมุ่น “เกรงว่านี่คงไม่ง่ายนัก ตอนนี้กองกำลังของพวกเราที่อยู่ในต้ายงเพิ่งได้รับความสูญเสียหนัก เกรงว่าคงไม่มีความสามารถเพียงนั้น”

หานอู๋จี้ยิ้ม “ผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าองค์รัชทายาทกระทำเช่นนี้ให้ยงอ๋องดู การค้านี้จะทำกำไรได้มากถึงสิบยี่สิบเท่า ขอเพียงทุกท่านส่งคนไปแสดงความจริงใจต่อรัชทายาท กล่าวว่ายินยอมรับใช้รัชทายาท และขอให้รัชทายาทเปิดทางปล่อยพวกท่านไปเป็นพอ หากรัชทายาทไม่คิดสืบสาวราวเรื่อง ผู้ใดจะจับจ้องพวกท่านจนไม่ยอมปล่อยไปอีกเล่า ตอนนี้กรมคลังเป็นใต้หล้าของรัชทายาท งานพลาธิการของกองทัพแห่งต้ายงก็เรียกได้ว่าอยู่ในการควบคุมของรัชทายาท ขอเพียงรัชทายาทยินยอม กิจการนี้ก็นับว่าง่ายยิ่งกว่าง่าย เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เพียงให้รัชทายาทลงมือกับกรมคลังเล็กน้อยมิใช่ว่าจะอุดรอยรั่วได้แล้วหรือ ถึงตอนนั้นเงินนับล้านตำลึงจะเข้ากระเป๋ารัชทายาท เขาจะไม่พอใจได้อย่างไร”

ผู้บัญชาการหลิวขมวดคิ้วพูด “ต้ายงเป็นของเขา เขายังจะให้ความสำคัญกับเงินเพียงเท่านี้อีกหรือ”

หานอู๋จี้แค่นเสียงหัวเราะออกมา “ผู้ใดไม่ทราบบ้างว่ารัชทายาทในตอนนี้เหนือมีฝ่าบาทจับจ้อง ล่างมียงอ๋องจ้องตะครุบดุจพญาเสือ ท่านอย่าได้เห็นแก่ศักดิ์ฐานะอันสูงศักดิ์ของเขามากเกินไปนัก เกรงว่าเขาคงมิได้เสวยสุขไปมากกว่าพวกเราเหล่าพ่อค้าเลยกระมัง อีกอย่างเขาจะไม่คิดชุบเลี้ยงเหล่าทหารเดนตายและนักกลยุทธ์เป็นของตนเองเลยหรือไร เรื่องที่เขาต้องใช้เงินมีมากมายเหลือแสน ขอกล่าวตามตรง เรื่องในหนานฉู่ พวกเราย่อมมีวิธีจัดการ แต่เรื่องในต้ายงก็ต้องดูทางพวกท่านแล้ว อย่าปิดบังข้าเลย แม้คราวนี้จะพัวพันไปถึงสมาชิกจำนวนหนึ่ง แต่รัชทายาทก็มิได้ลงมือโหดเหี้ยม บรรพตใหญ่ที่แท้จริงของพวกท่านยังปลอดภัยไร้อันตรายกระมัง”

ผู้บัญชาการหลิวพยักหน้าหนักแน่น “ท่านรอก่อน ให้ข้ากลับไปหารือกับหัวหน้าพันธมิตรเสียก่อน แม้ผู้แซ่หลิวจะมีตำแหน่งไม่สูง แต่ท่านหัวหน้าพันธมิตรเชื่อใจข้ายิ่งนัก แล้วข้าจะติดต่อท่านได้อย่างไร”

หานอู๋จี้กล่าวตอบ “ข้าจะบอกวิธีการติดต่อให้ท่านเอง จำไว้ว่าประเด็นสำคัญของพวกเราคือความร่ำรวย ไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใหญ่ระดับแว่นแคว้นอันใด พวกท่านจะก่อกบฏก็ดี จะกู้ชาติก็ดี ขอเพียงไม่ขัดผลประโยชน์ของพวกเรา ไม่ว่าอะไรก็คุยกันง่าย”

ผู้บัญชาการหลิวเอ่ยตอบ “สหายหานวางใจเถิด พวกเราไม่ใช่คนโง่เขลา เรื่องเงินทองทรัพย์สมบัติมีผู้ใดไม่ชอบบ้าง ยิ่งไปกว่านั้น หากคิดเดินเส้นทางสายนี้ก็นับว่ามีประโยชน์ต่อพวกเราอย่างใหญ่หลวง”

ทั้งสองสบตากันพร้อมรอยยิ้ม เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วห้องลับ

ข้ากำลังนั่งอยู่บนตั่งนุ่มในสวนเหมันต์ของจวนยงอ๋องพลางอ่านม้วนตำราที่อยู่ในมือ เนื่องจากข้าคิดว่าห้องตำราลับของจวนอ๋องเข้มงวดเกินไป ระยะนี้จึงเอาแต่หมกตัวอยู่ที่นี่ทุกวัน คอยวางแผนคิดกลยุทธ์อยู่ในสวนเหมันต์เท่านั้น เสี่ยวซุ่นจื่อเห็นข้าเหม่อลอยจึงกล่าวขึ้นว่า “คุณชาย ท่านให้หอกลไกสวรรค์เข้าแทรกแซงเช่นนี้จะดีหรือ”

เมื่อข้าได้ยินคำพูดของเขาก็กล่าวไปอย่างราบเรียบ “ช่วยไม่ได้ จะอย่างไรในอนาคตเรื่องนี้ก็ต้องเกิดปัญหาแน่นอน หากคนของยงอ๋องลงมือ นอกจากจะปิดบังหูตาของรัชทายาทไม่ได้แล้ว ยังจะมีความผิดใหญ่หลวงอีกด้วย เจ้าว่ายงอ๋องจะอนุญาตให้ขโมยและค้าขายม้าศึกและอาวุธของกองทัพหรือ”

เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวอย่างกังวล “คุณชายจัดแจงให้หอกลไกสวรรค์ติดต่อกับพ่อค้าหนานฉู่ จัดแจงให้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วติดต่อกับรัชทายาทแห่งต้ายง จากนั้นก็ลักลอบขนเสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าในอนาคตหอกลไกสวรรค์คงไม่อาจออกหน้าได้แล้ว นอกจากนี้ เกรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายและหอกลไกสวรรค์คงไม่อาจปิดบังยงอ๋องได้อีกต่อไป เช่นนั้นญาติของท่านผู้นั้นจะถูกลากเข้ามาพัวพันหรือไม่”

ข้าหัวเราะเบาๆ “เจ้าจะกลัวอะไรกันเล่า หากกล่าวถึงด้านชื่อเสียง หอกลไกสวรรค์ยังขายหุ้นส่วนของตนเองทั้งหมดก่อนเกิดเรื่องราวได้ ในจุดนี้ข้าให้พวกเขาไปจัดการโดยการแบ่งหุ้นให้คนของค่ายลับแล้ว ก่อนสัญญาของพวกเขาและข้าสิ้นสุดลง กำไรส่วนนี้ยังคงเป็นของข้า เมื่อสัญญาสิ้นสุดลงแล้ว ทรัพย์สินเหล่านี้ย่อมเป็นของพวกเขาเอง ซึ่งจะทำให้คำสัญญาที่ข้าเคยให้ไว้กับพวกเขาเป็นจริงได้ด้วย อย่างไรเสียแรกเริ่มเดิมทีหอกลไกสวรรค์ก็เป็นเพียงเครื่องมือในการหาเงินเท่านั้น หลังจากเรื่องในคราวนี้ หลังหักส่วนของเหล่าศิษย์ในค่ายลับแล้ว ทรัพย์สินทั้งหมดของข้าก็ยังเหลือมากมายถึงขั้นเศรษฐีร่ำรวย และหอกลไกสวรรค์ก็ไม่จำเป็นต้องมีอยู่อีกต่อไป”

เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มตอบ “ยังเป็นคุณชายที่ชาญฉลาดมากไหวพริบ เพียงแต่เรื่องลักลอบขนเสบียงและอาวุธยุทโธปกรณ์คงไม่อาจปิดบังยงอ๋องได้แน่”

ข้ากล่าวเรียบเฉย “รอให้ยงอ๋องรู้ก่อน ข้าค่อยโน้มน้าวให้เขาอดกลั้น หากไม่มีจุดอ่อนเช่นนี้ พวกเราจะอาศัยอะไรไปทำลายรัชทายาทเล่า”

ข้านั่งยืดขึ้นเพื่อผลักหน้าต่างให้เปิดออก เหม่อมองไปยังท้องฟ้าอันมืดมิดพลางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “กลยุทธ์ที่ข้าเจียงเจ๋อใช้ต้องอาศัยจิตใจอันชั่วช้าของผู้คน หากรัชทายาทไม่มีความเห็นแก่ตัวและคิดทำเพื่อแว่นแคว้นด้วยใจจริง กลยุทธ์นี้ของข้าย่อมไม่บังเกิดผล เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้าจำไว้เถิด เมื่อคนเราอยู่ในตำแหน่งสูง มิใช่สายน้ำที่จะพัดทำลายตัวเรา แต่เป็นจิตใจของตัวเราต่างหากที่จะทำลายเราได้ หากรัชทายาทมากคุณธรรมจริงๆ หากเขามีบุคลิกดังจักรพรรดิแห่งแว่นแคว้น กลยุทธ์ของข้าย่อมไม่มีประโยชน์อย่างสิ้นเชิง หากเขาเสียบัลลังก์ไปเพราะเหตุนี้ก็มิใช่ข้าที่ใจคอโหดเหี้ยม แต่เป็นเขาที่ไม่มีวาสนาได้เป็นโอรสแห่งสวรรค์ต่างหาก”

ตอนต่อไป