บทที่ 301 ขึ้นโรงศาล 3

บทที่ 301 ขึ้นโรงศาล 3

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นแผนการที่พวกเขาสร้างขึ้น โดยจงใจเผาทะเบียนเพื่อไม่ให้มีผู้ใดตรวจสอบได้ หากไม่มีสมุดทะเบียนก็ย่อมพิสูจน์การซื้อที่ดินของกู้เสี่ยวหวานไม่ได้ ตอนนี้นาง เหลยต้าเซิ่ง และซุนซีเอ๋อร์ต่างก็มีโฉนดที่ออกโดยทางการ โฉนดทางการของพวกเขาล้วนเป็นความจริง ที่ดินนี้จะตกเป็นของใครก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีหลักฐานมากกว่ากัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กู้เสี่ยวหวานถืออยู่ในมือของนางเป็นเพียงโฉนดที่ดิน แต่เมื่อไม่มีทะเบียน นางจะพิสูจน์ได้อย่างไร? ในขณะนี้โอกาสในการชนะของนางก็ลดลงเช่นกัน

เหลยต้าเซิ่งและซุนซีเอ๋อร์มองหน้ากันและลอบยิ้ม ดูเหมือนว่าพวกเขาคาดหวังว่ากู้เสี่ยวหวานจะเสนอเรื่องทะเบียน โชคดีที่พวกเขาว่างแผนมาล่วงหน้า

เมื่อได้ยินเหลยต้าเซิ่งและซุนซีเอ๋อร์เยาะเย้ย กู้เสี่ยวหวานก็กำหมัดแน่น เดิมทีที่ดินนี้เป็นของนาง แล้วเหตุใดนางถึงต้องมอบมันให้คนอื่นด้วย?

ขูดรีดนางครั้งเดียวไม่พอ และยังมีครั้งที่สอง ครั้งที่สาม และยังมีครั้งที่สี่

กู้เสี่ยวหวานที่ลังเลจะใช้เงินจำนวนหนึ่งจากการที่หามาอย่างยากลำบาก ดังนั้นนางจึงใช้มันอย่างประหยัด แต่มันกลับตกไปในอยู่ในมือของคนเหล่านี้

ทำไมกัน!

กู้เสี่ยวหวานกำหมัดแน่นและคิดอย่างโกรธเคือง ในวันนี้จะสู้จนตายไปข้างหนึ่ง และต้องไม่ปล่อยไปจนวินาทีสุดท้าย หมาป่าผู้หิวโหยกลุ่มนี้เคยลิ้มรสความหวานมาแล้วครั้งหนึ่ง หากพวกเขาชนะอีกครั้ง กู้เสี่ยวหวานนึกไม่ออกว่าหมาป่ากลุ่มนี้จะทำอะไรในอนาคต

“นายท่าน” กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างสงบ และเหลือบมองเหลยต้าเซิ่งและซุนซีเอ๋อร์ที่คุกเข่าอยู่ข้าง ๆ ทั้งคู่มีสีหน้าพึงพอใจราวกับว่าจะรอดูเรื่องน่าขันของกู้เสี่ยวหวาน

“ไม่มีทะเบียนก็ไม่เป็นไร ข้าและพวกเขาต่างก็มีโฉนดเหมือนกัน ข้าอยากถามว่า พวกเขาจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าโฉนดนี้เป็นของพวกเขา? พวกเขาซื้อที่ดินมาจากใคร? ทำไมคนผู้นั้นถึงขาย? เวลาซื้อ มีคนกลางในการซื้อที่ดินหรือไม่? ใครคือนายหน้าค้าที่ดินของพวกเขา? พวกเขามีโฉนดส่วนตัวหรือไม่? ใครจะช่วยในการทำโฉนดทางการ?” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยถามอย่างใจเย็นหลายคำถามติดต่อกัน

ทุกคำถามคือรายละเอียดที่เหลยต้าเซิ่งและซุนซีเอ๋อร์ไม่สามารถรู้ได้

ฉินเย่จือที่อยู่ไม่ไกลและฟังคำพูดของกู้เสี่ยวหวานทั้งหมด เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อตนเอง ช่างเป็นเรื่องที่น่ายกย่องจริง ๆ ที่สามารถตั้งสติและค้นหาจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้ เขามองไปที่ทางเข้าเมือง และหลังจากคำนวณเวลาแล้ว อาโม่น่าจะมาถึงในเร็ว ๆ นี้

บนถนนสายหลัก มีรถม้าวิ่งเร็ว และมีเสียงตะโกนดังออกมาจากข้างใน “นายท่าน ได้โปรดช้าลงหน่อย ร่างชายชราผู้นี้กำลังจะแตกสลายแล้ว”

อาโม่ไม่ได้หยุดแส้ในมือ ขณะที่เขากำลังขับรถม้า จึงกล่าวอย่างเกรงใจ “นายท่านหวัง ข้าขออภัย ท่านแค่ต้องอดทนกับมัน เราต้องรีบไปที่เมืองรุ่ยเสียน ช้าไม่ได้แล้ว ถ้าไปช้ากว่านี้มันจะสายเกินไป”

หลังจากฟังคำพูดของอาโม่ คนในรถก็ไม่กล่าวอะไรอีก

ครั้นคิดถึงเรื่องที่ตนเองขายที่ดินให้สาวน้อยผู้นั้นทำให้เกิดปัญหามากมาย

เมื่อวานชายหนุ่มผู้นี้มาพบเขา อธิบายจุดประสงค์ของเรื่องนี้ นายท่านหวังตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ โดยคิดว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กผู้หญิงที่จะหาเงินมาได้ และยังถูกญาติแย่งที่ดินไปอีก เขาไม่สามารถปล่อยให้สาวน้อยผู้นี้เสียเปรียบได้ จากนั้นจึงเก็บของแล้วตามอาโม่ไป

เขาคิดแค่ว่าต้องไปเมืองรุ่ยเสียนให้เร็วที่สุดเพื่อไปเป็นพยานให้เด็กน้อยผู้นั้น เขาไม่สามารถปล่อยให้นางจ่ายเงินมาอย่างเปล่าประโยชน์ได้

หลิวจือเสี้ยนม้วนเคราของเขาและพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว เหลยต้าเซิ่ง ซุนซีเอ๋อร์ พวกเจ้าสองคนอธิบายมาสิ”

เหลยต้าเซิ่งและซุนซีเอ๋อร์ตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่ากู้เสี่ยวหวานจะถามคำถามมากมายอย่างนิ่งสงบ

กู้ฉวนลู่เคยบอกพวกเขาแล้วว่าที่ดินผืนนี้เป็นของชายชราแซ่หวังในเมืองหลิวเจีย ได้ยินมาว่าเขาขายบ้านและที่ดินเพราะต้องการไปอยู่กับลูกชายที่อยู่ห่างไกล

“นาย.…นายท่าน ผู้ที่ขายที่ดินให้พวกเราแซ่หวัง ลูกชายของเขากำลังทำกิจการใหญ่อยู่ข้างนอก ลูกชายของเขาต้องการให้เขาเกษียณอายุและย้ายไปอยู่ด้วยกัน ข้าไม่รู้ว่าเขาจะได้กลับมาเมื่อไร เขาจึงขายทั้งบ้านและที่ดิน” เหลยต้าเซิ่งกล่าวเสียงดังตามที่กู้ฉวนลู่บอกในตอนนั้น

กู้เสี่ยวหวานเยาะเย้ย เขาเตรียมตัวมาดีนี่

“แล้วใครเป็นนายหน้าค้าที่ดินของเจ้า?”

“เราไม่มีนายหน้าค้าที่ดิน เราพบนายท่านหวังท่านนี้โดยตรง หลังจากจ่ายเงินแล้ว ข้าก็ไปที่ว่าการอำเภอเพื่อขอโฉนดทางการทางการ ไม่มีคนกลาง ไม่มีนายหน้าค้าที่ดิน และไม่มีสัญญาส่วนตัว!” เหลยต้าเซิ่งตอบ เมื่อมองดูใบหน้าที่เปลี่ยนไปของกู้เสี่ยวหวาน เขาแสยะยิ้มเย็นชาและกล่าวอย่างประชดประชันว่า “สาวน้อยกู้ ข้าพูดจบแล้ว แล้วเจ้าล่ะ? เจ้ามีหลักฐานว่าที่นี่คือของเจ้าหรือเปล่า?”

“นั่นสิ!” ซุนซีเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างกล่าวเสริมว่า “ที่ดินผืนนี้ราคาห้าตำลึงเงินต่อหนึ่งหมู่ และที่ดินห้าสิบหมู่ก็เป็นสองร้อยห้าสิบตำลึงเงิน ข้าอยากจะถามสาวน้อยว่า เจ้าไปหาเงินมาจากไหนมากมาย?”

“นายท่าน…” หลังจากที่ซุนซีเอ๋อร์ถามกู้เสี่ยวหวาน นางก็กล่าวกับหลิวจือเสี้ยนว่า “สาวน้อยผู้นี้เพิ่งบอกว่านางเสียพ่อและแม่ไปเมื่อสองสามปีก่อน ข้าเป็นญาติกับสาวน้อยผู้นี้ และข้าเป็นป้าของนาง ข้าจึงรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของสาวน้อยผู้นี้ บ้านทรุดโทรมที่มีเพียงสองห้อง ปกติมักจะกินอาหารมื้อเดียว จะมีเงินที่ไหนไปซื้อที่ดิน ถ้าที่ดินผืนนี้ถูกซื้อดดยนางจริง ๆ นายท่านต้องตรวจสอบว่าสาวน้อยผู้นี้ไปเอาเงินมาจากไหน!”

ก่อนที่กู้เสี่ยวหวานจะกล่าวอะไร หลี่ฝานซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนก็ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและคุกเข่าลง “ข้าหลี่ฝาน เจ้าของร้านจิ่นฝู เคยพบนายท่านหลิวแล้ว”

ร้านจิ่นฝูตั้งหลักมั่นคงในเมืองรุ่ยเสียน และหลิวจือเสี้ยนก็รู้จักร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองรุ่ยเสียนนี้เช่นกัน อีกทั้งยังเคยไปที่นั่นสองสามครั้ง และชอบอาหารบางจานของร้านนั้นมากจนต้องสั่งทุกครั้งที่ไปเยือน

เนื่องจากเขาเป็นผู้ปกครองของเมืองรุ่ยเสียน หลี่ฝานจึงเคยได้พบกับหลิวจือเสี้ยนแล้ว เมื่อเห็นว่าเป็นหลี่ฝาน หลิวจือเสี้ยนก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด “เถ้าแก่หลี่ ทำไมเป็นเจ้าล่ะ?” ทำไมเขาถึงเกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วย?

หลี่ฝานประสานมือของเขาและกล่าวว่า “นายท่านหลิว ข้าจะตอบคำถามของซุนซีเอ๋อร์เมื่อสักครู่ว่าเงินของกู้เสี่ยวหวานมาจากไหน?”

หลี่ฝานอธิบายว่ากู้เสี่ยวหวานมาส่งหน่อไม้ให้ที่ร้านของเขาหลายครั้ง และยังอธิบายถึงเห็ดตี้มู่ที่ได้รับความนิยมในเมืองรุ่ยเสียนด้วย

นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวจือเสี้ยนได้กินอาหารจานนี้ และมันก็สดใหม่มาก

เมื่อได้ยินว่าหลี่ฝานกล่าวว่าอาหารจานใหม่นี้มาจากกู้เสี่ยวหวาน เขาจึงแปลกใจมาก “ที่แท้เจ้าก็เป็นคนคิดค้นอาหารจานนี้นี่เอง!”