บทที่ 369 ข้าแค่ลักจำการบ้านของผู้อื่น
เมื่อกลับถึงวังหลวง เสี่ยวเป่าอดใจรอพบท่านพ่อและพี่ใหญ่ของตนแทบไม่ไหวแล้ว
“องค์หญิง พวกฝ่าบาทกำลังพูดคุยธุระบางอย่างกันอยู่ พระองค์มารับของว่างที่ห้องโถงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีผู้น้อยที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตูเป็นลูกบุญธรรมของฝูไห่ เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเป่ามา เขาจึงก้าวไปข้างหน้าพลางกล่าวทักทายอย่างนอบน้อม
เสี่ยวเป่าเองก็ไม่อยากทำให้เขาลำบากใจ “ก็ได้”
นางหันหลังกลับแล้วสาวเท้าน้อย ๆ เดินกลับไปยังอีกห้องหนึ่ง แค่เพียงทิ้งตัวนั่งลง นางกำนัลก็เดินเข้ามาพร้อมกับขนมมากมาย
นางยัดแต่ละอย่างเข้าปากทีละชิ้น ก่อนจะหยิบหินก้อนเล็กหนึ่งชิ้นออกมาจากถุงนำโชค
มันคือต้นหินซึ่งนางซื้อตอนไปตลาดมืดที่หนานจ้าว
ดอกไม้ถูกท่านราชครูนำไปแล้ว ถึงอย่างไรมันก็เป็นเพียงสมุนไพรทำยา แต่ตัวก้อนหินยังถูกเก็บเอาไว้ที่เสี่ยวเป่าเอง
เนื่องจากนางสังเกตว่ามีบางอย่างอยู่ในหินก้อนนี้ที่กำลังดูดพลังวิญญาณของตน
แต่นางใส่พลังวิญญาณเข้าไปมาเนิ่นนานแล้ว แต่หินก้อนนี้ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
บางส่วนก็บิ่นไปบ้างแล้ว ตอนนี้หินก้อนนี้จึงดูเหมือนไข่ไก่ลูกเล็กเพียงเท่านั้น
นางวางหินที่รูปร่างเหมือนไข่ไก่ไว้บนโต๊ะ ก่อนจะใช้มือออกแรงกดแล้วกลิ้งมันไป ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณที่รั่วออกจากปลายนิ้ว หินนั้นดูดซับพลังงานเข้าไปอย่างรวดเร็ว
นัยน์ตาขาวดำสุกสกาวของเสี่ยวเป่ามองไปยังหินรูปไข่ที่ตอนนี้รูปร่างดูเรียบเนียนมากขึ้นเรื่อย ๆ พลางเอ่ยพึมพำ
“เจ้าคงไม่ใช่ไข่จริง ๆ ใช่หรือไม่ รู้สึกเหมือนจะหิวโหยมากเลยสินะ ดูดพลังวิญญาณของข้าไปเยอะเสียขนาดนั้น ต่อไปคงไม่ได้จะมีสัตว์ประหลาดตัวน้อยฟักออกมาหรอกใช่หรือไม่ ไดโนเสาร์หรือ”
นางคิดเช่นนั้น เนื่องจากพวกไข่ไดโนเสาร์ต่างก็กลายเป็นซากฟอสซิลไปแล้ว บางทีเจ้าสิ่งนี้อาจเป็นหินฟอสซิลก็เป็นได้
แต่เล็กขนาดนี้ ไดโนเสาร์พันธุ์ไหนจะออกไข่เล็กขนาดนี้กันเล่า
เสี่ยวเป่ารู้สึกมีความสุขกับจินตนาการของตนเอง
“องค์หญิง ฝ่าบาททรงเรียกหาพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวเป่ายัดขนมหน่ายเกาเข้าไปในปากของตัวเองทั้งชิ้น เต็มปากเต็มคำ จากนั้นจึงนำหินก้อนนั้นใส่กลับลงในถุงนำโชคตามเดิมพลางวิ่งไปหาท่านพ่อ
“องค์หญิงโปรดช้าลงหน่อยพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวทรงสำลัก”
“อื้อ ๆ ๆ…”
นางอยากเอ่ยตอบว่าเข้าใจแล้ว แต่ของที่ยัดอยู่ภายในปากนั้นช่างมากมายนัก จึงไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้อยู่ครู่หนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยอมลดความเร็วลง
ขาสั้นก้าวเดินเตาะแตะไปยังตำหนักฉินเจิ้ง แก้มทั้งสองข้างยังคงเคี้ยวตุ้ย ๆ อยู่ไม่ขาด ขนาดมายืนอยู่ตรงหน้าท่านพ่อแล้วก็ยังเคี้ยวไม่หมด
หลังจากนั้น… ก็ดูเหมือนว่าจะสำลักหลังจากยัดเข้าไปมากเกินควร
เสี่ยวเป่ารีบวิ่งไปหาท่านพ่อเพื่อขอน้ำดื่ม
หนานกงสือเยวียนไร้ซึ่งคำพูดใดเพียงแค่จ้องมองนาง ก่อนจะยื่นชาที่อยู่ในมือไปให้
“ขอบคุณเพคะท่านพ่อ”
สุดท้ายก็เคี้ยวจนเสร็จเรียบร้อย เสี่ยวเป่าเอ่ยขอบคุณเสียงหวาน แล้วยื่นถ้วยน้ำชากลับคืนไป อีกทั้งยังนำขนมเกาลัดคั่วน้ำตาลสองสามชิ้นออกมาจากกระเป๋าใบเล็กที่สะพายเอาไว้กับตนเอง ก่อนจะยื่นมันให้เขา
“ท่านพ่อรับไปสิเพคะ ยังมีถังหูลู่และอย่างอื่นอีกเยอะเลย ทั้งหมดอยู่ที่สวนของเสี่ยวเป่าเอง ข้าจะบอกให้ชุนสี่นำมาให้ท่านพ่อนะเพคะ”
เจ้าตัวเล็กยืมรถม้าของท่านพ่อออกไปเที่ยวนอกวัง และยังนำของขวัญกลับมาฝากด้วย
ถึงแม้ว่าท่านพ่อจะดูเหมือนไม่อยากได้หรือไม่ได้อยากกินอะไรก็ตาม แต่ทั้งหมดนี้เป็นความหวังดีจากเสี่ยวเป่า
หนานกงสือเยวียนบีบแก้มเล็กของนาง “อย่าออกนอกวังตามอำเภอใจ”
เสี่ยวเป่าส่งสายตาจริงจังจ้องมองกลับมา “เสี่ยวเป่าเข้าใจแล้วเพคะ”
แต่หนานกงสือเหยียนสามารถจับได้ทันทีว่าเจ้าตัวน้อยคนนี้ไม่ได้รับปากจริง ๆ อย่างแน่นอน นางยอมรับผิดอย่างรวดเร็วแทบทุกครั้ง แต่ก็ยังมีครั้งต่อไปอีกนับไม่ถ้วน
“เสด็จพ่อ”
หนานกงฉีอวิ๋นก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน เสี่ยวเป่าเดินไปหยุดอยู่ข้างพี่ใหญ่และพี่สาม นอกจากนี้ยังหยิบเกาลัดคั่วน้ำตาลออกมาอีกจำนวนหนึ่งแล้วยื่นให้แต่ละคน
“องค์ชายสามมีธุระอันใด”
หนานกงฉีอวิ๋นหันมองน้องสาว “สิ่งนี้คือสิ่งที่เสี่ยวเป่าคิดค้นพ่ะย่ะค่ะ”
การทำน้ำแข็งด้วยดินประสิวและน้ำช่างน่าทึ่งมาก หลังจากที่หนานกงฉีอวิ๋นทดลองอัตราส่วนนั้นแล้ว จึงมุ่งหน้าตรงมายังวังหลวงด้วยความตื่นเต้น
“หืม? เสี่ยวเป่าคิดค้นสิ่งใดอีกแล้วหรือ”
เสี่ยวเป่าเชิดหน้ายืดอก ท่าทางบ่งบอกถึงความภาคภูมิใจ
“สิ่งนี้มีประโยชน์มากเพคะ แต่สิ่งเหล่านี้เสี่ยวเป่าไม่ได้เป็นผู้คิดค้น ข้าแค่ลักจำการบ้านของผู้อื่นมาเพียงเท่านั้น”
หนานกงสือเยวียน “…”
นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นคนภาคภูมิใจในการลักจำงานของผู้อื่นมาใช้
แต่ในที่สุดเขาก็ได้เข้าใจว่าความคิดประหลาดของเสี่ยวเป่าได้มาจากไหน
แต่หนานกงฉีซิวและหนานกงฉีอวิ๋นต่างไม่ทราบว่าน้องสาวตนกำลังเอ่ยพูดเรื่องอะไร
หนานกงฉีอวิ๋นรู้สึกตื่นเต้น เขาไม่ได้เตรียมการสิ่งใดมาเลย จึงต้องยอมกัดฟันเอ่ยขอให้เสด็จพ่อจัดเตรียมน้ำและดินประสิวให้
สีหน้าของเขาค่อนข้างเศร้าสร้อย
ยามเมื่อรู้สึกตื่นเต้นจะดูออกได้อย่างชัดเจน แม้ตอนนี้จะสงบแล้วแต่ก็ยังกลัวเสด็จพ่ออยู่ดี
หากเขาสามารถกล้าหาญได้เท่าเสี่ยวเป่าสักครึ่งคงเป็นสิ่งที่ดีไม่น้อย
เมื่อน้ำและดินประสิวมาแล้ว หนานกงฉีอวิ๋นจึงก้าวเดินเข้าไป พลางใส่ดินประสิวลงน้ำในอัตราส่วนที่ตนเองเคยทดลองเอาไว้
หนานกงสือเยวียนและหนานกงฉีซิวต่างเดินเข้าไป เมื่อลูกชายทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันแล้วส่วนสูงของพวกเขาแทบไม่ต่างกันแม้แต่น้อย คนหนึ่งดูเป็นชายชาตรีผู้แข็งแกร่งเย็นชา ส่วนอีกคนบุคลิกอ่อนโยนราวกับหยกอุ่น
เสี่ยวเป่ามองดูท่านพ่อของตนก่อนจะหันมองพวกพี่ชาย จากนั้นจึงยิ้มขึ้นตาหยี ตระกูลหนานกงของพวกเขาหน้าตาดีกันทุกคนเลย
หนานกงสือเยวียนปรายตามองลง ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กน้อยคนนี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่ในหัว
ในชั่วพริบตาเดียว น้ำก็เริ่มมีควันก่อนจะกลายเป็นน้ำแข็ง
ยกเว้นเสี่ยวเป่าและหนานกงฉีอวิ๋น ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างเบิกตากว้าง
หนานกงสือเยวียนและหนานกงฉีซิวไหวตัวทัน เขารีบดึงสีหน้าให้สงบลงอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังตื่นเต้นมาก
“นี่ มันคือกลที่สามารถนำมาใช้งานได้จริงอย่างนั้นหรือ” หนานกงฉีซิวพึมพำ
หนานกงสือเยวียนจ้องมองเสี่ยวเป่าอย่างอดไม่ได้
เสี่ยวเป่าโบกมืออย่างรวดเร็ว “ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่กลอะไรหรอกเพคะ ท่านพี่เองก็น่าจะสังเกตเห็นแล้ว เป็นเพราะพี่สามใส่ดินประสิวลงในน้ำ มันจึงกลายเป็นเช่นนั้น และหากท่านพ่อกับท่านพี่ทำเช่นนี้ก็จะได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน สิ่งที่ผู้ใดก็สามารถทำได้จะเรียกว่ากลได้อย่างไรเพคะ”
นับว่าเป็นความจริง หากใครก็สามารถทำได้แล้วจะเรียกว่ากลได้อย่างไร
หนานกงสือเยวียนเองก็ไม่ได้เอ่ยพูดมากความ ทำเพียงแค่จ้องมองไปยังน้ำแข็งตรงหน้า
“เช่นนี้แล้วก็จะสามารถทำน้ำแข็งได้ในช่วงฤดูร้อน ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง”
เสี่ยวเป่า “นี่เป็นเรื่องที่ง่ายมากเพคะ ท่านพ่ออยากลงทุนให้พี่ใหญ่หรือไม่เพคะ ให้ท่านพี่ไปหากำไรเพิ่ม”
หลังจากเอ่ยจบ ศีรษะน้อยของนางก็โดนเขกเข้าอย่างจัง
“องค์หญิงคนอื่นต่างเอาแต่คิดว่าจะสวมใส่เสื้อผ้าเครื่องประดับเช่นไร แต่ทำไมเจ้าถึงคิดเรื่องจะหาเงินได้ทั้งวันกันนะ ข้าเลี้ยงเจ้าไม่ดีอย่างนั้นหรือ”
เสี่ยวเป่าคร่ำครวญ “เสี่ยวเป่าทำเช่นนั้นก็เพื่อท่านพ่อนะเพคะ!”
หนานกงสือเยวียนจ้องมองนางอย่างขบขัน “ทำเพื่อข้าอย่างไรกัน ข้าไม่มีเงินอย่างนั้นหรือ”
เสี่ยวเป่าพึมพำ “ก็ไม่เสมอไปเพคะ แค่เพียงตอนนี้เท่านั้น หากหมดตัวแล้วต่อไปจะทำเช่นไรเพคะ”
หนานกงฉีซิวหัวเราะ “ทองที่ได้มาจากหนานจ้าวก็น่าจะพอใช้ไปสักช่วงหนึ่ง”
เสี่ยวเป่ามองพวกเขา “พี่ใหญ่ ใช้ไประยะหนึ่งตอนนี้ใช้ไปเท่าไหร่แล้วหรือเพคะ”
หนานกงฉีซิว “ตอนนี้นำไปลงทุนแล้วสามแสนหกหมื่นตำลึง”
เสี่ยวเป่า “นี่เป็นเพียงแค่การลงทุนช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ต่อไปพวกเรายังต้องจ่ายค่าจ้างให้พวกเขาด้วย แล้วยังต้องใช้เงินเยอะมากด้วย”
ทหารพิการที่เกษียณอายุมีเยอะมาก เงินบำเหน็จบำนาญก็ไม่ใช่น้อย ๆ ถึงแม้ว่ากิจการขนส่งเทียนเป่าจะสามารถทำเงินได้ แต่หากจะหากำไรในช่วงเวลาอันสั้นคงเป็นเรื่องยาก
เสี่ยวเป่านับนิ้วของตน “ท่านพ่อต้องจ่ายเงินให้ผู้คนมากมาย นอกจากนี้ยังมีพวกม้าอีก พี่สามบอกว่าการทำอาวุธก็ต้องใช้เงินเยอะมาก แล้วยังต้องซ่อมแซมปรับปรุงถนนอยู่หรือไม่เพคะ”
นางจับมือท่านพ่อของตนแล้วนำคางไปวางเกยไว้ข้างบน นั่นเป็นท่าทางที่ไม่ค่อยสุภาพเอาเสียเลย