ต้ายง ปีเจี่ยซวี[1]รัชศกเวยอู่ปีที่ยี่สิบสี่ จักรพรรดิมีราชโองการรับสั่งให้รัชทายาทหลี่อันเสด็จบวงสรวงศาลบรรพชนและรับการคารวะจากร้อยขุนนางที่ตำหนักเหวินฮวาแทนพระองค์ ยงอ๋องรู้สึกอาดูรยิ่ง เดือนสองปีเดียวกัน ยงอ๋องเสด็จไปยังห้องทรงพระอักษร ขอเดินทางไปปกปักษ์โยวโจว ทว่าองค์จักรพรรดิไม่อนุญาต กลับรับสั่งให้ซื่อจื่อไปแทน ต่อมายงอ๋องขอลาราชการเนื่องจากอาการประชวร องค์จักรพรรดิอนุญาตตามนั้น
…พงศาวดารยง พระราชประวัติองค์ไท่จง
หนานฉู่ปีเดียวกัน ปีเจี่ยซวี่ รัชศกถงไท่ปีที่หนึ่ง เจิ้นหย่วนโหวลู่ซิ่นเป็นผู้นำหมู่ร้อยขุนนางนำองค์ชายสามเสด็จขึ้นครองบัลลังก์ เปลี่ยนศักราชใหม่เป็นรัชศกถงไท่ เชิญหยางอ๋องเป็นไท่ซั่งหวง เชิญซั่งเฟยขึ้นเป็นพระพันปีหลวงคอยว่าราชการหลังม่านโดยมีลู่โหวเป็นผู้จัดการเรื่องแว่นแคว้น เมื่อเจ้าแคว้นขึ้นครองบัลลังก์เสร็จสิ้นก็มีราชโองการแต่งตั้งลู่โหวเป็นเจิ้นหย่วนกง และส่งทูตมายังต้ายง ยินดีส่งส่วยเป็นเมืองขึ้นของต้ายง
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน พระราชประวัติฉู่หมิ่นอ๋อง
ปีใหม่มาเยือนท่ามกลางเสียงเพลงสรรเสริญและการร่ายรำงดงาม วันนี้ช่างยุ่งวุ่นวายจริงๆ เริ่มต้นด้วยกิจของราชสำนักโดยเหล่าขุนนางจะมาคารวะองค์จักรพรรดิหลี่หยวนที่ตำหนักไท่จี๋ก่อน จากนั้นจึงไปคารวะรัชทายาทที่ตำหนักบูรพา ซึ่งก็คือตำนานเหวินฮวา
องค์รัชทายาทมีจวนของตนอยู่ในนครหลวง ทว่ากลับไม่เคยเข้าพำนักในตำหนักบูรพาที่เป็นดังสัญลักษณ์แห่งอำนาจของรัชทายาทเลย จนกระทั่งปีนี้ เนื่องจากได้รับการสนับสนุนของแต่ละฝ่าย หลี่อันจึงค่อยเข้าพักในตำหนักบูรพาอย่างเป็นทางการ แสดงให้เห็นว่าตำแหน่งรัชทายาทมั่นคงแล้ว
ขณะที่ยงอ๋องมาเยี่ยมคารวะองค์รัชทายาทที่ตำหนักบูรพาในฐานะขุนนางผู้หนึ่ง ยามเมื่อเขาคุกเข่าสองโขกศีรษะหกตามพิธีการท่ามกลางสายตาของทุกคนในใต้หล้า ยามนี้หลี่อันจึงนับว่าเป็นรัชทายาทอย่างแท้จริง เมื่อเห็นยงอ๋องหลี่จื้อที่ทำให้ตนรู้สึกต่ำต้อยมาโดยตลอดกำลังกราบคารวะอยู่เบื้องหน้าตน ความรู้สึกยินดีพลันพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งใจของหลี่อัน
ต่อมาหลี่อันจะต้องไปทำพิธีบวงสรวงที่ศาลบรรพชนให้เสร็จสิ้น ขณะนี้หลี่อันกำลังมัวเมาอยู่ท่ามกลางความเปรมปรีดิ์ที่ได้สยบทุกคนในแผ่นดิน
เมื่อเทียบกันแล้ว ยงอ๋องหลี่จื้อกลับรู้สึกเย็นยะเยือกในใจอย่างมิอาจเลี่ยง ฐานะอำนาจของผู้เป็นเจ้าและผู้เป็นเบี้ยถูกกำหนดไว้แล้ว ย่อมมิอาจตำหนิที่เขาเป็นเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าขณะนี้หลี่จื้อเพียงรู้สึกชื่นชมกลยุทธ์ของเจียงเจ๋อเท่านั้น เขามองออกว่ายามนี้หลี่อันกำลังเหิมเกริมยิ่งแล้ว ความยินดีที่ได้กดข่มตนเช่นนี้จะทำให้อีกฝ่ายกระทำเรื่องผิดพลาดออกมาอีกหลายครั้ง เช่นนั้นขอเพียงใช้กลยุทธ์ให้เหมาะสม ตนก็ทำให้รัชทายาทตกต่ำจนมิอาจพลิกฟื้นฐานะขึ้นมาได้อีก หากต้องการบางอย่างก็ต้องยอมเสียบ้างอย่างเสียก่อน แม้ฟังดูง่าย แต่ผู้ที่จะคิดกลยุทธ์บ้าบิ่นเช่นนี้ออกมาได้จะต้องเป็นผู้ที่มีความใจกล้าห้าวหาญเหนือผู้คนจริงๆ กระทั่งตอนนี้หลี่จื้อก็ยังไม่รู้กลยุทธ์ของเจียงเจ๋ออย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่รู้กระทั่งเจตนาของเจียงเจ๋อ รู้สึกเพียงว่ากลยุทธ์ของเจียงเจ๋อเปรียบดั่งตาข่ายที่เชื่อมโยงถึงกัน ส่วนหลี่อันก็เป็นดั่งผีเสื้อที่ค่อยๆ เข้ามาติดอยู่ในตาข่ายเหล่านั้น
เมื่อบวงสรวงศาลบรรพชนเสร็จสิ้น หลี่หยวนก็มีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองขึ้นที่ตำหนักกานลู่ งานเลี้ยงเฉลิมฉลองมีขุนนางเข้าร่วมมากมาย ข้าติดตามยงอ๋องเข้าสู่ที่นั่ง ส่วนยงอ๋องก็ยุ่งอยู่กับการทักทายแลกสุรากับเหล่าขุนนาง สืออวี้นั่งอยู่ในมุมหนึ่งกับข้า คอยแนะนำคนสำคัญในราชสำนักให้แก่ข้าด้วยเสียงแผ่วเบา
สืออวี้กระซิบบอก ผู้ที่นั่งตำแหน่งแรกของเหล่าขุนนางคือเหวยกวน ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีและราชเลขา เป็นดั่งแขนขาของฝ่าบาท เมื่อปีนั้นยามที่ฝ่าบาทและยงอ๋องทำศึกสงครามอยู่ภายนอกก็มีเหล่าขันทีคอยดูแลเรื่องราชสำนักภายใน ทว่าในความเป็นจริง เรื่องราชกิจต่างๆ ล้วนต้องอาศัยกำลังของเขาเป็นหลัก คนผู้นี้มีความคิดลึกล้ำ เข้าใจวิถีแห่งกษัตริย์เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงยืนหยัดอยู่ในศูนย์กลางมาได้หลายปี ทั้งเกียรติยศก็มิเคยถดถอย แต่ผ่านมาหลายปีเขาก็อายุมากแล้ว การแย่งชิงบัลลังก์ของราชสำนักก็ยุ่งเหยิงอลหม่านยิ่ง เขาจึงรักษาตัวอย่างชาญฉลาดด้วยการไม่แสดงท่าทีอันใด แต่จากที่ข้าทราบ เขาค่อนข้างโน้มเอียงไปทางรัชทายาท เพราะจะอย่างไรเขาก็ร่วมงานกับรัชทายาทมานานหลายปี ทว่าคนผู้นี้มิได้เข้าร่วมการแย่งชิงอำนาจอย่างจริงจัง หากพวกเราประสบความสำเร็จเขาย่อมไม่ต่อต้าน องค์ชายทรงเห็นว่าหากจะให้เขามีตำแหน่งมั่นคงก็ย่อมเป็นไปได้ แต่มิอาจขอความช่วยเหลือจากเขาเป็นอันขาด
ผู้ที่นั่งอยู่เบื้องล่างเขาในตำแหน่งที่ห้าคือเจิ้งเสียตำแหน่งซื่อจง คนผู้นี้มีใจซื่อสัตย์กล้าหาญ เมื่อปีนั้นชิ่งอ๋องลอบสังหารจี้กุ้ยเฟย มีหลายคนถวายฎีกาเรียกร้องให้ลงโทษประหารชิ่งอ๋องโทษฐานอกตัญญูต่อพระมารดา ตอนนั้นคนผู้นี้ก้าวออกมากล่าวคัดค้าน กล่าวว่าการที่ชิ่งอ๋องลอบสังหารกุ้ยเฟยแม้จะไม่เหมาะสม แต่ก็ทำเพื่อล้างแค้นให้พระมารดาแท้ๆ ของตน ไม่ว่าความแค้นนี้จะสมควรแก้แค้นหรือไม่ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องลงโทษเพียงนี้ หากจะมีความผิดย่อมมิใช่โทษฐานอกตัญญู เพราะกุ้ยเฟยมิใช่ภรรยาเอก ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่าบาทยังรู้สึกผิดต่อชิ่งอ๋องที่ทำให้ชิ่งอ๋องต้องไประหกระเหเร่ร่อนอยู่ภายนอกด้วย เกรงว่าในอนาคตคนผู้นี้คงเป็นศัตรูกับพวกเรา แต่องค์ชายทรงตรัสว่าหากใช้คุณธรรมมาโน้มน้าวเขาได้ คนผู้นี้ก็จะเป็นขุนนางยอดเยี่ยมที่หาได้ยากยิ่ง
ข้ามองไปยังเหวยกวน อีกฝ่ายมีรูปโฉมสามัญ จอนผมทั้งสองเป็นสีเทา มีท่วงท่าสง่างามอย่างหาได้ยากยิ่ง มีบารมีของผู้นำขุนนางนับร้อยอย่างแท้จริง ส่วนเจิ้งเสียผู้นั้นกลับมีใบหน้าลักษณะเหลี่ยม หูใหญ่ ดวงตาราวกับดวงดารายามเหมันต์ อายุราวๆ สามสิบกว่าปี ทว่าท่วงท่าการกระทำกลับเจือไปด้วยกลิ่นอายน่าเกรงขามจางๆ เพียงได้เห็นสองคนนี้ก็เหนือกว่าเหล่าขุนนางของหนานฉู่ทั้งหมดแล้ว การที่ต้ายงเป็นจักรพรรดิในดินแดนจงหยวนได้เช่นนี้ นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว
สืออวี้กล่าวต่อไป ผู้ที่อยู่ข้างกายรัชทายาทผู้นั้นก็คือหลู่จิ้งจง เซ่าฝู่ของรัชทายาท คนผู้นี้แม้มีลักษณะธรรมดาสามัญ แต่รู้แจ้งในตำราความรู้เป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงเป็นเซ่าฝู่ได้ คนผู้นี้แม้ภายนอกดูซื่อสัตย์จริงใจ ทว่าความจริงแล้วเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก เป็นเสนาธิการอันดับหนึ่งใต้บัญชาของรัชทายาท พวกเราเสียเปรียบเขามาหลายครั้งแล้ว
ข้ามองไปยังหลู่จิ้งจง คนผู้นี้ย่อมเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของข้าในอนาคต ดูผิวเผินใบหน้าธรรมดาสามัญจริงๆ ทว่าผิวพรรณกลับขาวกระจ่างเกินธรรมดาอยู่บ้าง ดวงตาครึ่งปิดครึ่งเปิด คล้ายยังหลับไม่ตื่นอย่างไรอย่างนั้น ขณะที่ข้ากำลังสำรวจ อีกฝ่ายก็คล้ายจะสังเกตเห็นแล้ว ดวงตาคู่นั้นลืมเต็มตา กวาดมองมาทางข้าราวกลับมีประกายหนาวยะเยือกพุ่งตรงมา ข้ารีบก้มหน้าลง รู้สึกได้ว่าสายตาอันเย็นยะเยือคู่นั้นมองผ่านร่างข้าไป
สืออวี้แย้มยิ้มกลับไปให้อีกฝ่าย เมื่อหลู่จิ้งจงเห็นว่าเป็นสืออวี้ก็คล้ายกับวางใจลงบ้าง ทำเพียงยกจอกสุราในมือขึ้นคารวะครั้งหนึ่ง สืออวี้แย้มยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยกจอกสุราขึ้นเช่นเดียวกัน ทั้งสองดื่มสุรารวดเดียวหมดจอกไปเช่นนั้นเอง
เมื่อหลู่จิ้งจงเลื่อนสายตาออกไปแล้ว ข้าจึงค่อยกระซิบขึ้นมาว่า คนผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ขอบคุณท่านสือที่ช่วยข้าคลายสถานการณ์
สืออวี้กล่าวอย่างเฉยเมย ข้ากับเขานับเป็นศัตรูเก่าแก่กันแล้ว ดังนั้นเขาย่อมไม่สังเกตเห็นท่านแน่ ดูเถิด ผู้ที่กำลังคารวะสุรากับฝ่าบาทคือเว่ยกั๋วกงเฉิงซู คนผู้นี้เคยช่วยชีวิตฝ่าบาทไว้ แม้กลยุทธ์ทางการทหารจะนับว่าธรรมดาสามัญ แต่กลับเป็นแม่ทัพที่ค่อนข้างมีวาสนา ในทุกสงครามหากชนะก็มักจะชนะอย่างยิ่งใหญ่ หากพ่ายแพ้ก็ถอยทัพออกมาได้ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีนิสัยรักคุณธรรมไม่โลภในทรัพย์สินเงินทองและรักพวกพ้อง บางทีนักรบผู้กล้าหาญที่ได้รับความเคารพมากที่สุดในต้ายงอาจเป็นยงอ๋อง ทว่าผู้ที่ได้รับความสนิทสนมมากที่สุดคือเฉิงซู หากเขาต้องการกระทำเรื่องใด ไม่จำเป็นต้องออกหนังสือทางการทหาร เพียงถือจดหมายไปฉบับเดียวก็เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดไม่ทำตาม องค์ชายให้ความสำคัญกับคนผู้นี้มาก เมื่อก่อนยังเคยปกป้องเขาในหลายๆ ด้านเพราะเขาไม่ได้รับความโปรดปรานจากรัชทายาท อย่างไรก็ตาม คนผู้นี้มีวาสนาดียิ่ง ฝ่าบาทให้ความเชื่อถือมาก ดังนั้นรัชทายาทจึงทำอะไรเขาไม่ได้ คนผู้นี้มีใจภักดีต่อฝ่าบาทเป็นอย่างยิ่ง หากจะให้เขาช่วยเหลือองค์ชายคงเป็นไปไม่ได้ แต่หากองค์ชายขึ้นครองบัลลังก์แล้ว เขาจะต้องเข้าร่วมเป็นแน่
ข้ามองไปยังแม่ทัพผู้มีท่าทีเกียจคร้านผู้นั้น เขามีกริยาโผงผางอยู่บ้าง ทว่าบรรยากาศบนร่างกลับเต็มไปด้วยความเป็นมิตร แม้อายุจะเริ่มเข้าสู่วัยชราแล้วแต่ผมเผ้ายังเป็นสีดำ ไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าอิดโรยแม้เพียงนิด เมื่อหลี่หยวนเห็นเขาเข้าไปคารวะสุราก็ยกจอกสุราตอบด้วยรอยยิ้ม ระหว่างขุนนางและจักรพรรดิเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข มิใช่คนธรรมดาสามัญจริงๆ
สืออวี้กล่าวต่อไป ตอนนี้ฝ่ายทหารของต้ายงแบ่งออกเป็นสี่ฝ่าย ทัพใหญ่ใต้บัญชายงอ๋องมีทั้งสิ้นสี่แสนห้าหมื่นนาย เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด ตอนนี้แม่ทัพเลื่องชื่อหลายคนล้วนอยู่ใต้บัญชาขององค์ชาย ทว่าส่วนใหญ่รักษาการณ์อยู่ภายนอก ดังนั้นจึงไม่ได้พบเจอ นอกจากนี้ยังมีฉีอ๋องกุมกำลังทหารสองแสนนาย ชิ่งอ๋องมีทหารหนึ่งแสน กองทัพเหล่านี้แม้จะมิได้เชี่ยวชาญการรบเช่นกองทัพของยงอ๋อง แต่ก็มาจากตระกูลดี นอกจากนี้ยังมีทหารฝ่ายตระกูลฉินและตระกูลเฉิงด้วย ซึ่งก็คือแม่ทัพใหญ่ฟู่หย่วนฉินอี้ และเว่ยกั๋วกงเฉิงซู่ ร่วมกันคุมทหารราชองครักษ์ทั้งสิ้นหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย และทหารชายแดนอีกสองแสนนาย กล่าวได้ว่าพวกเขาคือแม่ทัพที่ฝ่าบาทเชื่อใจที่สุด เป็นดังยันต์คุ้มกายที่ฝ่าบาทใช้กดข่มเหล่าองค์ชายและรัชทายาท ตอนนี้มีองค์ชายสามพระองค์ ชิ่งอ๋องไร้ความสามารถที่จะแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท ฉีอ๋องและองค์ชายเป็นดังน้ำกับไฟไม่ถูกกัน เมื่อมีกองทัพสามแสนห้าหมื่นนายของฉินและเฉิง ฝ่าบาทก็นั่งบัลลังก์ได้อย่างมั่นคงดุจภูเขาไท่ซาน
ข้ามองไปยังแม่ทัพใหญ่ฉินซึ่งเป็นผู้นำของเหล่าแม่ทัพ รูปลักษณ์หล่อเหลาสุภาพ จอนผมสีเทาขาวดูคล้ายบัณฑิต ทว่าเมื่อเห็นแววตาฉลาดเฉลียวและลักษณะการพูดการจาของอีกฝ่ายก็รู้ได้เลยว่าเขาเป็นเสือหมอบมังกรซ่อนผู้หนึ่ง ไม่แปลกใจที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ที่จักรพรรดิให้ความสำคัญที่สุด
ตอนนี้เองสืออวี้ก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง สุยอวิ๋น ท่านดู คนผู้นั้นแม้ชื่อเสียงยังไม่เป็นที่ปรากฏ แต่ท่านจงจำไว้ให้ดี เขาคือผู้ช่วยราชเลขาธิการฉินอู๋ฉี คนผู้นี้ปกติจะทุ่มเทให้กับหน้าที่การงานเท่านั้น ทำงานอยู่ในสำนักราชเลขาธิการมาเก้าปีแล้ว ราชโองการของฝ่าบาทหกเจ็ดส่วนล้วนเขียนด้วยมือเขา อีกอย่างท่านจงจำไว้ ฉินเจิงพระชายาของฉีอ๋อง เป็นบุตรีคนโตของเขา
ข้าใจสั่น มองไปยังบัณฑิตผู้มีท่าทีสุภาพท่านนั้นก่อนกล่าวเสียงเรียบว่า หรือคนผู้นี้จะมีความเกี่ยวข้องกับสำนักเฟิงอี้
สืออวี้กล่าวยิ้มๆ สุยอวิ๋นมากไหวพริบจริงๆ ว่ากันว่าตอนหนุ่มๆ คนผู้นี้เคยได้รับบุญคุณครั้งใหญ่จากเจ้าสำนักเฟิงอี้ ดังนั้นจึงคิดตอบแทนบุญคุณมาตลอด
ข้าจดจำคนผู้นี้เอาไว้ในใจ จากนั้นจึงกล่าวถามต่อไป ผู้ที่ต้องพบก็พบหมดแล้ว นับว่าคุ้มค่ากับการมาจริงๆ พี่สือ อีกไม่นานงานเลี้ยงก็จะจบแล้ว ข้าอยากขอตัวไปก่อนก้าวหนึ่ง อีกไม่กี่วันนี้ข้าอยากพักผ่อนเสียหน่อย ท่านเล่า
สืออวี้กล่าวด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ เกรงว่าท่านคงพักผ่อนไม่ได้แล้วกระมัง ตั้งแต่วันที่สองเป็นต้นไปจะมีละครสนุกๆ ให้ดูชม
ข้าชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงมองไปยังสืออวี้ อีกฝ่ายยิ้มตอบ ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับงานปีใหม่ในปีนี้ยิ่งนัก หลังจากงานเลี้ยงฉลองรอบบ่ายจบลง ทรงมีรับสั่งให้จัดการประลองยุทธ์ที่ประตูจู่เชว่ ผู้ประลองล้วนเป็นขุนนางตั้งแต่ระดับสี่ขึ้นไป หรือไม่ก็ลูกหลานตระกูลใหญ่ของต้ายง คนหนุ่มที่อายุไม่เกินสามสิบปีลงทะเบียนร่วมประลองได้ทุกคน หากชนะ ฝ่าบาทจะพระราชทานรางวัลให้ เห็นว่าการประลองแบ่งออกเป็นสามประเภท หนึ่งคือการแข่งม้า สองคือการแข่งยิงธนู สามคือการประลองศิลปะการต่อสู้ทั้งหมัดเท้าดาบกระบี่ หากได้รับชัยชนะประเภทใดประเภทหนึ่งก็เรียกได้ว่านำเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษได้แล้ว งานเช่นนี้ท่านจะไม่ดูได้หรือ
[1] เจี่ยซวี ปี่ที่สิบเอ็ดตามแผนภูมิสวรรค์
ตอนต่อไป