บทที่ 371 ไม่เพียงต้องการเงินยังต้องการชีวิตด้วย
ฮ่องเต้เซี่ยเจินรู้ว่าเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกตำหนิ
องค์ชายสิบที่ซ่อนตัวอยู่หลังห้องโถงโผล่หัวออกมา ชิ ดูเถอะ เสด็จพ่อด่าข้า เสร็จปู่ก็ด่าเสด็จพ่อต่อ โลกนี้ช่างยุติธรรมจริง ๆ!
ไท่ซ่างหวงจ้องฮ่องเต้เซี่ยเจินเขม็งเพราะโมโหอย่างมาก “เจ้าดูตัวเองสิ ยังเหลือสง่าราศีของคนที่เป็นฮ่องเต้อยู่หรือไม่”
ฮ่องเต้เซี่ยเจินเม้มริมฝีปาก แน่นอนว่าเขาไม่พอใจ แต่เขาต้องเก็บซ่อนความคิดนั้นเอาไว้ไม่ได้พูดออกมา
รอจนกระทั่งไท่ซ่างหวงด่าจนคอแห้งแล้ว ฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงได้เอ่ยขึ้นมา “ท่านข่านของถู่เจีย หรือก็คือหลานชายที่ลูกไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนใกล้จะมาถึงเมืองหลวงแล้ว เสด็จพี่ยังอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเฉินหรือพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดครั้งนี้ถึงไม่เสด็จกลับมาพร้อมกับเสด็จพ่อเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
ไท่ซ่างหวงขี้เกียจจะสนใจเขา ข่าวนั่นล่าช้ากว่าจางปาเหลี่ยงที่คอยตามจี้จือฮวนทั้งวันเสียอีก
“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ เรื่องที่ท่านตำหนิลูกความจริงแล้วลูกรู้ตัวดี แต่อย่างไรเสียลูกก็เป็นลูกชายแท้ ๆ ของท่าน ไม่ว่าท่านจะว่าลูกเช่นไร ในใจลูกก็เคารพเสด็จพ่อเสมอนะพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซ่างหวงสูดลมหายใจเข้า “หากว่าเจ้าเชื่อฟังที่ข้าพูดจริง ก็คงไม่ทำให้ข้าโมโหถึงเพียงนี้หรอกกระมัง”
ก่อนที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินจะได้เป็นองค์รัชทายาท น้อยนักที่จะได้พบหน้าไท่ซ่างหวง ไม่ต้องพูดถึงการได้รับความรักและการดูแลเอาใจใส่ แม้แต่ความรู้สึกก็ได้รับน้อยมากจนน่าสงสาร เขาจึงเดาใจไท่ซ่างหวงไม่ถูก
แต่ว่าหานเหล่ยได้แนะนำว่า หากไท่ซ่างหวงมีความละอายใจต่อตำหนักบูรพาต้องการปฏิบัติต่อเซี่ยฉืออย่างดี เช่นนั้นเขาก็ห้ามปฏิเสธ อย่างไรเสียเซี่ยฉือก็อายุยังน้อย การจะแต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาทนั้น ถือว่าข้ามหน้าข้ามตาเหล่าเสด็จอาของเขา ราษฎรทั้งใต้หล้าใช่ว่าจะยอมรับ คนที่ต้องกดดันก็จะไม่ใช่เขาอีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้นเซี่ยอวี้ก็ถูกปลดไปแล้ว สามัญชนต่อให้มีสายเลือด อย่างไรเสียฐานะก็ไม่ถูกต้อง
ในเมื่อไร้วาสนาที่จะได้เป็นองค์รัชทายาท เหตุใดเขาต้องเป็นปฏิปักษ์กับไท่ซ่างหวงในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ด้วย
ดังนั้นฮ่องเต้เซี่ยเจินจึงรีบเอ่ยขึ้นมา “ครั้งนี้ถูลี่มาเมืองหลวง พวกเราก็จะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว ไม่สู้ให้เสด็จพี่รับอาฉือกลับมาด้วยจะดีกว่า”
ไท่ซ่างหวงชะงักไปเล็กน้อย ในใจก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ “ทำไม ตอนนี้เจ้าคิดได้แล้วหรือว่ายังมีอาฉืออีกคน เจ้าไม่ได้อยากให้เด็กคนนั้นตายหรอกหรือ?”
“เสด็จพ่อเอาที่ไหนมาพูดพ่ะย่ะค่ะ อวี้เอ๋อร์ไม่อยู่แล้ว ลูกเองก็นอนไม่หลับทั้งกลางวันกลางคืน เด็กคนนั้นจิตใจเปราะบางเกินไป แต่ในเมื่ออาฉือยังมีชีวิตอยู่ อย่างไรซะเขาก็นับว่าเป็นสายเลือดของราชวงศ์ ไม่ว่าเขาจะรับลูกหรือไม่รับ ลูกก็เป็นปู่ของเขาอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น หากเขาแซ่เผยจริง ตามหลักแล้วเขาไม่มีสิทธิ์เซ่นไหว้อวี้เอ๋อร์นะพ่ะย่ะค่ะ”
พูดถึงเรื่องนี้ไท่ซ่างหวงก็โมโหเป็นอย่างมาก “นี่ก็เป็นเพราะเจ้าเชื่อคำใส่ร้ายไม่ใช่หรือ!”
“แต่เสด็จพ่อ ตอนนั้นหลักฐานแน่นหนา ลูกไม่ได้ต้องการเอาชีวิตของอวี้เอ๋อร์ เรื่องที่ตำหนักบูรพาไฟไหม้ลูกก็คิดไม่ถึงเช่นกันนะพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซ่างหวงเงียบลง นี่เป็นความเจ็บปวดในใจของเขา
เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าเซี่ยอวี้จะฆ่าตัวตาย!
ขอเพียงมีชีวิตอยู่ก็มีความหวัง เขายังอยู่ระหว่างทางกลับเมืองหลวง เซี่ยอวี้จะฆ่าตัวตายได้อย่างไร?
ส่วนเรื่องที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินต้องการเอาชีวิตเขาหรือไม่นั้น บางทีเขาอาจจะเคยลังเล แต่จิตใจที่เกิดความสงสารเพียงเล็กน้อยของกษัตริย์หาได้สำคัญ?
“เสด็จพ่อ ลูกสำนึกผิดแล้วจริง ๆ ให้อาฉือกลับมาเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของหานเหล่ยในวันนั้นยังดังก้องอยู่ในหู
‘ที่ไท่ซ่างหวงสนับสนุนเผยยวนก็เป็นเพราะเซี่ยฉือเท่านั้น แต่หากเซี่ยฉือกลับมาอยู่ในวังและคืนสู่ฐานะเดิม เช่นนั้นเผยยวนยังจะตามมาดูแลอยู่ในวังด้วยอีกอย่างนั้นหรือ? ไม่สู้มอบเซี่ยฉือให้ซูเฟยเลี้ยงดู หรือไม่ก็คืนให้กับฮองเฮา นั่นก็ยังนับว่าสมเหตุสมผล เผยยวนจะกล้ายึดฐานะพ่อของพระราชนัดดาเอาไว้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?บราวนี่ออนไลน์
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเซี่ยฉือกลับเมืองหลวง หากพระองค์ให้ความโปรดปรานกับเขา ไท่ซ่างหวงก็ไม่สามารถว่าอะไรได้อีก หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาจะเอาอะไรมาสู้กับพระองค์ได้อีก ไท่ซ่างหวงอายุมากแล้ว กระหม่อมขอพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดสักประโยค ไท่ซ่างหวงอาจจะอยู่ไม่ถึงเซี่ยฉือโตก็ได้ ระยะเวลาอีกหลายปี หากวางแผนดี ๆ ค่อย ๆ ไตร่ตรองดู ย่อมดีกว่าการแข็งข้อกับไท่ซ่างหวงในตอนนี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ’
คิดไม่ถึงว่าวิธีนี้ของหานเหล่ยจะได้ผลจริง ๆ
สีหน้าของไท่ซ่างหวงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทว่าคำพูดของฮ่องเต้เซี่ยเจินหลังจากนั้นกลับเป็นการรนหาที่ตายชัด ๆ
“ก่อนหน้านี้นายอำเภอเจียงของตำบลฉาซู่ ได้ถวายฎีกาฉบับหนึ่งกับลูก…”
…
ในอุทยาน เด็ก ๆ กำลังเล่นซ่อนหากันอยู่จนเหงื่อท่วมตัวไปหมด ก่อนจะเตรียมตัวพักกินขนมและพูดคุยกัน
“เมื่อครู่เจ้าหลบอยู่ด้านหลังเตียงปาปู้*นั่นใช่หรือไม่?”
* เตียงปาปู้ (拔步床) เป็นเตียงจีนโบราณขนาดใหญ่ที่มีซุ้มไม้แกะสลักครอบเอาไว้ทั้งหลัง
“ข้าไม่บอก”
“ข้าเห็นรองเท้าของเจ้าแล้ว”
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคำรามดังออกมาจากในห้องโถง จากนั้นถ้วยน้ำชาก็ถูกปาจนเสียงแตกดังสนั่นไปหมด ฮ่องเต้เซี่ยเจินมีสภาพสะบักสะบอมอย่างมาก และถูกเจียงเต๋อประคองออกมาจากประตู
เมื่อครู่เขาแค่จะบอกไท่ซ่างหวงว่าเหมืองทองและเหมืองแร่นั่นต้องคืนให้ราชสำนัก จะสิ้นเปลืองให้หมู่บ้านตระกูลเฉินไปทำไม ทว่าไท่ซ่างหวงกลับไม่พูดพร่ำทำเพลงไล่ตะเพิดเขาออกมาทันที
ยังดีที่ไม่มีใครเห็น ฮ่องเต้เซี่ยเจินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเล็กน้อย แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นจะเห็นว่าที่ศาลาด้านนอกตำหนักมีเด็กกลุ่มหนึ่งจ้องเขาอยู่
ยังมีเซี่ยห่วงเจ้าลูกโง่นั่นด้วย!
“ไป รีบไป!” ฮ่องเต้เซี่ยเจินอับอายยิ่งนัก เพียงหนึ่งเค่อก็อยู่ต่อไม่ได้อีกแล้ว
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?” มีคนถามขึ้นมา
เซี่ยห่วงยกมือขึ้น “เรื่องนี้ข้ารู้ ถูกพ่อสั่งสอนอย่างไรเล่า ตอนที่ข้าถูกเขาด่า วิ่งเร็วกว่าเขาเสียอีก”
เอ่ยจบองค์ชายสิบก็ทำหน้าตาภาคภูมิใจ
บรรดาเจ้าตัวเล็ก …ดีใจอะไรกัน
…
ข่าวการมาถึงของคณะทูตถู่เจีย มาพร้อมกับการตกรางวัลอย่างไม่ขาดสายของเรือนรับรองซื่อฟาง** ของประดับตกแต่งที่ถูกลำเลียงเข้าไป พร้อมประกาศว่าประเทศที่เป็นมิตรกันมายาวนานเช่นนี้มาเยือน ชาวบ้านในเมืองหลวงย่อมยินดีต้อนรับพวกเขา
** เรือนรับรองซื่อฟาง (四方馆) หมายถึง เรือนรับรองสำหรับคณะทูต
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือพวกเขาอยากเห็นความสง่างามขององค์หญิงใหญ่อู๋ซวงในเวลานี้
อย่างไรเสียก็เป็นคนที่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับถู่เจีย อาศัยความสามารถของคนเพียงคนเดียวรักษาสันติภาพที่ชายแดนมานานหลายทศวรรษ จึงเป็นคนที่หลายคนเคารพ
ในตอนที่ทุกคนต่างคิดว่าวันนั้นจะรีบไปที่ภัตตาคารแต่เช้าเพื่อจับจองที่นั่ง จะได้ยึดทำเลสูง ๆ เพื่อมององค์หญิงใหญ่ได้อย่างชัด ๆ ก็มีข่าวใหม่จากหลูโจวส่งมา
ทั้งเรื่องที่คนตระกูลเมิ่งใช้อำนาจบาตรใหญ่ในหลูโจว ชาวบ้านในท้องที่ถูกกดขี่ องค์หญิงใหญ่พาพระราชนัดดาไปกอบกู้สถานการณ์อันตราย และกองทัพทหารเกราะเหล็กรวมถึงทหารกล้าของถู่เจียใช้เลือดเนื้อร่วมแรงร่วมใจกันปกป้องหลูโจวเอาไว้…
ทุกคนเมื่อได้ยินก็ทอดถอนใจออกมาทันที ต่างก็ถามว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงใหญ่แม้ว่าบัดนี้จะอายุมากแล้ว แต่เพื่อราษฎรยังยอมเป็นผู้นำไปจัดการปัญหาด้วยพระองค์เอง และยังมีเรื่องของพระราชนัดดาด้วย หรือว่าจะเป็นลูกชายของอดีตองค์รัชทายาทเซี่ยอวี้?
ข่าวเช่นนี้น่าตื่นตกใจอย่างไม่ต้องสงสัย และมันก็ถูกนำมาเปรียบเทียบกับบรรดาลูกชายของฮ่องเต้เซี่ยเจิน ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกว่าตอนนั้นหากอดีตองค์รัชทายาทเซี่ยอวี้ยังอยู่ จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน
เป็นเพราะราชสำนักเลอะเลือน เป็นเพราะฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเลอะเลือน จึงทำให้เกิดเรื่องน่าเศร้าเช่นนี้ขึ้น
หากว่าอดีตองค์รัชทายาทเซี่ยอวี้ยังอยู่ รัชทายาทที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ มีหรือที่องค์ชายไม่ได้เรื่องเหล่านั้นจะเทียบได้ ไม่มีใครเป็นโล้เป็นพายเลยสักคน
แต่บางคนก็บอกว่าเป็นการพูดเกินจริง อย่างไรเสียอดีตองค์รัชทายาทก็สวรรคตไปแล้ว ต่อให้พระราชนัดดาเซี่ยฉือจะกลับมาก็เป็นเพียงสามัญชนเท่านั้น ไม่ได้เป็นสมาชิกของราชวงศ์อีกต่อไปแล้ว หากยังเรียกเขาว่าพระราชนัดดา มิเท่ากับเป็นการตบหน้าราชสำนักหรอกหรือ?
แต่ในใจของราษฎรตอนนี้ ราชสำนักเน่าเฟะไปหมดแล้ว หากไม่ใช่เพราะพวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากแม่ทัพเผยและฮูหยิน คงไม่มีโอกาสได้มานั่งพูดคุยกันเช่นนี้อีกแล้ว ดีไม่ดีอาจถูกคนชั่วอย่างราชครูและองค์ชายสามวางยาพิษจนตายไปแล้ว
“ยังมีองค์ชายห้าเซี่ยซั่วอยู่ไม่ใช่หรือ? ได้ยินว่าเก่งทั้งบุ๋นและบู๊เช่นกัน”
“พอเถอะน่า ก่อนเซี่ยเซวียนจะเกิดเรื่องก็เคยบอกว่าเขามีความมุ่งมั่นเที่ยงตรงและรักราษฎรไม่ใช่หรือ สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร ไม่เพียงต้องการเงินของพวกเรา ยังจะเอาชีวิตของพวกเราด้วย”
.