บทที่ 399 ปีนเขา

บทที่ 399 ปีนเขา

“แล้วมาเคาะประตูห้องผมกลางดึกทำไมครับ?” อู๋ฝานมองถังอวี่เฟยพลางถาม

หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ทีแรกก็มองถังอวี่เฟยด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะมองอู๋ฝานด้วยความสงสัย

เมื่อคืนเธอรู้ว่าถังอวี่เฟยออกไปหลังปิดไฟในห้อง แต่ไม่นานอีกฝ่ายก็กลับเข้ามา ทำให้หญิงสาวไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ทว่าตอนนี้พอคิดตาม ก็พบว่าการที่อีกฝ่ายออกไปหลังปิดไฟไม่ใช่เรื่องต้องประหลาดใจ เพราะออกไปหาอู๋ฝานกลางดึก

แต่เมื่อคืนนี้ เธอยืนยันได้ว่าอู๋ฝานกลับมาถึงแล้ว ถ้างั้นการที่กลางดึกถังอวี่เฟยไปเคาะประตูห้องอีกฝ่ายแล้วไม่มีคนตอบ หมายความว่าอู๋ฝานออกไปอีกครั้งงั้นเหรอ?

“เพราะกลัวว่าคุณจะเหงาถ้าอยู่ห้องคนเดียว ฉันเลยจะไปอยู่เป็นเพื่อนด้วยยังไงล่ะคะ” ถังอวี่เฟยขยิบตาตอบอู๋ฝาน แต่ไม่นานสีหน้าก็กลับมาแข็งทื่อ “ใครจะคิดกันว่าคุณไม่อยู่ห้อง ทั้งคืนก็ไม่กลับมาสักนิด ไปหาผู้หญิงที่ไหนมาคะ?”

“ผมจะไปหาผู้หญิงที่ไหนกันล่ะครับ น่าจะเพราะหลับลึกเกินไปเลยไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูมากกว่า” อู๋ฝานตอบกลับ

อู๋ฝานรู้ดีว่าช่วงที่ถังอวี่เฟยมาเคาะประตู ตนเองอยู่ที่โลกแห่งเกม ดังนั้นจะไม่ได้ยินเสียงเคาะก็ไม่ใช่เรื่องแปลก นับเป็นโชคดีที่เขาอยู่ห้องเพียงคนเดียว ไม่เช่นนั้นคงอธิบายได้ยาก

“จริงเหรอคะ?” ถังอวี่เฟยมองอู๋ฝานพลางถามกลับ

“จริงสิครับ” อู๋ฝานตอบรับ

“จริงเหรอเนี่ย? หลับลึกขนาดนั้นไม่กลัวมีโจรย่องเข้าห้องเลยรึไงคะ” ถังอวี่เฟยบ่นอุบอิบออกมา

แต่หลังบ่น ก็ดูคล้ายว่าถังอวี่เฟยจะเชื่อคำอธิบายของอู๋ฝาน เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงลอบถอนหายใจ หากเธอยังซักถามต่อคงตอบได้ยาก

แต่เมื่ออู๋ฝานได้เห็นสายตาของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็ต้องชะงักไป

หลอกถังอวี่เฟยได้ แต่ไม่ใช่กับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ จากสายตาของเธอแล้ว อู๋ฝานมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อคำอธิบายของตนเอง

ไม่ใช่ว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่เชื่อคำอธิบายของอู๋ฝาน แต่เพราะทั้งเธอและอู๋ฝานต่างก็เป็นผู้ฝึกตน!

ผู้ฝึกตนย่อมมีการรับรู้สภาพแวดล้อมดีกว่าคนทั่วไป แม้เป็นช่วงนอนหลับก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้ยินเสียงผิดปกติ ดังนั้นหากอู๋ฝานอยู่ในห้องจริง ต่อให้นอนหลับอยู่ก็ต้องได้ยินเสียงเคาะประตูของถังอวี่เฟย ไม่ว่าผู้เคาะจะเป็นใคร เขาก็ควรจะส่งเสียงตอบรับกลับมาบ้าง แต่ความเป็นจริงแล้วนั้น ตามปากคำของถังอวี่เฟย ในห้องไม่มีการตอบรับใดทั้งสิ้น

แต่หากอู๋ฝานไม่ได้อยู่ในห้อง แล้วทั้งคืนเขาไปที่ไหน? เมื่อคืนเธอยืนยันชัดกับตาแล้วว่าอีกฝ่ายกลับมาที่โรงแรม เป็นไปได้ว่าหลังจากนั้นออกไปอีกครั้ง?

“แปะ! แปะ!” ตอนนี้เองที่เกิ่งหย่าเฟยปรากฏตัว เธอปรบมือเล็กน้อยพร้อมพูดขึ้นมา “ทุกคนรวมตัว! ตอนนี้พวกเราจะไปทานมื้อเช้าด้วยกันก่อน แล้วค่อยเริ่มปีนเขานะจ๊ะ”

กลุ่มคนเริ่มเดินไปทางพื้นที่ทานอาหาร ส่วนหลิ่วเหยียนเอ๋อร์จ้องอู๋ฝานโดยไม่ได้เอ่ยคำถามใดออกมา สุดท้ายก็เดินตามกลุ่มคนไป

‘เฮ้อ หลิ่วเหยียนเอ๋อร์หลอกยากกว่าถังอวี่เฟยอีก’ อู๋ฝานบ่นพึมพำในใจ

“อาจารย์หลี่ หน้าไปโดนอะไรมาคะ?” ระหว่างทางอาหารเช้า อาจารย์ทั้งสามคนซึ่งประกอบด้วยเกิ่งหย่าเฟย อู๋ฝาน และหลี่ปิงนั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน เกิ่งหย่าเฟยอดไม่ได้ที่จะต้องถามขึ้นมาเพราะเห็นหน้าของหลี่ปิงบวมฟกช้ำ

หลี่ปิงหันมองทางอู๋ฝานก่อนจะตอบกลับ “ไม่มีอะไรครับ แค่พลาดล้มนิดหน่อย”

หลี่ปิงตามจีบเกิ่งหย่าเฟยมาตลอด ดังนั้นเขาจะไม่มีทางให้อีกฝ่ายทราบว่าเมื่อคืนตนเองออกไปหาผู้หญิงอื่น แม้ความจริงแล้วอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจเลยก็ตาม

“ล้มเนี่ยนะ? พรสวรรค์ชัด ๆ” เกิ่งหย่าเฟยตอบกลับ “วันนี้ไปปีนเขา หวังว่าคุณคงไม่ไป ถ้าเกิดล้มแบบนั้นอีกครั้งบนเขา เกรงว่าคงไม่จบที่บาดแผล แต่เป็นชีวิต ในเมื่อดูแลตัวเองไม่ได้ ก็อย่าไปดูแลเด็กเลยจะดีกว่านะคะ”

“ไม่ได้สิครับ! เมื่อวานมันอุบัติเหตุ วันนี้ผมไม่ล้มแบบนั้นแล้ว” หลี่ปิงตอบกลับ

“เอางั้นก็ได้ค่ะ ถ้ายืนยันจะไปก็ไม่ว่า แต่อยู่ให้ห่างจากฉันและนักศึกษาด้วยนะคะ เมื่อถึงเวลาคุณก็ตกเขาไปตายคนเดียว อย่าลากคนอื่นซวยไปด้วย” เกิ่งหย่าเฟยตอบกลับอย่างไร้ความเห็นใจ

อู๋ฝานมองหลี่ปิงที่เผยสีหน้าเหยเกอัปลักษณ์ตอบกลับ เขานึกหัวเราะอยู๋ในใจ เห็นได้ชัดว่าเกิ่งหย่าเฟยไม่ได้มีความเห็นใจ กระทั่งไม่มองอีกฝ่ายในสายตา

หลังมื้อเช้า กลุ่มคนก็ไปที่ภูเขา เกิ่งหย่าเฟยและอู๋ฝานรับผิดชอบแถวหน้า คอยดูแลนักศึกษาที่ปีนเขา

ทิวทัศน์ของภูเขาเทียนเหลียงดีสมคำเล่าลือ ไม่ว่าจะต้นไม้เขียวขจี เสียงนกร้องในภูเขา อากาศสดชื่น หากยืนอยู่บนจุดครึ่งทางและทอดสายตามองออกไป ก็จะพบว่าบรรยากาศปลอดโปร่งเป็นอย่างมาก มันชวนให้จิตใจได้รับความสดชื่น

ระหว่างทางขึ้น เขาได้พบนักท่องเที่ยวหลายกลุ่ม พวกเขาเป็นคนธรรมดาเหมือนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเจียงโจว ทว่าอู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์กลับรับรู้ได้ถึงออร่าพลังของผู้ฝึกตน และยังเป็นกลุ่มคนที่เมื่อคืนเดินผ่านพวกเขา อีกฝ่ายมองหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เพราะสัมผัสได้ถึงออร่าพิเศษของผู้ฝึกตนจากตัวหญิงสาว

กลับกัน อู๋ฝานที่มีการฝึกฝนสูงกว่า แข็งแกร่งยิ่งกว่า ทว่าออร่าของผู้ฝึกตนจากร่างกายกับแผ่วเบาและเจือจาง ทั้งสองเคยได้พูดคุยกันแล้ว และทราบว่าตอนที่ชายหนุ่มไม่ได้แผ่ออร่าใดออกมา แม้จะเป็นหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็ยากจะรับรู้ได้ว่าเขาเป็นผู้ฝึกตน ดังนั้นจึงทำให้หญิงสาวเกิดข้อสงสัย ปกติแล้วยิ่งผู้ฝึกตนแข็งแกร่งเพียงใด ออร่าที่แสดงออกก็จะยิ่งมากขึ้นตามนั้น มีแต่ยอดฝีมือสูงล้ำจริง ๆ จึงจะหวนคืนเป็นประหนึ่งคนทั่วไปได้

เห็นได้ชัดว่าอู๋ฝานยังไม่ได้สำเร็จถึงขอบเขตดังกล่าว แต่หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็ไม่ได้คิดใส่ใจให้มากความ เธอแค่คิดว่าอู๋ฝานฝึกฝนวิชาพิเศษที่สามารถเก็บซ่อนออร่าไว้ในร่างกายได้ก็เท่านั้น

ผ่านไปราวสามชั่วโมง กลุ่มคนก็มาถึงส่วนยอดของภูเขาเทียนเหลียง แน่นอนว่ามันเป็นยอดเขาสำหรับคนทั่วไป เพราะยอดเขาแท้จริงของภูเขาเทียนเหลียงนั้น มันต้องขึ้นไปอีกและอยู่ในพื้นที่หวงห้าม ดังนั้นกลุ่มนักท่องเที่ยวจึงไม่อาจขึ้นไปได้ แต่บ่อยครั้งก็มักจะมีคนแอบลักลอบเข้าไป

การปีนเขากว่าสามชั่วโมงทำให้กลุ่มนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเจียงโจวต่างก็อ่อนล้า ที่บริเวณยอดเขา พวกเขาเร่งรีบหาร้านเพื่อซื้อของกินและดื่มเพื่อเติมเต็มพลังงานที่ขาดหาย ภูเขาเทียนเหลียงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังจึงไม่อาจขาดร้านสำหรับขายของ ทั้งยังมีกิจการที่คึกคักพอสมควร

อู๋ฝานมองทางหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่พยักหน้าให้ ก่อนชายหนุ่มจะเดินไปหาเกิ่งหย่าเฟย “อาจารย์เกิ่ง ผมมีเรื่องต้องทำขอตัวสักพักนะครับ นักศึกษาหลิ่วเหยียนเอ๋อร์จะตามไปกับผมด้วย ถ้าถึงเวลาลงเขาก็ขอให้ลงเขาไปกันก่อน ไม่ต้องรอพวกเรานะครับ”

“อาจารย์อู๋มีธุระอะไรเหรอคะ?” เกิ่งหย่าเฟยเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เรื่องส่วนตัวนิดหน่อยน่ะครับ” อู๋ฝานตอบกลับ

เกิ่งหย่าเฟยมองอู๋ฝาน จากนั้นก็มองทางหลิ่วเหยียนเอ๋อร์พลางครุ่นคิดถึงเรื่องราวในรถก่อนหน้านี้ ไม่นานก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา

อู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์กำลังจะนัดพบกันอย่างลับ ๆ

อย่างไรทั้งสองก็ยังมีสถานะเป็นอาจารย์และนักศึกษา ทำให้ไม่อาจใกล้ชิดกันต่อหน้านักศึกษาคนอื่นได้ ตอนนี้มีโอกาสจึงอยากชมธรรมชาติกันเป็นการส่วนตัว

แม้ในใจเกิ่งหย่าเฟยจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา แต่เธอก็ยังพยักหน้าตอบรับ