“หมอหลิงคุณนั่งแท็กซี่ทุกวันเลยหรอ” เทียนฉีขับรถของเธอด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อยจากการขับรถที่แย่ของเธอ เธอใช้โอกาสนี้ใกล้ชิดหลิงรัน
ตอนนี้เทียนฉีเสียใจที่เธอไม่ได้ไปพบกับปรมาจารย์ด้านความสัมพันธ์เพื่อเรียนรู้วิธีการจีบเมื่อปีที่แล้ว
หลิงรันพิงกับที่นั่งในโรลส์ – รอยซ์อย่างสะดวกสบาย ในขณะที่เขารู้สึกว่าหนังหุ่มที่นั่งของรถนั้นนิ่มมากเขาพูดว่า “โดยปกติฉันจะขับรถไปทำงาน แต่วันนี้รถมันสตาร์ทไม่ติด”
“แล้วคุณรู้สาเหตุรึยัง” เทียนฉีเองก็รู้สึกผิดมากขึ้น
หลิงรันก็ตอบกลับไปว่า “ฉันก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และฉันก็ซ่อมรถไม่เป็นด้วย”
“หมอหลิงคุณไม่รู้เรื่องรถยนต์เลยเหรอ?” เทียนฉีถอนหายใจด้วยความโล่งอกและทำท่าทางไม่พอใจขึ้นมาทันที “ผู้ชายไม่รู้จักรถยนต์ได้อย่างไร? เขาลืมไม่หัดเข้าไปหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตหรอ”
หลิงรันไม่สนใจเรื่องเหล่านั้น เขากล่าวว่า “ฉันเคยคิดว่าการซ่อมรถยนต์นั้นไม่น่าสนใจเท่ากับการซ่อมคน”
เทียนฉีปล่อยเสียงครวญเป็นเพลงออกมา เมื่อเธอจำได้ว่าหมอซ่อมคนได้อย่างไร เธอสั่นเล็กน้อยและพูดว่า “หมอหลิงคุณมีบุคลิกที่ค่อนข้าง…..”
“ มันเป็นความชอบส่วนตัวนะ”
“หมอหลิงคุณไปทำงานเช้าขนาดนี้แล้วคุณจะเลิกงานเมื่อไรกัน?
“ถ้ามันไปได้ดีก็อีกสามสีชั่วโมงก็กลับแล้ว” หลิงรันนับเวลาอู่ตลอดที่เขาต้องอยู่ในโรงพยาบาลและรวมถึงเวลาก่อนและหลังการผ่าตัด เขาไม่จำเป็นต้องนั่งอยู่ในห้องทำงานของโรงพยาบาลเพื่อทำงาน มันเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายที่สุดสำหรับแพทย์รุ่นเยาว์คือ งานที่น่าเบื่อเช่นการเขียนเวชระเบียนที่ไม่สิ้นสุดการติดต่อกับผู้ป่วยและญาติที่มีปัญหาต่าง ๆ ตลอดเวลา แจ้งคำสั่งในการดูแลผู้ป่วยและวิธีที่ผู้ป่วยควรใช้ ยาการตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่องและการรายงานการรักษา นอกจากนี้ความเครียดจากการเขียนงานวิจัยและความเหนื่อยล้าจากการทำงานล่วงเวลาสามารถทำให้แพทย์ประจำบ้านจำนวนมากตายจากความอ่อนเพลียได้
เมื่องานหลักของแพทย์เป็นเพียงการผ่าตัดเวลาของเขาได้รับการปล่อยตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขามีการผ่าตัดเล็กน้อย มันจะทำให้แพทย์และหัวหน้าแพทย์ระดับอาวุโสนั้นผ่อนคลายมากขึ้นจากความเครียดจากงานเอกสาร
เทียนฉีมองดูหลิงรันผ่านกระจกและรู้สึกสงสารอยู่ภายในใจของเธอ “คุณต้องทำงานเป็นเวลานานขนาดนี้จริงๆเหรอ?”
“มีการผ่าตัดเพียงครั้งเดียวในตอนเช้าวันนี้ดังนั้นมันจะสิ้นสุดในสามหรือสี่ชั่วโมงต่อมา”
“แสดงว่าคุณยืนผ่าตัดตลอดสามถึงสี่ชั่วโมงเลยสิ?” เทียนฉีตกใจมาก
“แน่นอน.” หลิงรันพยักหน้าและพูดว่า “การผ่าตัดสองครั้งใช้เวลาหกถึงเจ็ดชั่วโมงหากมีการเกิดออุบัติเหตุขึ้น ก็จะใช้เวลานานกว่าเดิม”
“หมอหลิงคุณต้องทำงานหนักมากจริงๆ” เทียนฉีเกือบจะน้ำตาไหล
หลิงรันมองไปที่เทียนฉีและเห็นว่าเธอดูเหมือนจะจริงจังดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “มันค่อนข้างผ่อนคลายที่จะทำงานหกหรือเจ็ดชั่วโมงต่อวันชั่วโมงมันคือเวลาทำงานปกติคือแปดชั่วโมงต่อวัน แต่ถ้าคุณต้องทำงานหนักสิบห้าหรือสิบหกชั่วโมงต่อวันอันนั้นน่าเป็นห่วงกว่ามาก “
เทียนฉีตกใจกับคำพูดนี้น้ำตาของเธอหายไป “ พวกเขาไม่ได้ผลักดันให้มีงานที่ยืดหยุ่นในปัจจุบันยังงั้นหรอ? ฉันรู้ว่าบริษัทกูเกิ้ลจะทำงานบนพื้นฐานที่เมื่องานของพนักงานเสร็จสิ้นพวกเขาไม่ต้องไปทำงานอีกต่อไป บริษัทยะฮูเองก็ให้พนักงานทำงานที่ทำที่บ้าน”
“ถ้างานมีความยืดหยุ่นและเราทำช้าเราจะต้องทำงานนานกว่านี้ใช่มั้ย”
“โอ้ถูกต้องแล้ว” เทียนฉีหยุดและพูดว่า “แต่ฉันสังเกตเห็นว่าระยะเวลาการทำงานของญาติของฉันไม่นานมากบางทีพวกเขาอาจจะทำงานให้เสร็จก่อนเวลาด้วยซ้ำ”
หลิงรันพยักหน้าแบบไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้
“ ฉันจะได้รับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต ฉันเกือบจะได้นอนที่โรงพยาบาลหยุนหัว” เทียนฉีกล่าวและเธอก็เงยหน้าขึ้น จนเธอเห็นป้ายของโรงพยาบาลหยุนหัวอยู่ตรงหน้าเธอ
เวลาตอนตีสี่และตัวอาคารสีขาวบริสุทธิ์จนดูน่ากลัวเทียนฉีถึงกับพูดอะไรไม่ออก แต่เธอก็ลดความเร็วของรถลง เธอพูดออกมาด้วยเหตุผลที่เธอคิดก่อนหน้านี้ “หมอหลิงฉันไม่ได้ใช้รถคันนี้ ทำไมคุณไม่เอามันไปขับมันก่อนและให้ค่อยเอามาคืนฉันก่อนหกโมงเย็น”
ผู้คนในหยุนหัวรับประทานอาหารค่ำเวลาหกเย็นหรือหนุ่มทุ่ม ถ้าหลิงรันกลับมาที่รถในเวลานั้นเขาคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเลี้ยงอาหารเย็นเธอ
เดิมทีเทียนฉีต้องการเลือกเวลาหนึ่งทุ่มแต่เพื่อป้องกันไม่ให้ดูผิดสังเกต แต่หลังจากความคิดเธอก็เริ่มกลัวว่าหมอหลิงผู้โด่งดังอาจมีคนชวนเขาไปทานข้าวตอนหกโมงเช้าแล้ว
ดังนั้นเทียนฉีจึงเลือกเวลาหกโมงเย็นแทน
หลิงรันตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะส่ายหัว “นั้งแท๊กซี่ดูจะง่ายกว่าคุณไม่ต้องให้รถฉันยืมก็ได้”
แผนของเธอหยุดชะงักลง แต่เทียนฉีพยายามจะไม่ตกใจออกมาให้เห็น เธอนำแผนที่สองของเธอออกมาทันทีและพูดว่า “แม้ว่ามันจะง่ายกว่าแต่ในการหาแท๊กซี่มันจะใช้เวลานานมาก ทำไมคุณไม่เพิ่มเพื่อนฉันในวีแชท เมื่อคุณทำงานเสร็จแล้วก็ส่งข้อความให้ฉันล่วงหน้าถ้า ฉันว่างฉันจะไปรับคุณ “
หลิงรันลังเลอยู่พักหนึ่ง
“อย่างงั้นคุณก็ส่งซองจดหมายสีแดงให้ฉันผ่านวีแชท ฉันจะทำเหมือน … ฉันขับแท๊กซี่ ฉันไม่ได้สนใจเรื่องรายได้หรอกเดียวระหว่างวันฉันจะเข้าไปทำงานในบริษัทด้วย” เทียนฉีพยายามเกลี้ยกล่อมหลิงรัน
หลิงรันยิ้ม “เป็นไปไม่ได้ที่คุณไม่สามารถทำงานได้ทุกอย่างพร้อมๆกัน ถ้าคุณยังขับรถเช่นนี้อยู่”
“มันไม่สำคัญหรอกนะการได้รับประสบการณ์ตั้งหากสำคัญกว่าจริงไหม?” เทียนฉียิ้มอย่างจริงใจ เธอคิดอย่างนั้นจริง ๆ
หลิงรันสามารถยอมรับข้อเสนอของเธอได้เพียงเพราะเธอพูดแบบนั้น เขาเพิ่มเทียนฉีในวีแชทในทันที
เทียนฉีพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง เธอถือพวงมาลัยและมองกระจกมองหลังในขณะที่รู้สึกพอใจกับตัวเอง “ฉันจะเรียกเก็บเงินตามการเรียกเก็บเงินนี้อืม … ฉันจะเรียกเก็บเงินคุณราวกับว่าฉันเพิ่งส่งคุณมาที่จุดนี้เป็นเงิน 15 หยวน “
เทียนฉีขับรถไปที่ด้านหน้าของโรงพยาบาล เธอเปิดประตูด้วยความเร่งรีบและมองดูหลิงรันลงจากรถ จากนั้นเธอก็ขับรถออกไปอย่างช้าๆ ความกังวลใจของเธอหายไปและเธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิกคักขณะที่มองไปข้างหน้าเธอ
… ..
หลิงรันเข้าไปในห้องปฏิบัติการ เขาทำการผ่าตัดผู้ป่วยที่นิ้วขาดสามนิ้วราวกับว่าเขามีบางสิ่งที่มีค่ามาก
มาหยานลินเป็นผู้ช่วยคนแรกและหยูหยวนเป็นผู้ช่วยคนที่สอง แต่พวกเขาก็หมดแรง แต่นั่นก็เป็นวิธีการผ่าตัดของเขาในฐานะ หัวหน้าศัลยแพทย์มีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในขณะที่เขาทำศัลยกรรมและตัดสินมากที่สุด แต่คนที่ทำงานหนัก ๆ และเบื่อพวกเขาจริงๆก็คือผู้ช่วยคนแรกและคนที่สอง
ลสำหรับหัวหน้าศัลยแพทย์ในขณะที่การผ่าตัดจะยากมากสำหรับหัวหน้าศัลยแพทย์หากพวกเขาไม่รู้จักฝีมือของเขาเองเพราะมือนั้นจะะเป็นเค้กชิ้นหนึ่งหากพวกเขาคุ้นเคยกับมันมาก
หยูหยวนเช็ดเหงื่อของเธออย่างเหนื่อยล้า แต่เธอก็ร้องอุทานด้วยความดีใจว่า “ฉันไม่เคยคิดเลยว่า
“สนุกกว่าการผ่าตัดทั่วไปใช่ไหม?“มาหยานลินสนิทกับหยูหยวนและเขาก็ประทับใจงานอดิเรกของเธออย่างมาก
หยูหยวนยิ้มอย่างสงบ “การปลูกถ่ายนิ้วมือเย็บหลอดเลือดและเย็บแผลในลำไส้โดยทั่วไปลักษณะมันเหมือนกัน”
“มันแตกต่างกันมากแต่อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่ไหลออกมาจากพวกมันก็เหมือนกัน”
“ เธอรู้เรื่องนี้ด้วยหรอ? แต่ท่าทางของเธอไม่เหมือนกับว่าเธอเคยทำการผ่าตัดทั่วไปมาก่อน”
หยูหยวน พ่ายแพ้มาหยานลินจากคำถามนี้ในทันที
เนื่องจากการอยู่ในห้องผ่าตัดแพทย์จะไม่มีเวลาแม้แต่จะพักเหนื่อยและจะเอาเวลาไหนไปประเมินความแตกต่างของการผ่าตัดกัน
ซูเจียฟู่ที่เป็นวิสัญญีแพทย์นั้นเคยชินกับการโต้เถียงกันของศัลยแพทย์เหล่านี้เป็นประจำ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาเรียนรู้จากการผ่าตัดมามากเพียงใดเขาจึงพูดขึ้นมาว่า“ สิ่งที่ทั้งสองโต้เถียงกันไม่สำคัญหรอก แต่ตอนนี้ผู้ป่วยต้องถูกส่งไปห้องพักฟื้นและใครกันที่จะไปแจ้งผลกับญาติของผู้ป่วย?”
“เขา”.
“เธอ.”
มาหยานลินและหยูหยวนชี้กันไปชี้กันมา พวกเขารู้ว่าหลิงรันไม่ชอบที่จะพูดคุยกับญาติของผู้ป่วย ดังนั้นงานดังกล่าวจะถูกผลักให้คนที่โชคร้ายเท่านั้น
หลิงรันไม่ได้เข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย เขาเหยียดแขนและมองดูนาฬิกาของเขา
เข็มชั่วโมงชี้ไปที่แปด การผ่าตัดในครั้งนี้ใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้เล็กน้อย บางครั้งก็เสียเวลาจัดการกับปัญหาที่เดิมๆ หลิงรันค่อนข้างพอใจแม้จะมีความลำบากอยู่บ้าง
“หมอหลิงอยู่ในห้องต่ออีกหน่อยไหมด้านนอกไม่สบายเหมือนด้านในห้องนี้หรอกนะ” ซู่เจียฟูผลักเก้าอี้ของเขาออกมาแล้วผลักมันไว้ข้างหลิงรัน ตั้งแต่หลิงรันกลับมาจากเซี่ยงไฮ้เขาเริ่มลดความถี่ในการผ่าตัดลง มันทำให้ซู่เจียฟูมีโอกาสน้อยลงที่จะได้เห็นการผ่าตัด
ในความเป็นจริงนี้มันเป็นการพบกันครั้งที่สามของซู่เจียฟูกับหลิงรันเนื่องจากการจัดการเรื่องกะที่ไม่ลงตัว ด้วยเหตุผลบางอย่างเขารักการที่ได้มาพบปะกับหลิงรันมาก
หลิงรันพยักหน้าแล้วนั่งลง เขายืนในขณะที่เขาเย็บแผลในขั้นตอนสุดท้ายของการผ่าตัดมันทำให้หลิงรันมีอาการเหนื่อยเล็กน้อย
รอยยิ้มของซู่เจียฟูเปลี่ยนไป จากนั้นเขาก็พยายามซ่อนมันไว้ “หมอหลิงคุณเลิกทำการผ่าตัดดึกๆแล้วหรอ?“
“ฉันไม่เคยนอนดึกเลยนะ” หลิงรันมองไปที่ซูเจียฟู่อย่างประหลาด
“ขอโทษที่ฉันพูดผิด ฉันหมายถึงคุณไม่ผ่าตัดตอนเช้าๆแล้วหรอ?” ซูเจียฟูตบหัวของเขา
หลิงรันถอนหายใจและพูดว่า “มีเตียงไม่เพียงพอถ้าฉันทำการผ่าตัดหกหรือเจ็ดครั้งต่อวันอีกครั้งทางโรงพยาบาลจะไม่เหลือเตียงให้ฉันใช้ในอนาคต”
จากนั้นซูเจียฟูก็พูดขึ้นมาโดยใช้เสียงกระซิบ “ฉันก็สงสัยว่าๆหลังๆนี้ฉันไม่ค่อยเจอคุณ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เลิกงานนี้ฉันจะมีปาร์ตี้บาร์บิคิว หมอหลิงคุณสนใจมาร่วมกับเราไหม? “
ซู่เจียฟูมองหลิงรันและเขาก็มีกังวลเล็กน้อย เนื่องจากหลิงรันเป็นคนดังของโรงพยาบาลหยุนหัว ถ้าเขาดึงหลิงรันเข้ากลุ่มของตัวเองได้ถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นการกินและดื่มด้วยกันสองสามครั้งมันจะช่วยเสริมเสน่ห์ของซูเจียฟูอย่างมาก
อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตสำหรับนักวิสัญญีแพทย์? มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการกินและดื่มหลังเลิกงาน
หลิงรันนั้นลังเลและถามว่า “คุณจะไปทานข้าวที่ร้านเฮียเฉาหรอ?”
“ร้านอาหารเฮียเฉาก็ฟังดูดีนะ แต่บางครั้งเฮียเฉาไม่ได้อยู่ในช่วงเวลากลางวัน มันเลยจะไม่มีกั้งปลาวาฬสีแดงเราสามารถทานบาร์บีคิวได้เท่านั้น” ซู่เจียฟูคุ้นเคยกับร้านอาหารรอบ ๆ โรงพยาบาลหยุนหัวดี
“เอาล่ะฉันไม่ได้เห็นเฮียเฉามานานแล้วฉันไม่รู้ว่าเขาหายดีแค่ไหนหลังจากที่เขาออกจากโรงพยาบาลไป” เมื่อหลิงรันพูดขึ้นเขาก็ลุกขึ้นและวางมือไว้ในกระเป๋า เขาจำได้ว่าเป็นโฟล์คสวาเกนเจลต้ามันสตาร์ทไม่ติดและถามว่า “มีรถยนตร์กี่คันแล้วจะมีคนไปกี่คน?”
“ฉันจะไม่ขับรถไปถ้ามีคนน้อยกว่าสิบคนที่จะไปด้วย” ซูเจียฟูพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เหมือนใครสำหรับวิสัญญีแพทย์ “ฉันจะไปนั่งในรถของคุณน้องหม่า,หยูหยวน จะไปด้วยกันไหม”
“ผมต้องเขียนเวชระเบียนทำรอบวอร์ดและสั่งยา” มาหยานลินดูเหมือนจะเสียใจเป็นอย่างมาก
หยูหยนพยักหน้าอย่างจริงจังและพูดว่า “ฉันต้องการไปดื่มซาเกกับพวกคุณด้วย”
“ดีเลยอย่างงั้นก็เหลือที่นั่งมันก็จะไม่ไดอึดอัดก้วย” ซูเจียฟูรู้สึกถึงความสบายที่จะได้รับ
“เดียวฉันจะโทรหาแท๊กซี่ก่อนนะ โฟล์คสวาเกนของฉันพัง” หลิงรันกล่าวขณะที่เขาดึงโทรศัพท์มือถือของเขาและส่งข้อความไปให้เทียนฉี [ฉันจะไม่กลับบ้านซักพักเพื่อนร่วมงานกับฉันกำลังทานข้าวเย็น วันนี้ฉันไม่ต้องการรถ]
เทียนฉี ตอบทันที, [โอเค: 3]
หลิงรันเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกับคนอื่น ๆ ในกลุ่ม เมื่อเขามาถึงทางเข้าโรงพยาบาลเขาใช้แอพในการเรียกแท๊กซี่เพื่อกำหนดปลายทางของเขาก่อนที่เขาจะคลิกปุ่มเพื่อโทรหา
หลังจากสามวินาทีหน้าจอของแอพเปลี่ยนเป็น [โปรดรอจนกว่าการเดินทางของคุณ] มันแสดงข้อมูลของยานพาหนะ [นายหวัง, บูลเบลลี่มัดเซอร์]