“ใช่แล้ว เด็กดี”
ผมพูดขณะที่ลูบหัวอาเรียเบาๆ ผมปฏิบัติต่อนักเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดยังกับเป็นเด็ก ซึ่งดูเหมือนเธอจะสนุกไปกับมันเมื่อเธอเริ่มหัวเราะคิกคักเหมือนเด็กน้อย
‘นี่โชคชะตากำลังเล่นตลกกับเราอยู่รึเปล่าหนิ?’
สายตาของผมเย็นลงครู่หนึ่งก่อนจะส่งยิ้มให้อาเรีย
‘โชคชะตา’ นั้นให้ของขวัญผมถึง 2 ครั้ง และทั้ง 2 ครั้งนั้นดูเหมือนว่าจะมีแต่ผมที่ได้ประโยชน์
ครั้งแรกทำให้ผมได้เมืองทั้งเมืองและผู้หญิงที่ทรงพลังมาครอบครอง ในขณะที่ครั้งที่สองนั้นผมได้ผู้หญิงที่ทรงพลังอีกคน ซึ่งเป็นนักเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนมนุษย์มาอยู่ภายใต้การดูแล
‘ดูเผินๆ แล้วเหมือนผมจะเป็นผู้โชคดี แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ งั้นเหรอ?’
ในขณะที่เก็บคำถามไว้ในใจ ผมก็หันไปหา ‘สาวน้อย’ ที่มีพลังระดับทำลายล้างอาณาจักรและจักรวรรดิได้ พลังนั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบ และในตอนนี้ผมคิดว่าคนตรงหน้าผมนั้นไม่น่าจะมีความคิดที่จะรับผิดชอบเช่นนั้น
จากเท่าที่ผมสังเกตุ ดูเหมือนมีจิตใจของอาเรียนั้นจะอยู่ในช่วง 7-8 ขวบ
“เจ้าหญิงน้อยรู้สึกยังไงบ้าง?”
ผมถามด้วยรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย
“หนูสบายดีค่ะท่านพ่อ!”
เธอตอบด้วยรอยยิ้มแบบเด็กๆ บนใบหน้าที่สวยงามของเธอ
เมื่อเห็นแบบนั้นผมก็เลยหัวเราะและลูบหัวเธอ ซึ่งดูเหมือนเธอจะชอบใจ แม้ว่าความคิดของผมจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่ผมแสดงออกมาภายนอกก็ตาม
‘ไม่ว่าจะเป็นผู้กล้าในตำนานหรือใครก็ตาม เธอจะต้องชดใช้อย่างสาสมกับการที่พยายามใช้ฉัน’
ผมจับคางของอาเรียขณะที่มองเธอ ดวงตาของผมเริ่มส่องแสงดาวหลายดวงในขณะที่ผมมองลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเธอ ซึ่งทำให้ผมสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในตัวเธอได้
‘เหมือนกับที่คิดไว้ เธอไม่ได้โง่ขนาดนั้น’
รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนริมฝีปากของผมเมื่อเห็นสิ่งต่างๆ ที่เก็บไว้ลึกๆ ในตัวเธอ
ความศักดิ์สิทธิ์ที่อวยพรให้เธอ พรสวรรค์ที่ซ่อนเร้นของเธอที่ซ่อนอยู่ลึกลงไปในจิตวิญญาณของเธอ และหลักประกันที่เธอวางไว้ในตัวเอง ทำให้ผมรู้ได้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะประทับตราทาสใดๆ ไว้บนเธอและเป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะพยายามควบคุมจิตใจหรือควบคุมเธอ
‘แต่เธอผิดพลาดครั้งใหญ่แล้วที่คิดว่าฉันจะไม่สามารถทำอะไรได้’
ดูเหมือนว่าไม่ว่าโชคชะตาจะเป็นใจให้เธอแค่ไหน แต่มันกลับไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับผมแก่เธอเลย ซึ่งเธอก็มั่นใจในพลังของตัวเองและได้ใช้มาตรการป้องกันทั้งหมดที่เธอทำได้โดยคิดว่ามันจะได้ผลอย่างแน่นอน โดยไม่รู้ว่าผมสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เธอจินตนาการเอาไว้ซะอีก
“แล้วเจ้าหญิงน้อยจำอะไรได้บ้างเอ่ย?”
ผมถามต่อ
ตอนนี้เรา 2 คนร่อนลงมาบนพื้นแล้วในขณะที่อาเรียยังคงเกาะติดผมไม่ยอมปล่อย
ผมให้ฟาร์ร่ากลับเข้ามาในร่างกายของผมเพราะถ้าไม่ทำแบบนั้น ผมมั่นใจเลยว่าคงได้มีสงครามนองเลือดเกิดขึ้นแน่ๆ แถมยังมีอาเรียอยู่ที่นี่แล้วและเธอก็สามารถควบคุมที่นี่ได้เพื่อไม่ให้ผมได้รับบาดเจ็บด้วย
“หนูจำได้แค่ตอนที่เห็นท่านพ่อเท่านั้นค่ะ!”
อาเรียพูดขณะแนบตัวเข้ามาหาผมมากขึ้น โดยที่ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสุขและความพึงพอใจ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ผมจึงจูบเบาๆ ลงบนหน้าผากของเธอ
“แล้วนี่เจ้าหญิงน้อยสามารถทำอะไรได้บ้างเอ่ย?”
“หมายความว่ายังไงเหรอคะท่านพ่อ?”
เธอถามขณะเอียงศีรษะด้วยความสับสน
เมื่อเห็นแบบนั้นผมก็เลยชี้ไปที่ประติมากรรมน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้น
“ทำให้มันหายไป”
หลังจากที่ผมพูดจบ อาเรียก็มองไปทางประติมากรรมน้ำแข็งนั้นก่อนจะขมวดคิ้วกับมัน ซึ่งหลังจากที่เธอทำแบบนั้น ก้อนน้ำแข็งก็หายไปราวกับว่ามันไม่เคยอยู่ที่นั่นเลย ผมไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นสักนิดในพื้นที่นั้นด้วยซ้ำ
‘ไม่มีการร่ายและควบคุมมานาระดับผิวเผินผ่านทางจิต ช่างน่ากลัวจริงๆ’
มานาดูเหมือนจะเคลื่อนไหวตามคำสั่งของเธอ ซึ่งถือเป็นของขวัญของเผ่ามังกร ไม่มีสายพันธุ์อื่นใดที่สามารถสั่งการเช่นนั้นได้ แต่เธอกลับสามารถทำได้ แม้ว่าจะไม่น่าแปลกใจจากการที่เธอถูกเลี้ยงดูและดูแลโดยมังกรก็เถอะ
“หนูทำดีหรือเปล่าคะ?”
อาเรียถามขณะหันมาหาผม ซึ่งผมก็ยิ้มและลูบหัวเธอจนเธอส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจ แต่ในมุมมองของผม มันไม่ได้ดีอย่างที่คิดเลย
ในมือของผมนั้นมีระเบิดที่มีพลังมหาศาลอยู่ แม้การควบคุมเธออาจจะง่าย แต่มันกลับอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน เธอมีจิตใจแบบเด็ก ซึ่งหมายความว่าการกระทำของเธอในเวลานี้นั้นไม่อาจคาดเดาได้
“เห้อออ…”
“มีอะไรรึเปล่าคะท่านพ่อ?”
เธอถามผมด้วยสีหน้านิ่วคิ้วขมวด
เมื่อเห็นแบบนั้นผมก็ถอนหายใจแล้วส่ายหัวขณะยิ้ม
“ไม่มีอะไรหรอกจ่ะ ว่าแต่เจ้าหญิงน้อยสามารถแปลงเป็นแมวได้ไหม?”
ผมถามโดยรู้ว่าเธอคงถึงจุดสูงสุดของเวทมนตร์แปลงร่างแล้ว ซึ่งไม่มีใครสามารถมองทะลุผ่านได้อย่างง่ายดาย
“แน่นอนค่ะ!”
อาเรียตะโกนก่อนจะกลายเป็นแมวขนสีทองที่มีดวงตาสีเขียว
หลังจากที่แปลงร่างเสร็จแล้วเธอก็กระโดดขึ้นมาบนไหล่ของผมและซุกมันอย่างมีความสุข
“อุ่นจัง~”
เธอพึมพำขณะนอนอยู่ที่นั้น
เมื่อเห็นแบบนั้นผมก็ยืนขึ้นและลูบร่างกายของเธอโดยที่ขณะทำเช่นนั้นผมก็ใช้ออร่าการทำลายล้างเพื่อเจาะทะลุส่วนป้องกันเล็กๆ ของเธอที่วางไว้แล้วอย่างง่ายดาย หลังจากทำเช่นนั้นผมก็ให้ขนมแก่แมวตัวน้อยจอมกอด
“อะนี่ลองชิมสิ”
อาเรียกินขนมนั้นอย่างไม่ลังเลและไม่กี่วินาทีต่อมาเธอก็เริ่มรู้สึกง่วง จนในไม่ช้าเธอหลับไหลไปอย่างสงบ
เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วผมก็ดึงเธอออกจากไหล่ก่อนจะหยิบลูกแก้วออกมาเพื่อดูดเธอเข้าไป
‘ดูเหมือนว่าเราจะต้องเข้าคลาสเรียนเป็นพี่เลี้ยงเด็กจริงๆ สินะ’
ผมกระพือปีกและหายตัวไปจากที่ที่เคยอยู่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับครุ่นคิดถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะให้ความสนใจไปที่สิ่งสำคัญที่ต้องจัดการก่อน
‘ถึงเวลาที่ฉันจะต้องจัดการเรื่องนั้นแล้ว’
ร่างกายของผมหายไปจากตำแหน่งปัจจุบันก่อนจะบินต่อไปบนฟ้าโดยมุ่งหน้าสู่เป้าหมายต่อไป หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือน้องสาวของผม ผมบ่มเพาะเธอจนได้เวลาที่เหมาะสมแล้ว และตอนนี้ผมก็ควรรับสิ่งที่สมควรและปลดปล่อยให้เธอเป็นอิสระสักหน่อย
ภายในไม่กี่นาทีผมก็บินมาจนอยู่เหนือเมืองร้างที่ดูหรูหราแห่งหนึ่งที่ซึ่งมีเศษหินกระจายอยู่ทั่วทุกที่ ผมยังสามารถเห็นนักเรียนหลายคนที่เดินไปเดินมาได้อยู่
นักเรียนหลายคนจากกลุ่มต่างๆ นั้นมารวมตัวกันที่นี่โดยมีเป้าหมายในการปกป้องและเตรียมการสิ่งต่างๆ
‘ดูเหมือนทุกอย่างจะลงตัวแล้ว’
ตอนนี้ทุกคนได้รับข่าวเกี่ยวกับการฆ่าฟันกันที่เกิดขึ้นที่นี่แล้ว พวกเธอคงกลายเป็นคนโง่ไปแล้วถ้าไม่ได้รับข่าวการฆ่าฟันที่เกิดขึ้น
เมื่อมองลงไปข้างล่างผมก็เห็นว่าทุกคนมารวมตัวกันที่นี่แล้วตั้งแต่โอลิเวีย, คาร์เมล, เอลล่า, อิซาเบลล่า, แองเจลิน่า, มาร์ลีน, แคทเธอรีน, เนลล์, รอน, เรซ(ใครฟะ?), เจ้าชายแมว และ ผู้ถือแหวนอีกคน, เจ้าชายจากอีกอาณาจักรหนึ่ง ชื่อของเขาคือเบล
ซาบริน่าไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ถ้ารายงานของผมถูกต้อง เอมิลี่น่าจะพบกับเธอแล้ว และเธอพร้อมกับกลุ่มของเธอคงจะมาถึงที่นี่ในวันพรุ่งนี้
ผู้ถือครองแหวนเอลฟ์อีกคนไม่ได้อยู่ที่นี่ และคงจะกำลังวางแผนอันชั่วร้ายเพื่อจัดการทุกคนที่นี่อยู่
‘หม่าา การรวบรวมพวกเขาไว้ด้วยกันนี่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเลย’
ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขามาที่นี่ด้วยกันเนื่องจากผมเป็นคนกลางระหว่างพวกเขาทุกคนในการดึงให้พวกเขามาเจอกันที่นี่ไม่ว่าจะเป็นจาการทำให้หลงทาง, ถูกตามล่าและมีความขัดแย้ง
ความหวาดระแวงอย่างรุนแรงไหลลึกเข้าไปในการรวมตัวกัน ไม่มีใครสามารถไว้วางใจซึ่งกันและกันได้ แต่พวกเขายังต้องอยู่ด้วยกันหากต้องการมีชีวิตรอด
ความวิตกกังวล, ความกลัวในสิ่งไม่รู้และความตายกำลังซุ่มซ่อนอยู่รอบตัวพวกเขา ทำให้บรรยากาศนั้นน่าอึดอัดจนทนไม่ไหว
แวมไพร์ภายใต้การดูแลของรินขู่ใส่มนุษย์หมาป่าของแองเจลิน่า ความขัดแย้งของเอลฟ์ที่แตกต่างกันก็เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่เหล่ามนุษย์สัตว์ทั้งทางบกและทางทะเลก็เพิ่มจำนวนขึ้น
สถานการณ์ทั้งหมดเปรียบเสมือนไดนาไมต์ที่รอการจุดและระเบิด
‘อยู่นี่เอง’
สายตาของผมจับจ้องไปที่ผู้กล้าที่วิ่งไปมาระหว่างกลุ่มต่างๆ เพื่อทำให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี และผมสามารถเห็นได้ว่าเขาได้เพื่อนใหม่แล้ว
‘มาเริ่มการแสดงกันเถอะ’
-Donate-
True Money Wallet ID : mraxzy
ไทยพาณิชย์ : 4051572923 //ชาคริต