บทที่ 302 กำบัง

บทที่ 302 กำบัง

หลิวจือเสี้ยนรู้สึกตื่นเต้นมาก เมื่อได้ยินสิ่งที่หลี่ฝานกล่าวเขาก็รู้โดยทันทีว่าเงินของกู้เสี่ยวหวานมาจากไหน นอกจากนี้หลี่ฝานยังได้ลงนามในข้อตกลงกับกู้เสี่ยวหวานในขณะนั้นด้วย ซึ่งระบุว่าเขารับซื้อหน่อไม้ฤดูหนาวของกู้เสี่ยวหวานในราคาหนึ่งร้อยเหรียญต่อหนึ่งชั่ง และนั่นก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ

ครั้นผู้คนได้ยินว่าหน่อไม้ในฤดูหนาวที่สาวน้อยผู้นี้ขุดมาขายได้ในราคาหนึ่งร้อยเหรียญเงินต่อหนึ่งชั่ง ทุกคนก็อ้าปากค้างตกตะลึง พวกเขาทั้งหมดคิดในใจว่าเมื่อหน่อไม้ฤดูหนาวออกมา พวกเขาจะต้องขุดให้เร็วที่สุด แม้ว่าตอนนี้จะมีราคาไม่สูงเช่นนี้ แต่พวกเขายังสามารถทำเงินได้!

ในเวลานั้น เห็ดตี้มู่ในเมืองรุ่ยเสียนขายได้จานละสิบตำลึงเงิน แน่นอนว่าหลี่ฝานไม่เอาเปรียบกู้เสี่ยวหวานอยู่แล้ว แม้ว่าหลี่ฝานจะไม่ได้กล่าวในศาลว่าเขาให้เงินแก่กู้เสี่ยวหวานไปเท่าไร แต่เงินสองร้อยกว่าตำลึงเงินนั้นนำมาซื้อที่ดินห้าสิบหมู่ก็เพียงพอแล้ว

หลิวจือเสี้ยนพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว เงินนี้ของสาวน้อยกู้ถูกพิสูจน์แล้ว พวกเจ้ามีหลักฐานอื่นใดที่จะพิสูจน์ได้หรือไม่?”

เหลยต้าเซิ่งและซุนซีเอ๋อร์มองหน้ากัน พวกเขาไม่เคยคิดว่ากู้เสี่ยวหวานจะรู้จักกันดีและมีข้อตกลงกับเถ้าแก่ของร้านจิ่นฝู ซุนซีเอ๋อร์ดูเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าเงินของกู้เสี่ยวหวานนั้นมาจากไหน

นางหลับตาลง หัวใจเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

หลังจากทำงานหนักมาหลายปี กู้ฉวนลู่ก็ไม่สามารถหาเงินสองสามร้อยตำลึงเงินได้ แต่เมื่อกู้เสี่ยวหวานลงมือ นางกลับสามารถหาเงินได้สองถึงสามร้อยตำลึงเงิน ดูเหมือนว่าในตอนนั้น ไม่ควรแยกออกจากครอบครัวรองเลย

หัวใจของซุนซีเอ๋อร์หดหู่และตึงเครียด หากไม่ได้แยกจากกัน เงินจำนวนมากของกู้เสี่ยวหวานก็จะเป็นของนาง

ซุนซีเอ๋อร์คิดในใจ แต่เหลยต้าเซิ่งก็ไม่ยอมพ่ายแพ้ “มีแน่นอน เจ้าหน้าที่ที่จัดการโฉนดทางการให้ข้าในเวลานั้นอยู่ที่นี่ในวันนี้ และเขาสามารถเป็นพยานให้ข้าได้”

กู้เสี่ยวหวานคิดว่ามันน่าขันยิ่งนัก เจ้าหน้าที่ทุกคนในเมืองหลิวเจียเป็นคนของหูฉี และหูฉีก็มีความสัมพันธ์บางอย่างกับเหลยต้าเซิ่งง การที่มีคนมาเป็นพยานให้เหลยต้าเซิ่งก็ไม่ต่างจากพังพอนมาสวัสดีปีใหม่ให้กับไก่*[1] ไม่มีทางมาดีแน่นอน

คำให้การของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นแน่นอนว่าต้องเข้าข้างซุนซีเอ๋อร์และเหลยต้าเซิ่งอยู่แล้ว และยังบอกด้วยว่าไม่เคยเห็นกู้เสี่ยวหวานและข่งฟางไปทำโฉนดทางการเลย

ข่งฟางโกรธเป็นอย่างมากเพราะเขาพบกับชายผู้นั้นในวันนั้น

“เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระ ในวันนั้นข้าเอาโฉนดส่วนตัวไปหาเจ้าเพื่อทำโฉนดทางการ และเจ้าถามข้าว่าทำไมลายเซ็นของเจ้าของที่ดินจึงเป็นชื่อของผู้หญิง ในตอนนั้นข้าบอกว่านางผู้นี้ต้องมีอนาคตที่ดีและมหาสมุทรก็ไม่สามารถวัดนางได้ ต่อมาข้ายังเชิญเจ้าไปที่ร้านจิ่นฝูเพื่อรับประทานอาหาร และในตอนท้ายก็มอบเหล้าคุณภาพดีของร้านจิ่นฝูให้เจ้าสองขวด เจ้าจำไม่ได้หรือ?”

เจ้าหน้าที่ผู้นั้นส่งเสียงอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเป็นนายหน้าค้าที่ดิน และถ้าเจ้าอยากจะทำโฉนดทางการก็แน่นอนว่าต้องมาหาข้า แต่ข้าจำได้ชัดเจนว่าเจ้าไม่ได้เชิญข้าไปกินข้าวเพราะเพื่อโฉนดทางการของสาวน้อยผู้นั้น เป็นไปได้ไหมว่าเจ้ายักยอกเงินของสาวน้อยผู้นั้นและต้องการใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น!”

“เจ้า…” ข่งฟางโกรธจนพูดอะไรไม่ออก และชี้ไปที่ชายผู้นั้นด้วยนิ้วที่สั่นเทา “แต่โฉนดทางการของสาวน้อยกู้ก็เป็นของจริง เพราะข้ารับมาจากมือเจ้า และคนที่ออกโฉนดฉบับนี้ก็คือเจ้า!”

เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้นั้นได้ยินก็เสแสร้งทำเป็นตกใจ เขาโค้งคำนับและขอความเมตตาทันที “นายท่านขอรับ ข่งฟางนี้เป็นนายหน้าค้าที่ดิน ปกติแล้วพวกเราก็มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน ในวันนั้นเขานำอาหารและเหล้าองุ่นมาดื่มกับข้าที่หยาเหมิน เมื่อข้าดื่มจนเมา ข่งฟางผู้นี้ก็บอกว่ามีคนต้องการโฉนดทางการอย่างเร่งด่วนและขอให้ข้ารีบออกโฉนดให้ ในตอนนั้นข้าไม่มีสติและออกโฉนดทางการให้ตามที่เขาบอก เขาพูดอะไรข้าก็เขียนเช่นนั้น เมื่อข้าได้สติ ข้าก็ถามเขาว่าแท้จริงแล้วเขาให้ข้าเขียนสิ่งใดลงไปกันแน่ แต่เขาบอกว่ามันได้บันทึกลงไปแล้วและไม่ได้บอกข้าว่าเป็นของผู้ใดกันแน่ ข้าจึงประทับตราลงไปด้วยความสับสน และไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ข่งฟางทำคือการแย่งชิงที่ดินของผู้อื่น”

“เจ้า เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระ ถ้าข้าแย่งชิงที่ดินของผู้อื่น มันจะถูกเขียนในนามของข้า แต่นี่ข้าลงนามไปในชื่อของสาวน้อยกู้” ข่งฟางโต้กลับทันที

“ใครจะไปรู้ บางทีเจ้าอาจกลัวข้าจะไปชำระบัญชีหลังจากที่ได้สติ ในช่วงนี้เจ้าคงอยากจะหลีกเลี่ยงพายุแห่งความวุ่นวาย เมื่อพายุพัดผ่านไปแล้ว เจ้าก็จะมาเปลี่ยนปลงโฉนด เจ้าคือนายหน้าค้าที่ดิน นี่เป็นงานของเจ้า แล้วเจ้าจะไม่มีทักษะพวกนี้เลยหรือ?” เหลยต้าเซิ่งเยาะเย้ย

ข่งฟางตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ เขาเป็นนายหน้าค้าที่ดินมานานกว่ายี่สิบปี เขาไม่เคยทำผิดขั้นตอนและไม่เคยรับเงินสีเทาแม้สักตำลึงเงินเดียว สิ่งที่ผู้ซื้อและผู้ขายเสนอราคานั้น เขาต้องกระทำการอย่างโปร่งใสอยู่แล้ว

เขาไม่เคยหลอกลวงผู้ซื้อและผู้ขายโดยจงใจเรียกราคาสูงและรับส่วนต่างนี้ไปเอง เป็นเพราะว่าเขาซื่อตรงจนผู้คนทั่วทั้งเมืองหลิวเจียไม่เคยกังวลและโล่งใจที่จะมาซื้อหรือขายที่ดินกับเขา

ตอนนี้ข่งฟางนิ่งเงียบ ไม่ใช่เพราะเขาปฏิเสธไม่ได้ แต่ด้วยความโกรธจึงทำให้ใบหน้าของเขาแดงก่ำ และเขาอยากจะไปทำร้ายเจ้าหน้าที่ผู้นั้นให้รู้แล้วรู้รอดไป

ข่งฟางหยิบของในอกออกมาแล้วกล่าวว่า “นายท่าน ข้ายังมีหลักฐานอีกอย่าง นี่คือเงินห้าสิบตำลึงเงินที่สาวน้อยกู้ให้เป็นเงินมัดจำ”

เดิมที หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานและนายท่านหวังได้จ่ายเงินและเซ็นชื่อลงบนโฉนดส่วนตัวแล้ว ข่งฟางควรจะฉีกเอกสารฉบับนั้นทิ้ง แต่ต่อมาเนื่องจากความเจ็บป่วยของพ่อของเขา เขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย เมื่อเขากลับมาและได้ยินเรื่องเกี่ยวกับกู้เสี่ยวหวาน เขาจึงไม่กล้าที่จะฉีกมัน

เมื่อเห็นว่าข่งฟางเอาเอกสารรับเงินค่ามัดจำออกมาแสดง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ

เหลยต้าเซิ่งจึงกล่าวอย่างประชดประชัน “เอกสารนี้จะมีประโยชน์อะไร? ถ้าเจ้าต้องการ ข้าก็สามารถเขียนให้เจ้าได้เป็นร้อยฉบับ มันเป็นแค่กระดาษเน่า ๆ แผ่นเดียว หมายความว่าพวกเจ้าสองคนสมรู้ร่วมคิดกันเพื่อแย่งชิงที่ดินของเราไป!”

นี่คือสถานที่ของทางการ ถ้าข่งฟางกล่าวออกมาอย่างไร้เหตุผล ในเวลานั้น คำพูดของเขาก็จะไม่มีความน่าเชื่อถืออีกต่อไป

กู้เสี่ยวหวานรีบดึงข่งฟางและเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงต่ำ “ท่านลุงข่ง อย่าหลงกลอุบายของพวกเขา”

เมื่อเห็นหลักฐานทั้งหมดเข้าข้างพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสองก็ยิ้มให้กัน ยิ่งไปกว่านั้นคงไม่ต้องพูดถึงความพึงพอใจ

เรื่องทั้งหมดนี้ถูกจัดฉากโดยเหลยต้าเซิ่ง ซุนซีเอ๋อร์ และเจ้าหน้าที่เมืองหลิวเจีย ในตอนแรกคือการเผาทะเบียน ต่อมาก็ติดสินบน ไม่สิ มันไม่ใช่สินบนเลย เจ้าหน้าที่ผู้นี้เชื่อฟังหูฉี ไม่ว่าหูฉีจะสั่งอะไร เขาก็ทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข

*[1] ใช้เปรียบเทียบกับคนที่ไม่คิดจะประสงค์ดีกับเรา