บทที่ 372 เตรียมการต้อนรับ

ไม่ว่าทางการจะห้ามอย่างไร ความยุติธรรมนี้ก็ยังอยู่ในใจผู้คน

การต้อนรับคณะทูตของถู่เจียเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญที่สุด ทั้งในและนอกเมืองหลวงต่างประดับประดาด้วยโคมไฟ ถือว่าพวกจี้หมิงซูยังโชคดี เพราะหลังจากศพเน่าเปื่อยแล้วยังมีเสื่อฟางคลุมร่าง และโยนลงไปในหลุมศพหมู่

เมื่อใกล้ถึงช่วงเวลาสำคัญ ฮ่องเต้เซี่ยเจินเพิ่งจะได้รู้ว่าเซี่ยวั่งซูพาเผยจี้ฉือไปหลูโจว ดังนั้นจึงอารมณ์เสียอยู่ในตำหนักฉินเจิ้ง เขาเอ่ยกับหานเหล่ย “เจ้าดูสิ พวกเขาปูทางให้เจ้าเด็กนั่น แต่ละเรื่องล้วนพุ่งเป้ามาที่ข้า พวกเขาได้ชื่อเสียงไป ส่วนเรื่องเน่าเหม็นต่าง ๆ นานากลับสาดใส่ข้า”

หานเหล่ยเองก็คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงใหญ่จะเสี่ยงอันตรายไปหลูโจว ทั้งยังกลับมาพร้อมกับคณะทูตของถู่เจียพอดี

คำนวณได้แม่นยำเกินไปแล้ว เวลาที่กลับมายังประจวบเหมาะเป็นอย่างยิ่ง

อีกทั้งพวกเขายังสามารถอาศัยคดีขององค์ชายสาม เรียกความรักจากราษฎรได้ด้วย

สถานการณ์เลวร้ายลง ราวกับว่ามีตาข่ายที่มองไม่เห็นครอบอยู่ ไม่ว่าราชสำนักจะทำอะไรก็จะมีการคาดการณ์และตอบโต้ก่อนทุกครั้ง ก่อนที่พวกเขาจะทันได้โต้ตอบใด ๆ สถานการณ์ก็สงบลงแล้ว

แต่ไม่ว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินจะไม่พอใจเพียงใด ก็ยังต้องทำงานหนักเพื่อต้อนรับองค์หญิงใหญ่กลับเมืองหลวงอยู่ดี หากปฏิบัติต่อเซี่ยวั่งซูไม่ดี อย่าว่าแต่น้ำลายของราษฎรจะไม่ละเว้นเขา แม้แต่ไท่ซ่างหวงเองก็คงจะมาบิดหูเขาถึงตำหนักฉินเจิ้งด้วยพระองค์เองเป็นแน่

เว่ยเจ๋อเซิงเดินสวนกับผู้คนที่เดินอย่างเร่งรีบ พลางถือตะกร้าไม้ไผ่ใบหนึ่งไว้ในมือ ส่วนเผยเสี่ยวเตาก็แบกดาบเดินตามหลังมา จนกระทั่งเว่ยเจ๋อเซิงออกจากเมืองและมาถึงหลุมศพหมู่ เผยเสี่ยวเตาจึงได้เข้าใจว่าเขากำลังจะทำอะไร

เว่ยเจ๋อเซิงไม่พบร่างของเจียงเช่อ จึงทำได้แค่เผาใบส่งวิญญาณและกระดาษเงินให้เขา เมื่อเขาเห็นเผยเสี่ยวเตามุมปากก็เผยยิ้มประดักประเดิดออกมา

“แม่นางเสี่ยวเตา ตามผู้น้อยมาตลอดเลยหรือขอรับ?”

เผยเสี่ยวเตาไม่ได้ปฏิเสธ พลางหยิบน่องไก่ชิ้นใหญ่ที่จี้จือฮวนตุ๋นออกมากัดหนึ่งคำ

เว่ยเจ๋อเซิงนั่งลงใกล้ ๆ กับนาง “แม่นางเสี่ยวเตาคงกำลังคิดว่าผู้น้อยใจอ่อนเช่นสตรีอยู่ใช่หรือไม่?”

“อะไรคือใจอ่อนเช่นสตรี?”

เว่ยเจ๋อเซิงจึงอธิบายอย่างใจเย็น “คือการที่มีความคิดคร่ำครึเกินไป ต่อให้คนอื่นจะเคยทำร้ายตนเอง ก็ยังอยากจะไปช่วยอีกฝ่ายอยู่ดี อาจารย์เคยบอกว่าหากข้าสามารถแก้นิสัยนี้ได้ จึงจะสามารถวางใจมอบสำนักเทพพยากรณ์ให้อยู่ในมือของข้า”

เผยเสี่ยวเตาคิดไปคิดมา “ข้าคิดว่าทุกคนล้วนมีความคิดเป็นของตัวเอง เจ้าไม่ไปขวางทางคนอื่นก็พอแล้ว ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะให้อภัย ต่อไปคนที่จะถูกทำร้ายก็คือตัวเจ้าเอง แต่ข้าคิดว่าความใจดีเป็นสิ่งที่ดีมาก

เมื่อก่อนข้าเคยเลี้ยงสุนัขตัวหนึ่ง เวลาที่มันอารมณ์ไม่ดีก็กัดข้าเหมือนกัน แต่ข้าก็ไม่สามารถเอามันไปทิ้งได้”

เว่ยเจ๋อเซิงไม่ได้พูดอะไร และนั่งเป็นเพื่อนเสี่ยวเตากินน่องไก่จนหมดอย่างเงียบ ๆ ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ตนเองพกติดตัวออกมาให้นางเช็ดปาก

“ข้าคิดดีแล้ว การลังเลในการตัดสินใจนำมาซึ่งหายนะ รอเรื่องนี้จบแล้วข้าจะเข้าร่วมกับกองทัพทหารเกราะเหล็กเพื่อไปเป็นที่ปรึกษา ข้าไม่มีทักษะอะไร แต่การทำนายสวรรค์ก็นับว่าพอใช้ได้อยู่”

การเดินทัพและทำศึกบางครั้งก็ต้องดูสิ่งเหล่านี้

เผยเสี่ยวเตากลับไม่สนใจว่าเขาจะเข้าร่วมกองทัพหรือไม่ นางแค่อยากจะตามมาดูว่าเขาจะไปที่ใดและทำอะไรบราวนี่ออนไลน์

“วันนี้องค์หญิงใหญ่กลับมาเมืองหลวง คาดว่าประตูเมืองคงคึกคักน่าดู พวกเรากลับไปตอนนี้ยังมีเวลาได้ร่วมสนุกอยู่ ไปกันเถอะ” เผยเสี่ยวเตาได้ยินพวกจี้จือฮวนพูดถึงท่านป้ามาหลายครั้ง ดังนั้นนางต้องไปเจอให้ได้

ประตูเมือง

วันนี้คณะทูตเข้าเมือง และองค์หญิงใหญ่ก็กลับมาเมืองหลวงด้วย ทั้งราชสำนักและราษฎรต่างก็ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก แม้แต่พวกอู๋ซิ่วเองก็ตั้งใจเปลี่ยนชุดใหม่ ทหารชั้นผู้น้อยเอ่ยด้วยความยินดีขึ้นมา “ท่านนายกองขอรับ ท่านดูชุดข้าสิขอรับ เป็นเช่นไรบ้างขอรับ?”

อู๋ซิ่วพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ดูกระฉับกระเฉงมาก เจ้าให้คนจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย อีกเดี๋ยวยืนตัวตรง อย่าหลังค่อมล่ะ”

“ได้เลยขอรับ ผู้น้อยเข้าใจแล้วขอรับ”

อู๋ซิ่วมองไปที่ผ้าแพรและโคมไฟที่ประตูเมืองอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

มีการปูพรมแดงที่ถนนจูเชว่ไปจนถึงประตูจูเชว่ ถึงเวลาฮ่องเต้เซี่ยเจินจะมาที่นี่เพื่อต้อนรับองค์หญิงใหญ่กลับเมืองหลวงด้วยพระองค์เอง

ชาวบ้านทั้งสองข้างทางต่างก็รู้ดีจึงไม่มีใครกล้าไปเหยียบ แต่โรงน้ำชาและภัตตาคารกลับมีคนเบียดกันจนแน่นขนัด พ่อค้าแม่ค้าแผงลอยบนถนนต่างก็ติดตัวอักษรสีแดงบนของที่ขายเพื่อความเป็นสิริมงคล

ที่ขายดีที่สุดคือธงผืนเล็กและกลีบดอกไม้ปลอมที่ทำจากเศษผ้าสี ๆ เนื่องจากเป็นฤดูหนาวจึงมีดอกไม้ให้เด็ดไม่มากนัก กลีบดอกไม้ปลอมเหล่านี้จะถูกย้อมสี ทำให้ดูไม่ต่างจากดอกไม้จริงมากนัก

ทุกคนพร้อมแล้ว และตั้งหน้าตั้งตารอมาตั้งนานแล้ว

ทางด้านฮวาเซียงเซียงก็เปิดประตูก่อนเวลา ให้ชาวบ้านที่ไม่มีที่ยืนมาดูที่นี่

เซียวเย่เจ๋ออุ้มหย่งหนิงมา ด้านหลังมีเซียวหรงหรงที่ไม่ได้พบหน้ามานานตามมาด้วย

ว่าที่พ่อตาอย่างฮวาเส้าจงยังไม่ชอบขี้หน้าเซียวเย่เจ๋ออยู่เช่นเคย แต่ใครใช้ให้ในอ้อมแขนของเขามีหย่งหนิงน้อยอยู่กันเล่า หัวหน้ากลุ่มกองเรือเรียกได้ว่ายิ้มหน้าบานเลยทีเดียว “หย่งหนิงน้อย รีบมาหาข้ามา”

เด็กเล็กสามารถแยกแยะได้ดีว่าผู้ใหญ่คนใดชอบตัวเองที่สุด ที่สำคัญเด็กน้อยก็ถูกคอกับฮวาเส้าจงเป็นอย่างมาก หลังจากขืนตัวลงมาแล้วก็วิ่งดุกดิกไปที่ข้างกายเขา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพลางเอ่ยออกมา “ท่านอาฮวา วันนี้ท่านสวมชุดได้สง่างามมากเลยเจ้าค่ะ”

“หย่งหนิงก็สวยเช่นกัน” ฮวาเส้าจงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

คราวนี้เมื่ออาชิงเห็นนาง ทั้งสองคนก็ทำราวกับว่าไม่ได้เจอกันมานาน ก่อนจะจูงมือไปเล่นด้วยกันแล้ว

ฮวาเส้าจงจึงได้มองไปทางเซียวเย่เจ๋อ แล้วเอ่ยเสียงเรียบขึ้นมา “มาแล้วหรือ?”

“ขอรับ” เซียวเย่เจ๋อแอบมองไปที่ฮวาเซียงเซียง เมื่อถูกกลอกตามองบนใส่ก็เกาหัวเล็กน้อย

เซียวหรงหรงอดไม่ได้ที่จะพิจารณาด้านในของภัตตาคาร จากนั้นก็รู้ว่าว่าที่พี่สะใภ้ของตนเองต้องเป็นคนตรงหน้านี้เป็นแน่ จึงเข้าไปทักทายอย่างสนิทสนม “พี่ฮวาฮวาสบายดีหรือไม่เจ้าคะ”

ฮวาเซียงเซียงทำท่าทางแง่งอนใส่เซียวเย่เจ๋อ และแน่นอนว่าไม่มีทางทำเช่นนั้นกับเซียวหรงหรง ทั้งสองคนล้วนเคยชินกับการคบค้าสมาคมกับผู้คน ไม่นานก็คุ้นเคยกัน

“ฮวนฮวนหรือ? นางยังอยู่หย่งอันถัง คาดว่าคงใกล้จะมาถึงแล้ว”

ขณะที่พูดอยู่นั้น ก็เห็นเผยยวนจูงมือจี้จือฮวนเข้าประตูมา เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนเบียดฝูงชนมาตลอดทาง คงจะเปลืองแรงไปไม่น้อยทีเดียว

“มาแล้ว ๆ”

เซียวหรงหรงมองนางอย่างเหม่อลอย สุดท้ายจึงย่อตัวลงคำนับแล้วเอ่ยขึ้นมา “แม่ทัพเผย ฮูหยินเผย”

จี้จือฮวนเลิกคิ้วขึ้น “แม่นางเซียวก็มาด้วยหรือ ขออภัยที่ทักทายไม่ครบ แต่พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจหรอก”

ภัตตาคารแห่งนี้พวกเขาทุกคนล้วนมีส่วนแบ่ง ดังนั้นการที่บอกว่าเป็นครอบครัวเดียวกันก็เหมาะสมแล้ว

เซียวหรงหรงเห็นนางมีท่าทางสง่าผ่าผาย ในใจแม้จะเจ็บปวดแต่ก็ยังรู้สึกดีใจ

“ท่านแม่” อาอินเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “หัวใจข้าเต้นเร็วมากเลยเจ้าค่ะ ไม่ได้พบพี่ใหญ่มานานแล้ว เขาจะมองเห็นว่าพวกเราอยู่ตรงนี้หรือไม่เจ้าคะ?”

จี้จือฮวน “เช่นนั้นอีกเดี๋ยวเจ้าก็ตะโกนให้ดังหน่อย ไม่แน่พี่ใหญ่เจ้าอาจจะได้ยินก็ได้”

อาอินคิดไปคิดมา “ใช่แล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะตะโกนให้สุดเสียงไปเลย เช่นนี้พี่ใหญ่ก็จะสามารถเห็นพวกเราแล้ว”

“ข้าก็จะตะโกนสุดเสียงด้วยขอรับ!” อาชิงชูมือเล็ก ๆ ขึ้นมา

เผยยวนอุ้มลูกชายขึ้นมา ให้เขานั่งบนบ่าของตัวเอง จากนั้นก็เดินไปที่หน้าต่างชั้นสอง “กลัวหรือไม่?”

เจ้าเด็กแสบไม่กลัวจริง ๆ เขาแกว่งขาเล็ก ๆ ไปมาแล้วเอ่ยขึ้น “สูงกว่านี้อีกหน่อยก็ไม่กลัวขอรับ!”

เขาหยิบธงเล็กสองอันออกมา “ข้าจะให้พี่ใหญ่เห็นข้าเป็นคนแรก”

มีคนจำนวนมากนั่งอยู่ที่ราวกั้น ไป๋จิ่นจึงกันที่เอาไว้ที่หนึ่ง

จี้จือฮวนไม่เห็นเยว่พั่วหลัวจึงเอ่ยถามขึ้นมา “คู่ปรับเจ้าเล่า?”

ไป๋จิ่นสะบัดผมที่ม้วนเป็นลอน “นางบอกว่าพู่โคมไฟทั้งสองข้างในภัตตาคารของพวกเจ้าไม่เท่ากัน จึงหยิบกรรไกรไปเล็มแล้ว”

.

.