ตอนที่ 304 อย่ารักจนเกินงาม
“20,000 ชั่งไม่มีให้แล้ว แต่ถ้า 10,000 ชั่งก็ยังพอไหว ! ” เมื่อเดินผ่านประตูที่สองมาแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็เห็นลู่เหวินจวินกำลังจัดการของบางอย่างอยู่ในลาน
“หลินกู่เหนียง ! ข้ากำลังบ่นเลยว่าวันพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมท่าน คาดไม่ถึงว่าจะได้พบกันวันนี้ ! ” ต่อจากนั้นลู่เหวินจวินก็พูดกับบ่าวรับใช้ว่า “นำข้าวแดงที่ข้านำมาใส่เกวียนให้หมดแล้วยังมีแฮมจินหัว ชาซีหูหลงจิ่ง…”
หลินเว่ยเว่ยมองของที่กองเท่าเนินเขาบนเกวียน คงไม่ได้เตรียมมาเพื่อนางทั้งหมดกระมัง ? นี่…จะกล้ารับไว้ได้อย่างไร ? คุณชายลู่ก็เกรงใจเกินไปหน่อยแล้ว
ทันใดนั้นลู่เหวินจวินก็ตบหน้าผากตนเองแล้วพูดกับหลินเว่ยเว่ยว่า “จริงสิ ! ได้ยินว่ากู่เหนียงหมั้นหมายแล้ว แม้ตัวข้าจะอยู่เมืองหลวงก็รู้สึกดีใจแทนกู่เหนียงด้วย จึงเตรียมของขวัญสำหรับการหมั้นหมายไว้ให้ท่าน…”
หลังกล่าวจบเขาก็หยิบกล่องไม้จันทร์แดงออกมาจากเรือน “เครื่องประดับในนี้ล้วนเป็นของทันสมัยที่สุดในเมืองหลวง ข้าให้พี่สะใภ้ใหญ่ช่วยเลือก กู่เหนียงลองดูว่าชอบหรือไม่”
ในกล่องมีเงิน ทอง หยก ทับทิม ไพลิน ไข่มุก ปะการัง…แค่แสงที่เปล่งประกายออกมาก็ทำให้หลินเว่ยเว่ยแทบตาบอดได้แล้ว เครื่องประดับกล่องเดียวก็น่าจะมีราคาหลายพันตำลึง ขณะที่นางกล่าวว่า “จะกล้ารับไว้ได้อย่างไร เกรงว่าจะล้ำค่ามาก…” มือของนางกลับเอื้อมเข้าไปรับอย่างแนบเนียน
“เหมาะสมแล้ว ! ท่านแม่ยังบอกว่าของเหล่านี้ยังดูไม่ล้ำค่ามากพอด้วยซ้ำ ! กู่เหนียงชอบก็ดีแล้ว ! ” ทันใดนั้นลู่เหวินจวินก็มองไปทางเจียงโม่หานด้วยท่าทางเคร่งขรึมราวกับตนเป็นพี่น้องของบ้านฝ่ายหญิง “ท่านต้องดีต่อหลินกู่เหนียง ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ปล่อยท่านไว้แน่ ! ”
เจียงโม่หานเข้าใจความรู้สึกบางอย่างผ่านสายตาของลู่เหวินจวิน อีกฝ่ายยังไม่รู้ใจตัวเอง ทว่าน่าเสียดายที่เขาไม่มีทางทำให้ลู่เหวินจวินได้รู้ใจตนเองเด็ดขาด
เขายกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กน้อย “สตรีที่ข้าสู่ขอมาเอง จะไม่ปฏิบัติต่อนางอย่างดีได้อย่างไร ? คุณชายลู่คิดมากเกินไปแล้ว ! ”
ลู่เหวินจวินมองมือใหญ่ที่วางบนศีรษะของหลินเว่ยเว่ย ก่อนจะกล่าวพร้อมคิ้วที่ขมวดเป็นปม “ระวังหน่อย ! ท่านสองคนแค่หมั้นหมายกันเท่านั้น ! หมั้นแล้วก็ถอนหมั้นมีให้เห็นนับไม่ถ้วน บัณฑิตเจียงน่าจะเข้าใจคำว่า ‘อย่ารักจนเกินงาม’ ใช่หรือไม่ ! ”
“เจ้าดำ เจ้าอย่าวิ่งไปไหนมั่วซั่ว รีบกลับมาเร็ว ! ” ที่แท้เจ้าลูกหมาป่าดำตัวน้อยก็กระโดดออกจากอกของเจ้าหนูน้อยตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ มันออกไปวิ่งเล่นตามอำเภอใจในลาน ทันใดนั้นมันก็ได้กลิ่นบางอย่างจึงค่อย ๆ เดินเข้าประตูจันทร์เสี้ยวไปยังพุ่มดอกไม้ด้านข้าง
ตอนที่เจ้าหนูน้อยตามไปทันก็เห็นเจ้าดำกระโดดตะครุบบางอย่าง จากนั้นก็ใช้เท้าเขี่ยไปมา ก่อนจะกดไว้กับพื้น
“ช่วยด้วย…ช่วยด้วย…”
หลินเว่ยเว่ยและเจ้าหนูน้อยตกใจทันที พุ่มดอกไม้เล็กขนาดนี้ยังมีคนซ่อนอยู่ด้วย…
ตอนที่เจ้าดำคาบเจ้าสิ่งที่ร้องขอชีวิตด้วยความหวาดกลัวมาเป็นของกำนัลให้หลินเว่ยเว่ย พวกเขาถึงได้พบว่าสิ่งที่ตะโกนแหกปากร้อง ‘ช่วยด้วย’ นั้นคือนกแก้วหลากสีตัวหนึ่ง
พอมันร้อง เจ้าดำก็ดึงขนมันออกด้วยความสนุกสนานจนขนบนตัวมันแทบไม่เหลือแล้ว หลินเว่ยเว่ยจึงรีบเข้าไปช่วยนกน้อยออกมาจากปากเจ้าดำ จากนั้นก็นำเจ้าดำมาขอโทษลู่เหวินจวิน “นี่เป็นนกของท่านใช่หรือไม่ ? ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ…”
ลู่เหวินจวินส่ายหน้าแล้วกล่าวด้วยความงุนงง “ไม่ใช่ ! บ้านข้าไม่เคยเลี้ยงเจ้านี่…”
ทันใดนั้นก็มีเสียงแทรกเข้ามา “เป็นที่นี่ ข้าเห็นมันบินมาทางนี้ ! ”
“พวกเจ้าเป็นใคร ? รู้หรือไม่ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นของผู้ใด ? อาณาเขตของตระกูลลู่แห่งเมืองหลวง พวกเจ้าก็กล้าบุกรุกอย่างนั้นหรือ ? ” จังหวะที่เข้าไปขวางผู้บุกรุก ชิงเฟิงก็กล่าวด้วยเสียงแหบที่เจือความเย่อหยิ่งพอสมควร
“ฮึ ! ตระกูลลู่แห่งเมืองหลวงสูงส่งมากหรือ ? สัตว์ทรงเลี้ยงขององค์ชายเจ็ดบินเข้ามาในเรือนของเจ้า ยังไม่รีบหลีกทางอีก หากสัตว์ทรงเลี้ยงขององค์ชายเป็นอันใดไป เจ้าจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต ! ”
“มีอย่างที่ไหนกัน มีอย่างที่ไหนกัน ! ” เมื่อนกแก้วขนแหว่งรู้สึกว่ามันกลับมาปลอดภัยอีกครั้งแล้ว มันก็เชิดหน้าอกขึ้นแล้วตะโกนออกมาเสียงดังลั่น “บังอาจ ! จะเอาชีวิตสุนัขเยี่ยงเจ้า ! จะเอาชีวิตสุนัขเยี่ยงเจ้า ! ”
“ข้าได้ยินเสียงของหงส์แดงแล้ว รีบตามหาเร็วเข้า ! ” บรรดาบ่าวรับใช้ไม่กี่คนรีบพุ่งเข้ามาทันที
ทันใดนั้นเองสายตาของบ่าวรับใช้ซึ่งรับหน้าที่ดูแลนกแก้วก็หยุดอยู่ตรงฝ่ามือของหลินเว่ยเว่ย จากนั้นเขาก็เผยท่าทางคล้ายกำลังไว้ทุกข์ “สวรรค์ ! หงส์แดง เหตุใดเจ้าเป็นเช่นนี้ ? ขนอันแสนงดงามของเจ้าหายไปไหน ? ”
“จะเอาชีวิตสุนัขเยี่ยงเจ้า ! จะเอาชีวิตสุนัขเยี่ยงเจ้า ! ” นกแก้วขนแหว่งกรีดร้อง
ทันใดนั้นบ่าวรับใช้ก็ถลึงตาใส่หลินเว่ยเว่ย “บังอาจนัก เจ้าทำร้ายสัตว์ทรงเลี้ยงขององค์ชายเจ็ด ! จับตัวกลับไปเดี๋ยวนี้ ! ”
หลินเว่ยเว่ยก็ไม่ยอมโดยง่าย นางใช้เท้าถีบบ่าวรับใช้ที่พุ่งเข้ามา “เจ้าพวกสุนัขรับใช้ ! ”
นกแก้วที่โดนหลินเว่ยเว่ยจับไว้ในมือ เห็นบ่าวรับใช้โดนถีบจนล้มไปนอนกองกับพื้นทั้งหมด มันจึงตกตะลึงจนกลายเป็นเหมือนหุ่นนกที่ไร้ชีวิตขึ้นมาทันที ปากน้อย ๆ อ้าค้างและดวงตาเบิกกว้างราวกับว่ามันถูกรัดคอจนตาย ความจองหองก็หายไปโดยสมบูรณ์…มันเป็นเพียงนกแก้วที่ตระหนักสถานการณ์ปัจจุบันได้ดีเท่านั้น
“จะ…เจ้ารอก่อนเถิด ! รอให้องค์ชายเจ็ดเสด็จมาถึง พระองค์ไม่มีทางปล่อยเจ้าแน่ ! ” หลังทิ้งถ้อยคำประโยคนี้แล้ว พวกบ่าวรับใช้ก็รีบถอยกลับไปขอกำลังเสริม !
เมื่อพวกบ่าวรับใช้ไปร้องโอดครวญต่อหน้าพระพักตร์ขององค์ชายเจ็ดแล้ว พระองค์ก็ตรัสอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “แม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังดูแลไม่ได้ แล้วเปิ่นหวางจะมีพวกเจ้าไว้ทำอันใด ? ลากตัวออกไปโบยคนละ 20 ไม้ ! เสี่ยวฉวนจื่อตามเปิ่นหวางไปดูว่าผู้ใดในตระกูลลู่ที่เอาแต่ใจจนกล้าไม่ไว้หน้าเปิ่นหวาง ! ”
องค์ชายเจ็ดประทับอยู่ในเรือนรับรองซึ่งเศรษฐีท้องถิ่นเป็นผู้จัดเตรียมให้ พระองค์กำลังเบื่อหน่ายและประสงค์ใครสักคนมาคลายเหงาพอดี
องค์ชายเจ็ดพาองครักษ์ติดตามไปสองสามนาย ตอนที่มาถึงหน้าประตูร้านของตระกูลลู่ พระองค์ก็ได้เห็นลู่เหวินจวินกำลังออกมาส่งหลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานพอดี
“เหตุใดจึงเจอพวกเจ้าไปเสียทุกที่ ? ” องค์ชายเจ็ดเห็นชาวบ้านฉือหลี่โกวซื้อข้าวสารเกวียนใหญ่จึงเค้นสุรเสียงดัง ฮึ แล้วตรัสว่า “ตระกูลหลินของเจ้าไม่ขาดเงินแล้วก็ไม่ขาดแคลนข้าว มิหนำซ้ำยังมารับอาหารบรรเทาทุกข์ไปด้วย เช่นนี้จะไม่เท่ากับมาแย่งซื้อข้าวสารจากราษฎรคนอื่นหรือ ? ”
“เงื่อนไขในการรับอาหารบรรเทาทุกข์คือราษฎรที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในเขตเริ่นอันและมาขอรับด้วยตนเอง หม่อมฉันทำผิดเงื่อนไขตรงไหนเพคะ ? หม่อมฉันไม่ใช่ชาวเริ่นอันหรอกหรือ ? ไม่ใช่ราษฎรทั่วไปหรืออย่างไร ? หรือหม่อมฉันไม่ได้มารับด้วยตนเองเพคะ ? ” หลินเว่ยเว่ยลูบนกแก้วขนแหว่งพลางทูลถาม
“ช่วยด้วย ! ลักพาตัว ! ข่มขู่ ! ฆ่าคนแล้ว…” เมื่อนกแก้วขนแหว่งเห็นเจ้านาย มันก็เหมือนได้สวรรค์มาประทานความกล้าให้อีกครั้ง มันจึงเริ่มแหกปากเสียงดัง
“เงียบ ! เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะถอนขนไม่กี่เส้นที่เหลือของเจ้าให้หมด ! ” หลินเว่ยเว่ยจับที่เส้นขนของมันแล้วพูดข่มขู่ บางทีอาจเพราะขนเส้นนั้นถูกเจ้าดำทรมานมาพอสมควรแล้ว นางแค่จับเบา ๆ ก็ทำให้ขนแสนสวยเส้นนั้นหลุดออกมาจากตัวนก
องค์ชายเจ็ดขมวดพระขนงพลางทอดพระเนตรนกแก้วขนแหว่งนั้นอยู่นาน กว่าจะจำได้ว่านั่นเป็นนกแก้วของพระองค์เอง จากนั้นก็ใช้พัดชี้ไปที่หลินเว่ยเว่ยทันที “เปิ่นหวางก็นึกสงสัยว่าผู้ใดช่างบังอาจถึงเพียงนี้ กล้าลงมือกับสัตว์เลี้ยงขององค์ชายเจ็ด ที่แท้ก็เป็นเจ้าเอง ! เจ้าคิดว่าเปิ่นหวางไม่กล้าทำอะไรจริงหรือ ? ”
“แม้พระองค์จะเป็นองค์ชาย ทว่าจะมาใส่ความคนอื่นไม่ได้เพคะ ขนบนตัวนกแก้วนี้หม่อมฉันไม่ได้เป็นคนถอนเพคะ” หลินเว่ยเว่ยปฏิเสธเสียงแข็ง สิ่งใดที่นางไม่ได้ทำก็ไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด
องค์ชายเจ็ดบันดาลโทสะ “เห็นว่าเปิ่นหวางตาบอดหรือไร ? ในมือเจ้ายังมีขนของหงส์แดงอยู่เลย หลักฐานชัดเจนเพียงนี้ เจ้ายังกล้าปฏิเสธอีกหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยมุ่ยปาก ก่อนจะหยิบเมล็ดสนที่กะเทาะเปลือกแล้วจากมิติน้ำพุวิญญาณมาให้นกแก้วขนแหว่งหนึ่งเมล็ด “จงบอกนายเจ้าว่าใครทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้ ? ”