ตอนที่ 343 คุณลุงผู้ใจดี

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 343 คุณลุงผู้ใจดี

ภายในบ้านตระกูลว่านเกิดเสียงเอะอะโวยวายดังสนั่น แต่เถาจืออวิ๋นและครอบครัวของหล่อนก็ทำหูทวนลม

ทั้งครอบครัวบ้างก็เตรียมอาหารเย็น บ้างก็หยอกล้อเล่นกับฉีฉีอย่างมีความสุข

ฉีฉีมีความสุขอย่างที่สุด น้อยครั้งนักที่จะมีคนเล่นเป็นเพื่อนเขามากขนาดนี้

หลี่หมิงเฉิงเรียนขับรถกับลูกน้องของเฉินเฟิงที่ลานว่างไม่ไกลจากตลาดสดฝูตัวตัวอยู่ตลอดทั้งช่วงบ่าย จนถึงประมาณห้าโมงเย็นถึงจะเสร็จสิ้น

เขาไปดื่มน้ำเย็นฉ่ำที่ตลาดสดฝูตัวตัวจนเต็มท้อง แล้วจึงเดินไปทางถนนเจี่ยเฟิง วางแผนจะไปที่ร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่ว กินข้าวร่วมกับพนักงานในร้านสักมื้อแล้วค่อยกลับบ้าน จะได้ไม่ต้องกลับไปเปิดเตาทำอาหารเองในสภาพอากาศที่ร้อนระอุแบบนี้

เขาเดินไปพลาง นึกถึงเนื้อหาเกี่ยวกับการขับรถที่เรียนมาทั้งหมดในบ่ายวันนี้ไปพลาง

ขณะกำลังคิดด้วยความเพลิดเพลิน ก็มีเงาร่างหนึ่งมาขวางทางเขาเอาไว้

เขาเงยหน้าขึ้นโดยสัญชาตญาณ แล้วก็พบกับว่านฮุ่ย จึงขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ พลันรู้สึกว่าหล่อนช่างน่ารำคาญราวกับกอเอี๊ยหนังสุนัขอย่างไรอย่างนั้น

ในตอนที่หล่อนมายุ่มย่ามกับตนเมื่อตอนเที่ยง เขาก็แสดงออกกับหล่อนไปอย่างชัดเจนแล้วว่าตนให้ยืมเงินไม่ได้ และบอกให้หล่อนเลิกมาราวีตนเสียที แต่หล่อนก็ยังมาอีก

เขาไม่อยากสนใจว่านฮุ่ย จึงคิดจะเมินหล่อนแล้วเดินต่อไปข้างหน้า

เขาก้าวไปทางซ้ายก้าวหนึ่ง ว่านฮุ่ยก็ก้าวมาทางซ้ายหนึ่งก้าว ดักทางเขาเอาไว้

เขาก้าวไปทางขวาหนึ่งก้าว ว่านฮุ่ยก็ก้าวมาทางขวาหนึ่ง ยังคงพยายามขวางทางเขาเอาไว้

ทันใดนั้นหลี่หมิงเฉิงก็เดือดดาลขึ้นมา ตะคอกขึ้นมาเสียงดัง “ทำไมเธอถึงไร้ยางอายขนาดนี้? มีใครเขาบังคับให้คนอื่นให้ตัวเองยืมเงินกัน?”

ว่านฮุ่ยนั้นตั้งแต่เห็นท่าทางซื่อๆ ใจดีของหลี่หมิงเฉิงเมื่อก่อนตอนที่เขาอยู่ที่หมู่บ้านที่หล่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นรู้จักหรือไม่รู้จัก ขอแต่คนอื่นต้องการความช่วยเหลือ ตราบใดที่เห็นพบเห็น ก็จะยื่นมือเข้าช่วย

บางครั้งต่อให้เขาจะไม่เห็น แต่คนอื่นร้องเรียกให้เขาไปช่วย เขาก็มักจะไปช่วยอยู่เสมอ

คนดีเช่นนี้เมื่อดุร้ายขึ้นมาอย่างกะทันหัน ก็ทำเอาว่านฮุ่ยสะดุ้งเฮือกใหญ่ ตะลึงงันอยู่กับที่ไปชั่วขณะ

เมื่อนั้นหลี่หมิงเฉิงจึงมีโอกาสปลีกตัวหนีออกมา

แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ถอนหายใจ ว่านฮุ่ยที่ได้สติกลับมาก็ไล่ตามมา แล้วขวางทางเขาไว้อีกครั้ง

คราวนี้หล่อนคุกเข่าลงต่อหน้าเขา ก้มหัวขอร้องเสียงสะอื้น “พี่หลี่ ฉันจนตรอกแล้วจริงๆ มีแต่ต้องขอร้องพี่ ได้โปรดช่วยฉันด้วยเถอะ”

หลี่หมิงเฉิงเห็นใจหล่อนไม่ลงอีกต่อไป ตรงกันข้ามยิ่งเกลียดชังหล่อนยิ่งขึ้นไปอีก พูดอย่างเย็นชา “ต่อให้เธอเอาหัวโขกจนตาย ฉันก็ไม่ช่วยเธอ!”

ผู้คนที่เดินผ่านไปมาบางส่วนถูกการกระทำของว่านฮุ่ยดึงดูดความสนใจ และค่อยๆ ล้อมวงกันเข้ามา

ใครบางคนถามว่านฮุ่ย ว่าทำไมต้องยืมเงินหลี่หมิงเฉิงใหได้

ว่านฮุ่ยคร่ำครวญเล่าต้นสายปลายเหตุ จากนั้นก็พูดอย่างน่าเวทนาและมั่นอกมั่นใจ

“ ฉันแค่จะยืมเงินพี่หลี่ไปเรียนมัธยมให้จบเท่านั้น เดี๋ยวฉันเข้ามหาวิทยาลับแล้วก็จะคืนเขา ไม่ได้จะขอให้เขาออกเงินให้ฟรีหรอกค่ะ”

หลี่หมิงเฉิงถูกความหน้าไม่อายของหล่อนยั่วโมโหจนทักษะในการวิวาทะนั้นระเบิดออกมา

เขาพูดด้วยรอยยิ้มเย็น “ตัวฉันเองติดหนี้จนเพราะซื้อบ้านจนกระเป๋าลีบ มีเงินให้เธอยืมที่ไหนกัน? อีกอย่างถึงฉันมีเงินก็ไม่จำเป็นจะต้องเอาให้เธอยืมเสียหน่อย หรือว่าเพราะเธอยืมแล้วจะคืนให้ฉันอย่างนั้นเหรอ? เป็นหนี้ก็ต้องคืน นั่นมันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง การที่ยืมเงินแล้วจะคืน มันกลายเป็นเหตุผลที่คนอื่นจำเป็นต้องให้เธอยืมเงินไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

เขาชี้หน้ากลุ่มคนกินเผือกที่ยิ่งมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้วพูด “งั้นเธอก็ลองไปขอยืมพวกเขาดูสิ จะมีใครหน้าไหนที่ให้เธอยืมแต่โดยดีเพราะเธอบอกว่ายืมแล้วจะคืนให้บ้างไหม!”

หากว่านฮุ่ยหน้าตาดี ไม่แน่ว่าอาจจะมีใครสักคนในกลุ่มคนกินเผือกเกิดรักแรกพบกับหล่อน แล้วเสนอตัวออกมายอมให้หล่อนยืมเงินก็ได้

แต่ใครใช้ให้หล่อนมีหน้าตาดาดๆ กันล่ะ ใครจะไปตกหลุมรักหล่อนตั้งแต่แรกเห็น แล้วใครจะให้หล่อนยืมเงินของตัวเองกัน?

ว่านฮุ่ยถูกตอกกลับจนพูดอะไรไม่ออก ก่อนจะแอบมองปฏิกิริยาของฝูงชนที่มามุงดู เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่ข้างหลี่หมิงเฉิง

เมื่อรู้ว่ายืมเงินจากเขาไม่ได้แล้ว จึงได้แต่ต้องผละจากไป

แต่ยังไม่ทันที่จะลุกขึ้นมาจากพื้น ก็ได้ยินหลี่หมิงเฉิงพูดเสียงแข็งกร้าว “ข่าวลือของเพื่อนฉันที่เธอเล่าไปทั่ว ยังบอกว่าฉันเป็นคนพูดอีก เธอยุแยงทำลายความสัมพันธ์ของฉันกับเพื่อนฉัน แล้วกล้าดียังไงมาขอยืมเงินฉันอีก เธอกล้าดียังไง? เพราะฉันมันซื่อบื้อ แถมยังมาจากบ้านนอก หลอกง่ายใช่ไหม หรือเพราะเธอมันหน้าไม่อายกัน?”

ว่านฮุ่ยรีบลุกขึ้นโดยไม่พูดจาแล้ววิ่งหนีไปทันที

หลี่หมิงเฉิงแค่นเสียงอย่างเย็นชาใส่แผ่นหลังของหล่อน แล้วจึงเดินไปยังร้านเซาเข่าของหลินม่ายต่อ

ว่านฮุ่ยวิ่งออกมาไกลพอสมควรแล้วจึงผ่อนฝีเท้าลง หน้านิ่วคิ้วขมวดคิดว่าจะจัดการกับค่าเล่าเรียนอย่างไรดี

ในตอนนั้นเอง ด้านหลังก็มีคนตะโกนขึ้น “แม่หนู รอเดี๋ยว”

คนคนนั้นร้องเรียกอยู่หลายครั้ง ว่านฮุ่ยถึงรู้สึกตัวว่าเขากำลังเรียกตน

หล่อนหันกลับมาก็เห็นคุณลุงอายุราวห้าหกสิบปีหน้าตาซื่อๆ คนหนึ่ง

จึงถามออกไป “เรียกหนูเหรอคะ?”

คุณลุงพยักหน้าอย่างใจดีเป็นพิเศษ แล้วถูมืออย่างเอียงอาย “ฉันอยากให้หนูยืมเงินไปเรียนหนังสือ แต่ไม่รู้ว่าหนูจะเชื่อฉันแล้วกลับบ้านไปเอาเงินด้วยกันหรือเปล่า?”

ว่านฮุ่ยพิจารณาเขาหัวจรดเท้าอยู่หลายรอบ เห็นท่าทางเก้ๆ กังๆ และขี้อายของเขาแล้วก็ลังเลอยู่นาน จนในที่สุดก็พยักหน้าเดินตามเขาไป

ตาแก่นี่อายุมากขนาดนี้แล้ว จะไปทำอะไรหล่อนได้?

ทั้งสองคนเดินไปพลางคุยไปพลาง

คุณลุงถามอย่างอ่อนโยน “แม่หนู ทำไมหนูต้องยืมเงินไปเรียนหนังสือเหรอ?”

ว่านฮุ่ยถือโอกาสเรียกความเห็นใจ “แม่ของหนูเป็นแม่เลี้ยง เธอไม่ให้เงินฉันไปเรียนหนังสือน่ะค่ะ”

คุณลุงถอนหายใจอย่างเห็นอกเห็นใจ “หนูช่างน่าสงสารจริงๆ”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วถามอีกครั้ง “เรียนชั้นมัธยมปลายสามปีต้องใช้ค่าเล่าเรียนเท่าไหร่เหรอ?”

ว่านฮุ่ยง้างนิ้วมือแล้วพูดตอบ “เทอมละ20หยวน หนึ่งปี40หยวน สามปีก็120หยวนค่ะ”

คุณลุงหัวเราะขึ้นมา “ก็แค่หนึ่งร้อยยี่สิบหยวนเท่านั้นเอง ไม่ได้มากมายอะไรนี่นา ฉันก็นึกว่าจะแพงมาก เลยคิดว่าจะให้หนูยืมค่าเล่าเรียนแค่เทอมเดียว ในเมื่อต้องการแค่120หยวน งั้นฉันจะช่วยให้ถึงที่สุด ให้หนูยืมค่าเล่าเรียนทั้งสามปีเลย”

ว่านฮุ่ยดีอกดีใจอย่างมาก พลันเอ่ยขอบคุณขึ้นมาหลายครั้ง

คุณลุงโบกมือไปมา “ไม่ต้องขอบคุณหรอก แต่ให้หนูยืมเงินเท่านั้นเอง ไม่ใช่ทุนหนูเสียหน่อย แถมหนูก็ไม่ใช่ว่าไม่ต้องคืนเงินด้วย”

ว่านฮุ่ยพูดอย่างจริงจัง “แม้จะต้องคืนเงิน แต่คุณลุงก็ได้ส่งถ่านให้หนูกลางหิมะ(1) คุณก็คือผู้มีพระคุณของหนูแล้วค่ะ”

คุณลุงได้ยินแล้ว ก็ดีใจจนยิ้มแก้มแทบปริ

เขาเปิดเผยโดยไม่ตั้งใจว่า เขาไม่มีลูกชายลูกสาว เป็นชายชราผู้โดดเดี่ยว มีเงินเดือนเกษียณและพอมีเงินออมอยู่บ้าง แต่จะให้เขาให้ทุนว่านฮุ่ยไปเปล่าๆ เขาก็ตัดใจไม่ลง

คุณลุงพูดกับว่านฮุ่ยอย่างเก้อเขิน “แม่หนู หนูอย่าหาว่าฉันหน้าเงินเลยนะ”

ว่านฮุ่ยนั้นพอจะรู้อยู่ในใจอยู่แล้ว ถ้าได้คุณลุงคนนี้เป็นพ่อบุญธรรม ไม่แน่ว่าเขาอาจจะให้ทุนตนฟรีๆ ก็ได้

ถึงจะให้ทุนเปล่าตนไม่ได้ แต่หลังจากที่เขาตายไปแล้วสามารถรับตกทอดทรัพย์สมบัติของเขาได้ก็ไม่เลวเหมือนกัน

หล่อนคิดคำนวณอยู่ในใจ พร้อมกับเอ่ยอย่างนอบน้อมจริงใจ “จะหวงเงินที่ตัวเองหามาก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วนี่คะ หนูเองยังหวงเลย”

คุณลุงเห็นว่าทุกคำพูดของว่านฮุ่ยล้วนทำให้เขาจิตใจเบิกบาน จึงเปิดปากคุยอย่างออกรสยิ่งกว่าเดิม

เพื่อจะเอาใจเขา ว่านฮุ่ยจึงประจบประแจงเขาไม่หยุด ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างถูกคอ โดยที่หล่อนไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่น้อย ว่ายิ่งเดินไป สภาพแวดล้อมเบื้องหน้าของพวกเขาทั้งสองก็ยิ่งเปลี่ยวร้างขึ้นเรื่อยๆ

ในตอนที่รู้สึกตัว หล่อนพลันหยุดฝีเท้าอย่างงุนงง แล้วถามอย่างระแวดระวัง “คุณลุง คุณบอกว่าคุณอยู่ที่ถนนต้าจื้อไม่ใช่เหรอคะ ทำไมถึงพาหนูมาที่นี่ล่ะ?”

ถนนต้าจื้อนั้นเป็นถนนใหญ่ที่คึกคักสายหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะได้ยินคุณลุงบอกว่าเขาอยู่ที่ถนนต้าจื้อ ว่านฮุ่ยเองก็ไม่มีความกล้าจะเดินตามเขามาหรอก

เพราะหากคนเลวจะทำเรื่องชั่วร้าย ก็คงไม่เลือกทำที่ถนนใหญ่คึกคัก เพราะแบบนั้นจะถูกจับได้ได้ง่ายมาก

คุณลุงยังคงยิ้มอย่างใจดี “นี่เป็นทางลัดน่ะ เดินผ่านตรงนี้ไปก็ใกล้จะถึงบ้านฉันแล้ว”

ว่านฮุ่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าเหมือนกับกลองป๋องแป๋ง “หนูไม่ไปบ้านคุณแล้วค่ะ” พูดจบก็หมุนตัววิ่งหนีทันที

นึกไม่ถึงว่าคุณลุงคนนั้นจะวิ่งตามมาจากช้างหลัง กอดเอวของหล่อนเอาไว้ แล้วลากหล่อนเข้าไปในป่าละเมาะข้างทาง “มาก็มาแล้ว อย่างน้อยให้ฉันสนุกก่อนค่อยไปสิ”

………………………………………………………………………………………………………………………….

(1)ส่งถ่านให้กลางหิมะ หมายถึงการให้ความเหลือในยามคับขันได้ทันท่วงที

สารจากผู้แปล

บางเรื่องที่ too good too be true มันก็ต้องฉุกคิดก่อนนะอย่าเพิ่งตาโต ไม่งั้นจะโดนหลอก

ยัยว่านฮุ่ยจะเสร็จตาลุงนี่หรือเปล่านะ สภาพรอบด้านคือไม่มีใครมาช่วยเลย

ไหหม่า(海馬)